ทำยังไงดีครับ รู้สึกว่า Major เอาเปรียบและเห็นแก่ผลประโยชน์จนเกินไป

จริงๆกระทู้แบบนี้เคยเห็นออกมาแล้วหลายอัน รวมถึงแฟนเพจต่อต้านมากมาย ที่เคยเป็นกรณีมาแล้ว
ทั้งค่าตั๋วที่แพงขึ้น ค่าป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มที่แพงเกินไป แต่ได้นิดเดียว และการยัดเยียดบัตรนู่นบัตรนี่ให้ถือให้วุ่นวายหลายใบ

มาวันนี้ หลายอย่างมันรวม ๆ กัน ยิ่งมองดู ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ ทำไมถึงคิดเอาแต่ได้ เห็นลูกค้าเป็นของตายหรือไง
แต่ถ้าจะไม่ให้ใช้บริการก็ดันมีรายใหญ่แค่ไม่กี่เจ้า ทางเลือกลูกค้าไม่ได้เยอะแยะเท่าไหร่นัก

ส่วนตัวผมเองได้ใช้บริการทั้งสองเจ้าหลักมาตลอด แต่จะใช้บริการ Major บ่อยกว่า SF เหตุเนื่องจากสถานที่ที่พักและที่ทำงานใกล้กับเครือนี้ และมีโรงภาพยนตร์กระจายค่อนข้างมากกว่าอีกเจ้า มีจำนวนโรงฉายที่มากกว่า มีระบบใหม่กว่า ดีกว่า อันนี้ยอมรับ (แต่ปัจจุบัน SF ก็เกือบจะมีเท่าแล้ว ขาดแค่ 4DX และ IMAX)

ขอไล่เรื่องราวที่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบดังนี้

1. ราคาบัตรปรกติ ที่ตอนนี้หลาย ๆ โรงของ Major จะทะลุ 200 เข้าไปทุกทีแล้ว จะดีหน่อยถ้ามีบัตร M Gen ที่จะทำให้เริ่มประมาณ 170-190 (ในกทม.)
ส่วนตัวผมไม่ได้ซีเรียสมาก เพราะเป็นคนที่ใช้โปรโมชั่นต่าง ๆ เป็นประจำ ทั้งทรู กสิกร บัตรเครดิตต่าง ๆ ที่ให้สิทธิ์ส่วนลด หรือ 1 แถม 1 เวลาดูกับเพื่อน จึงทำให้ค่าตั๋วเฉลี่ยลงมาครั้งละประมาณ 100-120 บาทได้
แต่..... มันอยู่ที่ข้อถัด ๆ ไปครับ

2. หนัง 3 มิติ... แต่ก่อนเวลาจะดู ค่าตั๋วจะอัพขึ้นมานิดหน่อย แต่แจกแว่นหน้าโรง แต่ไม่รู้เพราะแว่นหายบ่อยหรืออย่างไร หรืออยากทำกำไร Major ดันมาเปลี่ยนให้ทุกคนต้องมีแว่นเป็นของตัวเอง คือขายแว่นนั่นเองพูดง่าย ๆ แล้วก็บอกว่า ต่อไปนี้ตั๋ว 3 มิติ เราขายราคาตั๋วปกตินะ แต่คุณต้องเอาแว่นมา
มอง ๆ ดูก็เหมือนจะดี เสียค่าแว่นครั้งเดียวใช่มั้ย แต่ขอถามหน่อยครับ ในความเป็นจริง ใครจะพกแว่น 3 มิติติดตัวทุกวันกันบ้าง
วันดีคืนดีเพื่อนชวนไปดูหนัง เราเคยซื้อแว่นแล้วก็จริง แต่ดันไม่ได้เอามาด้วย ก็ต้องซื้อใหม่หน้าโรง แล้วใครได้เงิน -> Major ไงครับ
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ นอกจากแว่นจะกองเต็มบ้าน ยังเสียเงินให้ Major ไม่น้อยเลยทีเดียว

