ผู้หญิงตัวคนเดียว (พาสปอร์ตโล่งสะอาด) ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้นะคะ (ตอนที่1)
สวัสดีค่ะ เพื่อนพี่ๆน้องๆห้องบลูแพลนเน็ต วันนี้เราขอเปิดกระทู้เรื่องของตัวเองบ้างนะคะ หลังจากที่มาเก็บเกี่ยวความรู้ในห้องนี้ได้อย่างมากมาย เลยรู้สึกว่าหากเรามาแชร์บ้างก็น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เรื่องที่จะมาเล่าในครั้งนี้คือ การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกคือไปญี่ปุ่น+ไปคนเดียว+เป็นผู้หญิง เป็นเวลารวมทั้งสิ้น 10 วัน ซึ่งที่อยากจะแชร์ก็คือ การตัดสินที่ต้องแน่วแน่พอสมควรเลยค่ะ เพราะคนรอบข้างคุณจะไม่มีใครเห็นด้วยเลยกับการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวที่ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน แล้วต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลาถึงเกือบครึ่งเดือน เสียงส่วนใหญ่จะคัดค้านหาว่าบ้าหรือเปล่าไปคนเดียวไม่กลัวหรอ ทำไมกล้าจัง มันยากนะ ทั้งด่านคนเข้าเมืองเอย รถไฟเอย แล้วนี่จะไปตั้งสิบวันจะสนุกได้ยังไง เธอเป็นผู้หญิงนะ และประเด็นเด็ดคืออะไรรู้ไหมคะ วันที่เราเดินทางคือวันที่ศุกร์ที่23 พฤษภาคม 2557 เวลาประมาณ 06.30น. ซึ่งก่อนหน้านั้นเพื่อนๆคงจะจำกันได้ดีว่าวันก่อนหน้าคือ22 พฤษภา 2557 มันคือวันประกาศกฎอัยการศึกจากคสช.นั่นเองค่ะ แล้วแถมมีเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านเวลาสี่ทุ่มถึงตีห้าด้วยนะ จะไปสนามบินยังไงฟะ ตูต้องไปก่อนเวลาสองชม.นะ ซึ่งทำเอาเราเงิบไปนิดหน่อยเหมือนกันนะคะ เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันยังไม่ชัดเจนว่าจะรุนแรงหรือเปล่า เรื่องนี้ก็ทำเอาที่บ้านกลัวจนไม่อยากให้เราไปเลยค่ะ
นั่นแหละเลยอยากจะบอกว่ากว่าจะผ่านสิ่งต่างๆเหล่านี้มาได้มันไม่ง่ายเท่าไหร่นะคะ แต่เมื่อมานั่งย้อนคิดดูเนี่ย ถ้าเราไม่ไปมันจะทำให้เราไม่กล้าเหมือนเดิมและก็ยังกลัวนั่นนี่ไม่เลิก เพราะงั้นจึงอยากจะสรุปว่าอย่าให้คำว่า ”เป็นผู้หญิง” และ “ไปคนเดียว” มาเป็นสิ่งตัดสินและปิดกั้นโอกาสให้เราไม่กล้าเลือกทางเดินที่จะไปเปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้างและเหยียบดินแดนแห่งความฝันของเราได้ค่ะ เพราะเมื่อคุณกลับมาแล้วนั้น มันจะได้ข้อคิดและเปิดกรอบแนวคิดชีวิตของเราให้กว้างขึ้น แล้วรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรดีๆที่น่าค้นหาอีกเยอะค่ะ
อาจจะเกริ่นยาวไปนิด แต่เชื่อว่าต้องมีผู้หญิงอย่างเราๆอีกเยอะค่ะ ที่ยังลังเลว่าจะเอายังไงดี ไปดีไหม เพราะก่อนที่เราจะไปนั้น เราหาข้อมูลที่ว่าผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวได้น้อยมากๆเลยค่ะ กลัวมากทั้งเรื่องรถไฟที่ใครๆก็ว่ายากสุดๆ เรื่องเข้าประเทศก็ยากเวอร์ แล้วเรื่องโรงแรมล่ะจะยังไง นอนคนเดียวหรือก็กลัว นอนห้องรวมหรือ จะปลอดภัยไหมฟะ แล้วยิ่งเราเป็นผู้หญิงไปคนเดียว แถมพาสปอร์ตโล่งสะอาดเชียว ก็เลยยิ่งกลัวสุดๆค่ะว่าตม.ไม่ให้ผ่านเพราะกลัวไปทำงานขายบริการ เพราะงั้นจึงอยากแชร์อารมณ์ความรู้สึกและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้หญิงคนเดียวเที่ยวต่างประเทศให้เพื่อนๆเผื่อไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ
พร้อมจะไปแตะขอบฟ้ากันหรือยังคะ!!!!!!!
