หากเราเคยหลงรักเจ้าหญิงผมสีทอง ปากสีแดง ความงามดุจแสงตะวันเหมือนชื่อออโรร่า แต่คำสาปชั่วร้ายกับครอบเธอให้หลับใหลชั่วกาลจนกว่าจะมีจุมพิตแห่งรักแท้ เราอาจจะอยากรู้ความจริงที่มาของคำสาปที่ร่ายมนต์สะกดหัวใจคนทั้งโลก ภาพนางปีศาจร้ายตากลมโต พร้อมเขาอันดูเป็นเอกลักษณ์ของมาเลฟิเซนต์ในปี1959 ด้วยความที่เป็นยุคบุกเบิกของดิสนีย์ จึงทำให้ภาพของมาลิฟิเซนต์เป็นเพียงภาพความชั่วร้ายแบบไร้ความสมเหตุสมผล ไม่มีมิติตื้นลึกหนาบาง ตามสไตล์นิยายรักคลาสสิคของดิสนีย์ แต่มาลิฟิเซนต์กลับเป็นตัวร้ายที่น่าจดจำพอๆกับเออซูล่าร์ ใน The Little Mermaid
มาเลฟิเซนต์ หวนคืนจออีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ ผ่านเรื่องเล่าจากปากคำของเจ้าหญิงนิทราฉายภาพอีกด้านของปีกที่ดำทะมึน เพื่อแก้ตัวให้กับนางไม่ใช่ปีศาจอย่างที่คิด แต่เปี่ยมไปด้วยความรักและอาทร
ความพลิกผันของตัวละครจากขาวกลายเป็นดำ เกี่ยวเนื่องกับคิงส์สเตฟาน พ่อของออโรร่า ความสัมพันธ์ครั้งก่อนที่เขาจะขึ้นครอบครองบัลลังก์ เมื่อครั้งทั้งสอง (สเตฟานและมาเลฟิเซนต์)ยังเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับนางฟ้า ในอารณาจักรเมืองมัวส์ จนพัฒนาสู่ความรักในวัยรุ่นก่อนที่สเตฟานจะลุ่มหลงในความปรารถนาแบบมนุษย์และตีจากมาเลฟิเซนต์ไป
ความกระหายในอำนาจของคิงส์สเตฟาน ก่อให้เกิดเป็นจุดกำเนิดของปีศาจร้ายนามมาเลฟิเซนต์ และเรื่องราวของเจ้าหญิงนิทรา หลังคำสาปชั่วร้ายที่มอบให้แด่เจ้าหญิงน้อยในวันประสูติ ความแค้นมืดดำกัดกินใจของมาเลฟิเซนต์ เธอคิดเพียงว่าการสาปเป็นเพียงการแก้แค้นที่สาสมเหมือนที่คิงส์สเตฟานเคยหักหลังและพรากปีกอันแสนรักของเธอ จวบจนทำให้โลกที่เคยมีสีสดใสกลายเป็นโลกที่มืดดำ รักแท้เป็นเรื่องลวงหลอก จนกระทั่งแสงสว่างจากความสดใสและบริสุทธิ์ของออโรร่า ชะล้างใจให้โลกของมาเลฟิเซนต์งดงามอีกครั้ง
มาลิฟิเซนต์ เปรียบเสมือนเหรียญอีกด้านที่เราไม่ใคร่จะสนใจรู้ หากแต่สาเหตุความชั่วร้ายของนางทำให้เราต้องมองโลกในหลายมุมมากขึ้น ความชั่วร้ายของคนไม่ได้มาพร้อมตั้งแต่เกิด แต่มันมาจากสภาพแรงกดดัน สังคม ผู้คนบีบคั้นให้เราต้องเป็นนางมารร้าย