3. ในข้อแรกพูดถึง M Gen ใช่มั้ยครับ ที่ช่วยเราลดค่าตั๋ว แถมยังได้แต้มไว้แลกตั๋วหรือใช้แทนเงินอีก ใช่ครับ แต่ก่อนมันก็ดี จนเมื่อไม่นานมานี้ Major ปรับกฎใหม่ บัตรมีอายุ 1 ปี นอกจากเสียเงินทำครั้งแรกและตอนบัตรหาย เรายังต้องจ่ายอีกทุกปีนะครับ แถมแต้มก็จะหมดไป ถ้าเราไม่ใช้ และกว่าจะได้แต้มนึง ต่อไปนี้ต้องใช้ถึง 50 บาททีเดียว คือมันก็คุ้มแหละครับ ลดค่าตั๋ว 20 บาทต่อใบ (บัตรดำ) สมมติค่าบัตร 100 บาท ดู 5 ครั้งก็เท่ากับค่าบัตรแล้ว ยิ่งดูไปอีกก็จะเหมือนได้บัตรมาฟรี แต่กว่าจะได้แต้มมาแลกตั๋ว หรือเอามาลดป๊อปคอร์น ขั้นต่ำเลยคือ 50 แต้ม หรือ 2500 บาทเลยครับ แล้วบางคนก็ไม่ได้ใช้แต้มเลยด้วยซ้ำ มารู้อีกที แต้มโดนตัดเพราะหมดอายุไปแล้ว

4. ข้อนี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่มานาน หลายคนมีวิธีแก้ต่าง ๆ กันไป บางคนอาจไม่เสียเงินตรงนี้โดยไม่ซื้อเลย นั้นก็คือ ป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม ขนม ที่ราคาแสนจะแพง แถมได้นิดเดียว หลายคนบอกไม่ต้องกิน หรือบางคนแอบเอาจากข้างนอกเข้าไป อันนี้ตามแต่สะดวก แต่ผมมองว่า ถ้า Major ไม่อยากให้ซื้อของข้างนอก ทำไมคุณขายถูกลงหน่อยไม่ได้ คือผมมองว่าการทำป๊อปคอร์นขายกล่องละ 100+ เนี่ย มันค้ากำไรเกินควรมากๆ ต้นทุนไม่น่าจะแพงขนาดนั้น ถ้าเป็นชุดพรีเมี่ยมตามแต่ละภาพยนตร์ที่มีลิขสิทธิ์ มีการจัดทำใหม่เรื่อย ๆ อันนี้ก็ว่าไปอย่าง ชุดละ 200-300 ก็ขายไป ใครพอใจซื้อก็ตามสบาย แต่ชุดเบสิค ป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่า ทำไมต้องขายแพงขนาดนี้ ?

5. ล่าสุดเพิ่งเจอมาครับ ปกติ Major รัชโยธิน จะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วยาวเหยียว ทั้งของ IMAX, ของผู้ที่จอง และช่องปกติทั่วไป
คือปกติก็เปิดไม่ครบทุกช่องอยู่แล้ว มาตอนนี้ Major รัชโยธิน (และผมคิดว่าอีกหลาย ๆ ที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนหมด) ปรับเคาน์เตอร์เป็นตู้อัตโนมัติเกือบหมด
โดยที่เขามีเจ้าหน้าที่คอยประกาศชักจูงให้คนไปซื้อที่เครื่องพร้อมกับพ่วงขายบัตร M Cash ให้เราเติมเงินไปให้เขาทีละเยอะ ๆ ด้วยเหตุที่ว่า สะดวก รวดเร็ว ได้ที่ดี ๆ ก่อนใคร ไม่เสียเวลาต่อแถว และจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตได้ เท่ากับว่าเขาพยายามตัดทางการใช้โปรโมชั่นของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันโปรโมชั่นที่แต่ละสปอนเซอร์ร่วมด้วย ก็มักจะให้โควต้าที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนโรงทั่วประเทศ และประชากรที่หันมาดูภาพยนตร์มากขึ้น เรียกได้ว่าภายใน 7 วันแรกของแต่ละเดือนก็แทบจะเต็มแล้ว ยิ่งถ้ามีหนังฟอร์มยักษ์ ไม่ต้องหวังใช้กันเลยทีเดียว

โดยปัจจุบันนี้ ลูกค้าที่ประสงค์จะใช้โปรโมชั่น แม้จะจองมาล่วงหน้า ก็ต้องต่อแถวยาวเหยียด ขดไปมา จนบางทีระยะเวลาของรหัสจองที่ต้องนำมารับก่อนหนังฉาย 45 นาทีหมดไป ทำให้ที่นั่งที่เลือกมาหลุดจากการจอง และก็อาจโดนคนอื่นแย่ง หรือแย่ที่สุด ดันเหลือแต่แถวหน้าจอฉายให้เลือก ซึ่งบางคนอาจจะต้องเลือกรอบถัดไปเลยก็ได้

คำถามคือ ทำยังไงให้ตู้อัตโนมัติเกิดประโยชน์และจริงใจกับลูกค้า ?
ผมมองว่าการมีตู้อัตโนมัติเป็นสิ่งที่ดีและเข้ากับยุคสมัยใหม่ครับ แต่คุณน่าจะทำให้ตู้สามารถใช้โปรโมชั่นได้เสมือนกับทำรายการที่เคาน์เตอร์
โดยออกแบบโปรแกรม UI ให้มันใช้ง่ายเหมือนแอปฯโทรศัพท์ทุกวันนี้ มีที่รูดบัตรสิทธิพิเศษต่าง ๆ หรือช่องกรอกโค้ดรหัสส่วนลดให้เรียบร้อย
แล้วให้เจ้าหน้าที่ค่อยช่วยแนะนำลูกค้าในเบื้องต้น พอนาน ๆ ไป ลูกค้าใช้คล่อง ทีนี้ก็เกิดความคล่องตัว ไม่ต้องมารอกันยาว ๆ ใครอยากซื้อเงินสด หรือบัตรเครดิตราคาเต็ม หรือจะใช้โปรโมชั่นก็สามารถทำได้ด้วยตนเองทุกคน เมื่อลูกค้ารู้สึกสบายและมีทางเลือก ผมว่าการบอกต่อชักชวนมันก็จะมาเองครับ

แต่ทุกวันนี้ลองดูสิ่งที่ผมพบเจอมา มันเหมือนคุณมองว่าเราเป็นของตาย บ่นไปแต่ก็ยังมาใช้บริการ ใช่ครับ ตอนนี้ทางเลือกมันไม่เยอะเท่าไหร่
จะไปบอกบังคับใครก็คงทำไม่ได้หมด แต่ผมเชื่อว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ไป และหนักข้อเรื่อย ๆ คนไทยเราไม่โง่ครับ อยากให้ทาง Major พิจารณาในส่วนนี้
ใจเขาใจเรา อยู่ด้วยกันอย่างพึ่งพา ไม่เอาเปรียบจนเกินไป น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่านี้ครับ

หรือเพื่อนสมาชิกคนอื่นมีคำแนะนำอย่างไรกับปัญหานี้บ้างครับ ?
แต่ถ้าจะบอกให้เลิกดูเลยและรอแผ่น ผมก็คงทำไม่ได้ เพราะการจะเดินทางไปใช้บริการเจ้าอื่น บางทีบวกลบคูณหาร มันก็เสียเงินค่าน้ำมันพอ ๆ กัน
ยิ่งให้รอแผ่น ก็ไม่รู้อีกกี่เดือน มันเลยเป็นปัญหาคาราคาซังของคนไทย บอกตรง ๆ ถ้าจะรณรงค์ให้คนเลิกดูแผ่นผี โหลดบิต แล้วมาดูของลิขสิทธิ์หรือในโรง แต่ทางโรงภาพยนตร์ยังเอาเปรียบแบบนี้ หน่วยงานทั้งหลายก็อย่าไปโทษประชาชนเลยครับ

ปล. ไม่ได้พูดเรื่องค่าจอดรถนะครับ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ กัน บางโรงอยู่ในบางห้าง ก็มีการเก็บเงินเป็นกฎของห้าง บางห้างมีการลดหย่อนจากการใช้บริการ บางห้างก็ฟรี จุดนี้เลยไม่ขอพูดถึงครับ

ขอบคุณที่อ่านและแสดงความคิดเห็นร่วมกันครับ
อยากเห็นคนไทยอยู่กันแบบพึ่งพาและมีความสุข ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่