สิ่งที่จะพูดในตอนที่1 คือข้อมูลเบื้องต้นว่า
1. ต้องเตรียมอะไรบ้าง
2. เข้าตม.ยังไงให้ฉิว
3. ตั๋วเครื่องบินและการกรอกเอกสารต่างๆบนเครื่องบิน
4. วิธีการใช้รถไฟ
5. การเดินทางจากสนามบินไปเข้าเมือง
(ต่อพาร์ทสองค่า)
6. โรงแรมย่านไหนดี
7.ใช้พ็อคเก็ตwifiหรือซื้อซิม b-mobile ดีหว่า
8. เอาเงินไปเท่าไหร่ถึงจะพอ
9. จะถ่ายรูปยังไงหว่าไปคนเดียว
10. ไปคนเดียวจะอันตรายไหม เป็นเป้าให้คนจ้องเปล่านะ แล้วตอนกินข้าวล่ะ คนจะมองหาว่าไม่มีเพื่อนหรอยะมาคนเดียว
11. ของใช้พวกยาสระผม สบู่ โฟมล้างหน้าเอาไปดีไหม
12. ช้อปเสื้อผ้าดีเปล่านิ
ขอไล่เป็นข้อไปน้า
1.ต้องเตรียมอะไรบ้าง – ขอพูดรวมๆเพราะเห็นคนรีวิวเยอะแล้ว ของงเราไม่มีไรมาก เตรียมตัว เตรียมใจ เงิน ร่างกายให้ฟิตเพราะเดินเยอะมาก กระเป๋าเดินทางเอาใบใหญ่หนึ่งใบก็พอ และอาจสะพายเป้เสริมไปใบหนึ่งเผื่อตอนกลับซื้อของแล้วไม่พอใส่ ตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม แผนการเดินทาง การใช้รถไฟ statementหรือเอกสารแสดงฐานะการเงิน เอกสารรับรองการทำงาน (ขอจากบริษัทที่ทำงานอยู่เพื่อยินย้ันว่าเรามีเจตนาไปเที่ยวจริงๆ และะจะต้องกลับมาทำงาน คือเตรียมพวกนี้ไปให้ครบก็อุ่นใจแล้วววว
ช่วงเวลาที่เราไปคือปลายเดือนพฤษภา ซึ่งอากาศยังดีอยู่ (และดีมั่กมากหากเทียบกับบ้านเราที่กำลังร้อนตับแลบ) เสื้อผ้าจึงไม่ต้องหาซื้ออะไรให้เสียตังค์เพิ่ม พอถึงสนามบินนาริตะปุ๊บเดินออกมาก็กรี๊ดกับสภาพอากาศที่โปร่งใส เย็นสบาย โอวมันคือสวรรค์ชัดๆ (เวอร์ตลอด)
2.เข้าตม.ยังไงให้ฉิว – โชว์สิ่งที่เตรียมมาในข้อแรกให้เจ้าหน้าที่ตม.ดูค่ะ เพราะเราบริสุทธิ์ใจว่าไปเที่ยว เท่านี้ก็เรียบร้อยไม่มีปัญหาใดๆ ของเรานี่ผ่านแบบง่ายสุดๆจนงงเลยค่ะ ว่าไอ้ที่กลัวที่สุดก็คือด่านนี้แหละ เราว่าหากคุณมีเอกสารและแผนเที่ยวทุกอย่างพร้อม จิตใจก็จะสงบและไม่ต้องกลัวอะไร เราทำตัวปกติมันก็จะผ่านได้แบบง่ายๆ กรณีของเรานี่ไม่โดนตรวจกระเป๋า ไม่ถามรายละเอียดใดทั้งสิ้น มีแค่เจ้าหน้าที่เค้าพูดญี่ปุ่นใส่เราแต่เราฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยมั่วๆไปว่าอ๋อ hotelหรอ แล้วจะหยิบVoucher โรงแรมแต่เค้าบอกโอเคๆให้ผ่านเฉยทั้งที่ยังไม่ได้ควักอะไรออกมา ผ่านออกมาแบบมึนๆ ว่าเฮ้ยนี่เสร็จแล้วหรอ ก็เลยมานั่งคิดว่าที่ผ่านง่ายอาจะเพราะกระเป๋าเราแค่สองใบ ใบใหญ่กะเป้ และเราก็แต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อยนะ ใส่กางเกงขายาวสีดำกะสวมแจ็คเก็ตเก๋ๆทับ เราว่าจุดนี้หลายคนอาจมองข้ามไป จึงขอเน้นว่าแต่งตัวให้สุภาพไปก่อนก็ดี