มาเลฟิเซนต์พยายามบอกว่า เรื่องราวที่เราเคยได้ยิน ได้เห็น อาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ถ่ายทอดนั้น เจ้าหญิงนิทราในปี 1959 เป็นเรื่องเล่าจากหนังสือโดยคนอื่น แต่สำหรับเวอร์ชั่นนี้มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์และประสบมันมาด้วยตัวเองนั่นคือ ออโรร่า ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การแสดงของโจลี่ที่ดึงดูดคนดูตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่อง การแสดงจากภายใน บทพูดที่น้อยนิดแต่เต็มไปด้วยพลังและความหน้าเกรงขาม ทำให้เสียงน้อยใหญ่ต่างชื่นชมในการกลับมาครั้งนี้ของเธอ ตัวละครคิงส์สเตฟานถูกทำให้ดาร์กขึ้น นางฟ้าสามสี ที่เราเคยเห็นและชื่นชมในความดี มองเห็นพวกเธอเป็นดั่งนางฟ้าผู้พิทักษ์ ในเวอร์ชั่นนี้กลายเป็นตัวเปิ่น ซึ่งเวอร์ชั่นนี้เสียอย่างเดียว ตรงที่มาลิฟิเซนต์มีอีกหลายเรื่อง หลายฉากที่สามารถเจาะเพิ่มให้คนดูตราตรึงได้อีก แต่หนังสั้น เล่าแบบรวบรัดเพราะคิดว่าคนดูรู้จักเรื่องเดิมอยู่แล้ว รวมไปถึงการเคารพเส้นเรื่องเดิม แต่งเพิ่มเสริมแตกขยายออกไปได้อย่างน่าสนใจ ตอนจบก็ยังหักมุมแต่ก็เหมือนกับเล่นมุมซ้ำ จุมพิตจากรักแท้ของ FROZEN
สุดท้าย มาเลฟิเซนต์สานต่อจินตนาการได้อย่างน่าจดจำ แฟนดิสนีย์ปริ๊นเซสไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง อีกอย่างที่มองว่าการนำกลับมาทำใหม่ในรอบ 55 ปี เพราะดิสนีย์อาจจะเข้าใจว่า เด็กในวันนั้น ต่างเติบโตขึ้น เรียนรู้ ผ่านร้อนผ่านหนาวและพอจะเข้าใจถึงโลกที่มีสองด้านและการมองต่างมุม มาลิฟิเซนต์จึงปรากฎกายขึ้นเพื่อบอกให้คนดูทุกคนรู้ว่า อย่าเชื่อเพียงเรื่องที่บอกเล่ากันมาและให้มองมุมกลับ มองเหรียญที่มีอยู่ 2 ด้านเสมอ ซึ่งในที่สุดตัวร้ายที่หลายคนไม่ชอบกลับกลายเป็นนางฟ้าที่งดงามที่สุดของดิสนีย์เลย
Twitter : @nookkill
มาเลฟิเซนต์(Maleficent) ความจริงหลังปีกสีดำทะมึน สปอยนิดนึงส์
มาเลฟิเซนต์ หวนคืนจออีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ ผ่านเรื่องเล่าจากปากคำของเจ้าหญิงนิทราฉายภาพอีกด้านของปีกที่ดำทะมึน เพื่อแก้ตัวให้กับนางไม่ใช่ปีศาจอย่างที่คิด แต่เปี่ยมไปด้วยความรักและอาทร
ความพลิกผันของตัวละครจากขาวกลายเป็นดำ เกี่ยวเนื่องกับคิงส์สเตฟาน พ่อของออโรร่า ความสัมพันธ์ครั้งก่อนที่เขาจะขึ้นครอบครองบัลลังก์ เมื่อครั้งทั้งสอง (สเตฟานและมาเลฟิเซนต์)ยังเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับนางฟ้า ในอารณาจักรเมืองมัวส์ จนพัฒนาสู่ความรักในวัยรุ่นก่อนที่สเตฟานจะลุ่มหลงในความปรารถนาแบบมนุษย์และตีจากมาเลฟิเซนต์ไป
ความกระหายในอำนาจของคิงส์สเตฟาน ก่อให้เกิดเป็นจุดกำเนิดของปีศาจร้ายนามมาเลฟิเซนต์ และเรื่องราวของเจ้าหญิงนิทรา หลังคำสาปชั่วร้ายที่มอบให้แด่เจ้าหญิงน้อยในวันประสูติ ความแค้นมืดดำกัดกินใจของมาเลฟิเซนต์ เธอคิดเพียงว่าการสาปเป็นเพียงการแก้แค้นที่สาสมเหมือนที่คิงส์สเตฟานเคยหักหลังและพรากปีกอันแสนรักของเธอ จวบจนทำให้โลกที่เคยมีสีสดใสกลายเป็นโลกที่มืดดำ รักแท้เป็นเรื่องลวงหลอก จนกระทั่งแสงสว่างจากความสดใสและบริสุทธิ์ของออโรร่า ชะล้างใจให้โลกของมาเลฟิเซนต์งดงามอีกครั้ง
มาลิฟิเซนต์ เปรียบเสมือนเหรียญอีกด้านที่เราไม่ใคร่จะสนใจรู้ หากแต่สาเหตุความชั่วร้ายของนางทำให้เราต้องมองโลกในหลายมุมมากขึ้น ความชั่วร้ายของคนไม่ได้มาพร้อมตั้งแต่เกิด แต่มันมาจากสภาพแรงกดดัน สังคม ผู้คนบีบคั้นให้เราต้องเป็นนางมารร้าย
มาเลฟิเซนต์พยายามบอกว่า เรื่องราวที่เราเคยได้ยิน ได้เห็น อาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ถ่ายทอดนั้น เจ้าหญิงนิทราในปี 1959 เป็นเรื่องเล่าจากหนังสือโดยคนอื่น แต่สำหรับเวอร์ชั่นนี้มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์และประสบมันมาด้วยตัวเองนั่นคือ ออโรร่า ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การแสดงของโจลี่ที่ดึงดูดคนดูตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่อง การแสดงจากภายใน บทพูดที่น้อยนิดแต่เต็มไปด้วยพลังและความหน้าเกรงขาม ทำให้เสียงน้อยใหญ่ต่างชื่นชมในการกลับมาครั้งนี้ของเธอ ตัวละครคิงส์สเตฟานถูกทำให้ดาร์กขึ้น นางฟ้าสามสี ที่เราเคยเห็นและชื่นชมในความดี มองเห็นพวกเธอเป็นดั่งนางฟ้าผู้พิทักษ์ ในเวอร์ชั่นนี้กลายเป็นตัวเปิ่น ซึ่งเวอร์ชั่นนี้เสียอย่างเดียว ตรงที่มาลิฟิเซนต์มีอีกหลายเรื่อง หลายฉากที่สามารถเจาะเพิ่มให้คนดูตราตรึงได้อีก แต่หนังสั้น เล่าแบบรวบรัดเพราะคิดว่าคนดูรู้จักเรื่องเดิมอยู่แล้ว รวมไปถึงการเคารพเส้นเรื่องเดิม แต่งเพิ่มเสริมแตกขยายออกไปได้อย่างน่าสนใจ ตอนจบก็ยังหักมุมแต่ก็เหมือนกับเล่นมุมซ้ำ จุมพิตจากรักแท้ของ FROZEN
สุดท้าย มาเลฟิเซนต์สานต่อจินตนาการได้อย่างน่าจดจำ แฟนดิสนีย์ปริ๊นเซสไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง อีกอย่างที่มองว่าการนำกลับมาทำใหม่ในรอบ 55 ปี เพราะดิสนีย์อาจจะเข้าใจว่า เด็กในวันนั้น ต่างเติบโตขึ้น เรียนรู้ ผ่านร้อนผ่านหนาวและพอจะเข้าใจถึงโลกที่มีสองด้านและการมองต่างมุม มาลิฟิเซนต์จึงปรากฎกายขึ้นเพื่อบอกให้คนดูทุกคนรู้ว่า อย่าเชื่อเพียงเรื่องที่บอกเล่ากันมาและให้มองมุมกลับ มองเหรียญที่มีอยู่ 2 ด้านเสมอ ซึ่งในที่สุดตัวร้ายที่หลายคนไม่ชอบกลับกลายเป็นนางฟ้าที่งดงามที่สุดของดิสนีย์เลย
Twitter : @nookkill