3.ตั๋วเครื่องบินและการกรอกเอกสารต่างๆบนเครื่องบิน – เราบินของเดลต้า บินตรงด้วย ราคาประมาณหมื่นเก้าพันบาท ถือว่าไม่แพงนะคะ เพราะเป็นfull serviceมีอาหารหลักอาหารว่างพร้อมทาน ซึ่งแนะนำมากๆสำหรับมือใหม่หัดบินอย่างเราๆ ขอสรุปข้อดีข้อเสียนะคะ
ข้อดี 1.Full service ไม่ต้องไปเสียค่าอาหารเพิ่ม 2.บินตรง+ราคาไม่แพง ซึ่งดีมากๆสำหรับมือใหม่ที่ยังหน้ามึนๆอยู่ค่ะ(ตอนแรกเราคิดนานมากกว่าเอาแอร์เอเชียหรือคาเธ่ แต่พออ่านหลายๆรีวิวเลยรู้สึกว่าไม่เอาดีกว่า) 3.ฟรีโหลดกระเป๋าสองใบ ใบละยี่สิบโล ข้อเสีย 1.ที่นั่งแคบนิดนึง แต่ขากลับเราโชคดีมาก ที่นั่งตรงกลางว่างเลยได้เหยียดแขนขาสบายหน่อย 2.แอร์ค่อนข้างมีอายุ และบางคนหน้าโหดนิดหน่อย
4.วิธีการใช้รถไฟ – สิ่งนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่กลัวมากๆ เพราะมีแต่คนเคยพูดไว้ว่ามันยากและซับซ้อนสุดๆ เราจึงขออธิบายไว้ในที่นี้เลยค่ะ ว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่คุณต้องรู้หลัก ซึ่งก่อนไปเราก็ต้องหาข้อมูลไปก่อนอยู่แล้วถูกไหมคะ
หลักการง่ายๆขอการใช้รถไฟญี่ปุ่น คือ รู้สถานีปลายทางที่เราจะไป และดูว่าขึ้นรถไฟสายอะไรที่ชานชาลาไหน ซึ่งหากไม่มั่นใจ ณ ตอนนั้นว่าเราขึ้นถูกขบวนไหม วิธีที่ง่ายที่สุดคือถามนายท่าที่ยืนโบกหรือไม่ก็ที่ป้อม Information centerที่ไว้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าออกสถานีค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบคำถามเราได้อย่างเป๊ะทุกคนเลย และเค้ายินดีมากๆที่จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่าเราๆ ประโยคหากินของเราเลยก็เช่น Shinjuku what’s platform? เท่านี้แหละค่า ไม่ต้องไปลากประโยคยากซับซ้อนอะไร แค่นี้แหละหากินได้ตลอดทริปเบยย
วิธีที่advanceขึ้นมาหน่อยสำหรับคนไม่ชอบถามคือ เปิดกูเกิ้ลแมปแล้วsearchสถานีปลายทาง มันจะขึ้นสายรถไฟให้เราและสถานีสุดท้ายของเส้นทางรถไฟสายนั้น เช่น หากเราพักอยู่เมืองIkebukuro จะไปที่ Shinjuku มันจะขึ้นว่าให้ขึ้นรถไฟสาย Yamanote line toward Shinjuku/Shibuya/Ueno เพราะสถานีสุดท้ายของสายนี้คือที่ Uene ที่อยากจะสื่อคือหลักการเดินรถไฟญี่ปุ่นเป็นแบบตัวอย่างที่เราอธิบายมาข้างต้นน่ะค่ะ คือเราต้องรู้ว่าต้องขึ้นรถไฟสายไหนและ towardที่สถานีสุดท้ายอะไร ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพเพิ่มเติมนะคะ หากเราเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าบ้านเรา เช่น ตอนนี้อยู่สยามกำลังจะไปสะพานควาย สถานีสุดท้ายของสายที่เราจะขึ้นคือหมอชิต เพราะงั้นป้ายไฟที่แปะอยู่ตรงตัวรถไฟ คือ บีทีเอสสายสุขุมวิท toward หมอชิต เท่านี้เองค่ะ มีlogicแค่นี้เอง จึงอยากบอกว่ามันง่ายมากๆเลย ยกเว้นบางสายนะ ที่เค้าจะมีการเปลี่ยนขบวนออกบ้างซึ่งมันก็ไม่ยากอีกน่ะแหละ ปากคืออาวุธของเรา ถามมันเข้าไปค่ะ คือเจ้าหน้าที่เค้าใจดีมากๆๆๆๆจริงๆ (ยังไม่ขออธิบายในตอนนี้นะคะ จะขอไปเล่าตอนวันเที่ยวค่ะ) นอกจากนี้ก่อนไปเราก็เครียดว่าจะซื้อเจอาร์พาสดีไหม ในที่นี้ขอสรุปไว้เลยค่ะว่าถ้าไม่ได้ไปเมืองไกลๆจากโตเกียวโดยการนั่งชินคันเซ็น เช่น เกียวโต โอซาก้า นิกโก้ ฯ ไม่จำเป็นต้องซื้อเลยค่ะ ขอบอกว่าหากแผนเดินทางเยอะๆละก็ให้วางแผนซื้อพวกตั๋วเหมาหนึ่งวันจะคุ้มมากๆค่ะ ของเรานี่ซื้อบัตรใต้ดินแบบเหมาแค่วันเดียวเอง ส่วนวันอื่นใช้บัตรเติมเงิน Suicaค่าเดินทางเฉลี่ยวันนึงไม่เกิน1000เยนค่ะ รวมสิบวันก็แค่หมื่นกว่าเยน ยกเว้นว่าไปนอกโตเกียวอาจเกินนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าโอเค เพราะเราไม่ต้องไปเสียเจอาร์ พาสสามหมื่นกว่าเยนหรือคิดเป็นเงินไทยราคาหนึ่งหมื่นบาทโดยที่เราใช้ไม่คุ้มค่ะ เอาเงินไปกินแหลกดีกว่า555
5.การเดินทางจากสนามบินไปเข้าเมือง
มีวิธีการเยอะแยะจากสนามบินนาริตะค่ะ จะนั่งรถไฟก็ได้ แต่ที่แนะนำอย่างแรงสำหรับมือใหม่หัดบินและไปคนเดียวคือ Limuseen Bus ราคา 3100เยนค่ะ ใช้เวลาไม่เกินสองชม.ถึงโตเกียว (แต่ราคารถไฟมีหลายสายหลายราคาแต่ที่แพงสุดสองพันกว่าเยน) นั่งนอนสบายมาก มีคนยกกระเป๋าให้เรียบร้อยราวกับเป็นเจ้าหญิง555 ดีสุดๆฟินมากๆ ส่วนเหตุผลที่เราไม่ขึ้นรถไฟญี่ปุ่นมันต้องเดินค่อนข้างไกลกว่าจะเข้าถึงตัวรถไฟและตอนลงบรรไดก่อนเข้าสถานีไม่มีบรรไดเลื่อนค่ะ และคนก็เยอะทีเดียวเชียวแหละ หากถ่อสังขารที่มีสัมภาระเยอะคงเหนื่อยก่อนเที่ยวแน่ เพียงคุณเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย รับรองค่ะว่าไม่ผิดหวัง ซึ่งขั้นตอนการซื้อบัตรก็ง่ายมาก เพียงเดินเข้าไปที่เคาเตอร์ที่ตั้งตระหง่านชัดเจนอยู่แถวๆประตูทางออกสนามบินแล้วบอกว่าโรงแรมคุณอยู่ย่านไหน เค้าก็จะจัดแจงบอกเราว่าต้องลงตรงไหน โรมแรมที่เราพักใกล้กับจุดลงหรือเปล่าอะไรประมาณนี้นะค่ะ คือเจ้าหน้าที่เค้าพูดอังกฤษพอได้ค่ะ
ต่อไปต่อที่ลิงค์นี้เลยค่ะ เนื่องจากโพสต์ข้อความเกินที่เค้ากำหนดแล้ววววว
http://ppantip.com/topic/32211070
[CR] ผู้หญิงตัวคนเดียว (พาสปอร์ตโล่งสะอาด) ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้นะคะ (ตอนที่1)
สวัสดีค่ะ เพื่อนพี่ๆน้องๆห้องบลูแพลนเน็ต วันนี้เราขอเปิดกระทู้เรื่องของตัวเองบ้างนะคะ หลังจากที่มาเก็บเกี่ยวความรู้ในห้องนี้ได้อย่างมากมาย เลยรู้สึกว่าหากเรามาแชร์บ้างก็น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เรื่องที่จะมาเล่าในครั้งนี้คือ การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกคือไปญี่ปุ่น+ไปคนเดียว+เป็นผู้หญิง เป็นเวลารวมทั้งสิ้น 10 วัน ซึ่งที่อยากจะแชร์ก็คือ การตัดสินที่ต้องแน่วแน่พอสมควรเลยค่ะ เพราะคนรอบข้างคุณจะไม่มีใครเห็นด้วยเลยกับการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวที่ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน แล้วต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลาถึงเกือบครึ่งเดือน เสียงส่วนใหญ่จะคัดค้านหาว่าบ้าหรือเปล่าไปคนเดียวไม่กลัวหรอ ทำไมกล้าจัง มันยากนะ ทั้งด่านคนเข้าเมืองเอย รถไฟเอย แล้วนี่จะไปตั้งสิบวันจะสนุกได้ยังไง เธอเป็นผู้หญิงนะ และประเด็นเด็ดคืออะไรรู้ไหมคะ วันที่เราเดินทางคือวันที่ศุกร์ที่23 พฤษภาคม 2557 เวลาประมาณ 06.30น. ซึ่งก่อนหน้านั้นเพื่อนๆคงจะจำกันได้ดีว่าวันก่อนหน้าคือ22 พฤษภา 2557 มันคือวันประกาศกฎอัยการศึกจากคสช.นั่นเองค่ะ แล้วแถมมีเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านเวลาสี่ทุ่มถึงตีห้าด้วยนะ จะไปสนามบินยังไงฟะ ตูต้องไปก่อนเวลาสองชม.นะ ซึ่งทำเอาเราเงิบไปนิดหน่อยเหมือนกันนะคะ เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันยังไม่ชัดเจนว่าจะรุนแรงหรือเปล่า เรื่องนี้ก็ทำเอาที่บ้านกลัวจนไม่อยากให้เราไปเลยค่ะ
นั่นแหละเลยอยากจะบอกว่ากว่าจะผ่านสิ่งต่างๆเหล่านี้มาได้มันไม่ง่ายเท่าไหร่นะคะ แต่เมื่อมานั่งย้อนคิดดูเนี่ย ถ้าเราไม่ไปมันจะทำให้เราไม่กล้าเหมือนเดิมและก็ยังกลัวนั่นนี่ไม่เลิก เพราะงั้นจึงอยากจะสรุปว่าอย่าให้คำว่า ”เป็นผู้หญิง” และ “ไปคนเดียว” มาเป็นสิ่งตัดสินและปิดกั้นโอกาสให้เราไม่กล้าเลือกทางเดินที่จะไปเปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้างและเหยียบดินแดนแห่งความฝันของเราได้ค่ะ เพราะเมื่อคุณกลับมาแล้วนั้น มันจะได้ข้อคิดและเปิดกรอบแนวคิดชีวิตของเราให้กว้างขึ้น แล้วรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรดีๆที่น่าค้นหาอีกเยอะค่ะ
อาจจะเกริ่นยาวไปนิด แต่เชื่อว่าต้องมีผู้หญิงอย่างเราๆอีกเยอะค่ะ ที่ยังลังเลว่าจะเอายังไงดี ไปดีไหม เพราะก่อนที่เราจะไปนั้น เราหาข้อมูลที่ว่าผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวได้น้อยมากๆเลยค่ะ กลัวมากทั้งเรื่องรถไฟที่ใครๆก็ว่ายากสุดๆ เรื่องเข้าประเทศก็ยากเวอร์ แล้วเรื่องโรงแรมล่ะจะยังไง นอนคนเดียวหรือก็กลัว นอนห้องรวมหรือ จะปลอดภัยไหมฟะ แล้วยิ่งเราเป็นผู้หญิงไปคนเดียว แถมพาสปอร์ตโล่งสะอาดเชียว ก็เลยยิ่งกลัวสุดๆค่ะว่าตม.ไม่ให้ผ่านเพราะกลัวไปทำงานขายบริการ เพราะงั้นจึงอยากแชร์อารมณ์ความรู้สึกและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้หญิงคนเดียวเที่ยวต่างประเทศให้เพื่อนๆเผื่อไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะคะ
พร้อมจะไปแตะขอบฟ้ากันหรือยังคะ!!!!!!!
สิ่งที่จะพูดในตอนที่1 คือข้อมูลเบื้องต้นว่า
1. ต้องเตรียมอะไรบ้าง
2. เข้าตม.ยังไงให้ฉิว
3. ตั๋วเครื่องบินและการกรอกเอกสารต่างๆบนเครื่องบิน
4. วิธีการใช้รถไฟ
5. การเดินทางจากสนามบินไปเข้าเมือง
(ต่อพาร์ทสองค่า)
6. โรงแรมย่านไหนดี
7.ใช้พ็อคเก็ตwifiหรือซื้อซิม b-mobile ดีหว่า
8. เอาเงินไปเท่าไหร่ถึงจะพอ
9. จะถ่ายรูปยังไงหว่าไปคนเดียว
10. ไปคนเดียวจะอันตรายไหม เป็นเป้าให้คนจ้องเปล่านะ แล้วตอนกินข้าวล่ะ คนจะมองหาว่าไม่มีเพื่อนหรอยะมาคนเดียว
11. ของใช้พวกยาสระผม สบู่ โฟมล้างหน้าเอาไปดีไหม
12. ช้อปเสื้อผ้าดีเปล่านิ
ขอไล่เป็นข้อไปน้า
1.ต้องเตรียมอะไรบ้าง – ขอพูดรวมๆเพราะเห็นคนรีวิวเยอะแล้ว ของงเราไม่มีไรมาก เตรียมตัว เตรียมใจ เงิน ร่างกายให้ฟิตเพราะเดินเยอะมาก กระเป๋าเดินทางเอาใบใหญ่หนึ่งใบก็พอ และอาจสะพายเป้เสริมไปใบหนึ่งเผื่อตอนกลับซื้อของแล้วไม่พอใส่ ตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม แผนการเดินทาง การใช้รถไฟ statementหรือเอกสารแสดงฐานะการเงิน เอกสารรับรองการทำงาน (ขอจากบริษัทที่ทำงานอยู่เพื่อยินย้ันว่าเรามีเจตนาไปเที่ยวจริงๆ และะจะต้องกลับมาทำงาน คือเตรียมพวกนี้ไปให้ครบก็อุ่นใจแล้วววว
ช่วงเวลาที่เราไปคือปลายเดือนพฤษภา ซึ่งอากาศยังดีอยู่ (และดีมั่กมากหากเทียบกับบ้านเราที่กำลังร้อนตับแลบ) เสื้อผ้าจึงไม่ต้องหาซื้ออะไรให้เสียตังค์เพิ่ม พอถึงสนามบินนาริตะปุ๊บเดินออกมาก็กรี๊ดกับสภาพอากาศที่โปร่งใส เย็นสบาย โอวมันคือสวรรค์ชัดๆ (เวอร์ตลอด)
2.เข้าตม.ยังไงให้ฉิว – โชว์สิ่งที่เตรียมมาในข้อแรกให้เจ้าหน้าที่ตม.ดูค่ะ เพราะเราบริสุทธิ์ใจว่าไปเที่ยว เท่านี้ก็เรียบร้อยไม่มีปัญหาใดๆ ของเรานี่ผ่านแบบง่ายสุดๆจนงงเลยค่ะ ว่าไอ้ที่กลัวที่สุดก็คือด่านนี้แหละ เราว่าหากคุณมีเอกสารและแผนเที่ยวทุกอย่างพร้อม จิตใจก็จะสงบและไม่ต้องกลัวอะไร เราทำตัวปกติมันก็จะผ่านได้แบบง่ายๆ กรณีของเรานี่ไม่โดนตรวจกระเป๋า ไม่ถามรายละเอียดใดทั้งสิ้น มีแค่เจ้าหน้าที่เค้าพูดญี่ปุ่นใส่เราแต่เราฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยมั่วๆไปว่าอ๋อ hotelหรอ แล้วจะหยิบVoucher โรงแรมแต่เค้าบอกโอเคๆให้ผ่านเฉยทั้งที่ยังไม่ได้ควักอะไรออกมา ผ่านออกมาแบบมึนๆ ว่าเฮ้ยนี่เสร็จแล้วหรอ ก็เลยมานั่งคิดว่าที่ผ่านง่ายอาจะเพราะกระเป๋าเราแค่สองใบ ใบใหญ่กะเป้ และเราก็แต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อยนะ ใส่กางเกงขายาวสีดำกะสวมแจ็คเก็ตเก๋ๆทับ เราว่าจุดนี้หลายคนอาจมองข้ามไป จึงขอเน้นว่าแต่งตัวให้สุภาพไปก่อนก็ดี
3.ตั๋วเครื่องบินและการกรอกเอกสารต่างๆบนเครื่องบิน – เราบินของเดลต้า บินตรงด้วย ราคาประมาณหมื่นเก้าพันบาท ถือว่าไม่แพงนะคะ เพราะเป็นfull serviceมีอาหารหลักอาหารว่างพร้อมทาน ซึ่งแนะนำมากๆสำหรับมือใหม่หัดบินอย่างเราๆ ขอสรุปข้อดีข้อเสียนะคะ
ข้อดี 1.Full service ไม่ต้องไปเสียค่าอาหารเพิ่ม 2.บินตรง+ราคาไม่แพง ซึ่งดีมากๆสำหรับมือใหม่ที่ยังหน้ามึนๆอยู่ค่ะ(ตอนแรกเราคิดนานมากกว่าเอาแอร์เอเชียหรือคาเธ่ แต่พออ่านหลายๆรีวิวเลยรู้สึกว่าไม่เอาดีกว่า) 3.ฟรีโหลดกระเป๋าสองใบ ใบละยี่สิบโล ข้อเสีย 1.ที่นั่งแคบนิดนึง แต่ขากลับเราโชคดีมาก ที่นั่งตรงกลางว่างเลยได้เหยียดแขนขาสบายหน่อย 2.แอร์ค่อนข้างมีอายุ และบางคนหน้าโหดนิดหน่อย
4.วิธีการใช้รถไฟ – สิ่งนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่กลัวมากๆ เพราะมีแต่คนเคยพูดไว้ว่ามันยากและซับซ้อนสุดๆ เราจึงขออธิบายไว้ในที่นี้เลยค่ะ ว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่คุณต้องรู้หลัก ซึ่งก่อนไปเราก็ต้องหาข้อมูลไปก่อนอยู่แล้วถูกไหมคะ
หลักการง่ายๆขอการใช้รถไฟญี่ปุ่น คือ รู้สถานีปลายทางที่เราจะไป และดูว่าขึ้นรถไฟสายอะไรที่ชานชาลาไหน ซึ่งหากไม่มั่นใจ ณ ตอนนั้นว่าเราขึ้นถูกขบวนไหม วิธีที่ง่ายที่สุดคือถามนายท่าที่ยืนโบกหรือไม่ก็ที่ป้อม Information centerที่ไว้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าออกสถานีค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบคำถามเราได้อย่างเป๊ะทุกคนเลย และเค้ายินดีมากๆที่จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่าเราๆ ประโยคหากินของเราเลยก็เช่น Shinjuku what’s platform? เท่านี้แหละค่า ไม่ต้องไปลากประโยคยากซับซ้อนอะไร แค่นี้แหละหากินได้ตลอดทริปเบยย
วิธีที่advanceขึ้นมาหน่อยสำหรับคนไม่ชอบถามคือ เปิดกูเกิ้ลแมปแล้วsearchสถานีปลายทาง มันจะขึ้นสายรถไฟให้เราและสถานีสุดท้ายของเส้นทางรถไฟสายนั้น เช่น หากเราพักอยู่เมืองIkebukuro จะไปที่ Shinjuku มันจะขึ้นว่าให้ขึ้นรถไฟสาย Yamanote line toward Shinjuku/Shibuya/Ueno เพราะสถานีสุดท้ายของสายนี้คือที่ Uene ที่อยากจะสื่อคือหลักการเดินรถไฟญี่ปุ่นเป็นแบบตัวอย่างที่เราอธิบายมาข้างต้นน่ะค่ะ คือเราต้องรู้ว่าต้องขึ้นรถไฟสายไหนและ towardที่สถานีสุดท้ายอะไร ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพเพิ่มเติมนะคะ หากเราเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าบ้านเรา เช่น ตอนนี้อยู่สยามกำลังจะไปสะพานควาย สถานีสุดท้ายของสายที่เราจะขึ้นคือหมอชิต เพราะงั้นป้ายไฟที่แปะอยู่ตรงตัวรถไฟ คือ บีทีเอสสายสุขุมวิท toward หมอชิต เท่านี้เองค่ะ มีlogicแค่นี้เอง จึงอยากบอกว่ามันง่ายมากๆเลย ยกเว้นบางสายนะ ที่เค้าจะมีการเปลี่ยนขบวนออกบ้างซึ่งมันก็ไม่ยากอีกน่ะแหละ ปากคืออาวุธของเรา ถามมันเข้าไปค่ะ คือเจ้าหน้าที่เค้าใจดีมากๆๆๆๆจริงๆ (ยังไม่ขออธิบายในตอนนี้นะคะ จะขอไปเล่าตอนวันเที่ยวค่ะ) นอกจากนี้ก่อนไปเราก็เครียดว่าจะซื้อเจอาร์พาสดีไหม ในที่นี้ขอสรุปไว้เลยค่ะว่าถ้าไม่ได้ไปเมืองไกลๆจากโตเกียวโดยการนั่งชินคันเซ็น เช่น เกียวโต โอซาก้า นิกโก้ ฯ ไม่จำเป็นต้องซื้อเลยค่ะ ขอบอกว่าหากแผนเดินทางเยอะๆละก็ให้วางแผนซื้อพวกตั๋วเหมาหนึ่งวันจะคุ้มมากๆค่ะ ของเรานี่ซื้อบัตรใต้ดินแบบเหมาแค่วันเดียวเอง ส่วนวันอื่นใช้บัตรเติมเงิน Suicaค่าเดินทางเฉลี่ยวันนึงไม่เกิน1000เยนค่ะ รวมสิบวันก็แค่หมื่นกว่าเยน ยกเว้นว่าไปนอกโตเกียวอาจเกินนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าโอเค เพราะเราไม่ต้องไปเสียเจอาร์ พาสสามหมื่นกว่าเยนหรือคิดเป็นเงินไทยราคาหนึ่งหมื่นบาทโดยที่เราใช้ไม่คุ้มค่ะ เอาเงินไปกินแหลกดีกว่า555
5.การเดินทางจากสนามบินไปเข้าเมือง
มีวิธีการเยอะแยะจากสนามบินนาริตะค่ะ จะนั่งรถไฟก็ได้ แต่ที่แนะนำอย่างแรงสำหรับมือใหม่หัดบินและไปคนเดียวคือ Limuseen Bus ราคา 3100เยนค่ะ ใช้เวลาไม่เกินสองชม.ถึงโตเกียว (แต่ราคารถไฟมีหลายสายหลายราคาแต่ที่แพงสุดสองพันกว่าเยน) นั่งนอนสบายมาก มีคนยกกระเป๋าให้เรียบร้อยราวกับเป็นเจ้าหญิง555 ดีสุดๆฟินมากๆ ส่วนเหตุผลที่เราไม่ขึ้นรถไฟญี่ปุ่นมันต้องเดินค่อนข้างไกลกว่าจะเข้าถึงตัวรถไฟและตอนลงบรรไดก่อนเข้าสถานีไม่มีบรรไดเลื่อนค่ะ และคนก็เยอะทีเดียวเชียวแหละ หากถ่อสังขารที่มีสัมภาระเยอะคงเหนื่อยก่อนเที่ยวแน่ เพียงคุณเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย รับรองค่ะว่าไม่ผิดหวัง ซึ่งขั้นตอนการซื้อบัตรก็ง่ายมาก เพียงเดินเข้าไปที่เคาเตอร์ที่ตั้งตระหง่านชัดเจนอยู่แถวๆประตูทางออกสนามบินแล้วบอกว่าโรงแรมคุณอยู่ย่านไหน เค้าก็จะจัดแจงบอกเราว่าต้องลงตรงไหน โรมแรมที่เราพักใกล้กับจุดลงหรือเปล่าอะไรประมาณนี้นะค่ะ คือเจ้าหน้าที่เค้าพูดอังกฤษพอได้ค่ะ
ต่อไปต่อที่ลิงค์นี้เลยค่ะ เนื่องจากโพสต์ข้อความเกินที่เค้ากำหนดแล้ววววว
http://ppantip.com/topic/32211070