#FilmzlapReview
Maleficent : กำเนิดนางฟ้าปีศาจ
อีกด้านของนาง(มาร)ร้ายที่ใครๆไม่เคยรู้
เรตติ้ง : 4 / 5
เอ่ยชื่อ "มาเลฟิเซนต์" หลายคนก็คงจินตนาการภาพว่านางคือ แม่มด ปีศาจร้ายที่มาพร้อมคำสาปเสกให้เจ้าหญิงออโรร่าหลับใหลไม่ได้สติด้วยความรู้สึกโกรธเคืองพระราชาที่ไม่ส่งคำเชิญให้นางมาร่วมงานพระราชพิธีสมโภชเดือนเจ้าหญิงองค์น้อย ด้วยพลังแห่งมนตราอันแก่กล้าก็เลยทำให้คำสาปของนางติดตัวเจ้าหญิงไปจนถึงอายุ 16 ปีเต็ม ซึ่งสิ่งที่จะสามารถแก้คำสาปได้นั้น มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ จุมพิตจากรักแท้ขององค์หญิงเอง กลายเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ต้องฝ่าฟันความชั่วร้ายของ "มาเลฟิเซนต์" ที่ภายหลังกลายร่างเป็นมังกรมาต่อสู้และพบความพ่ายแพ้ จนในที่สุดเจ้าชายก็ได้ประทับจุมพิตออโรร่าให้ฟื้นคืนจากห้วงนิทรามหาคำสาป และได้ครองรักมีความสุขชั่วกาลปาวสาน !!
และสิ่งที่เราคุ้นเคยและถูกปลูกฝังมาโดยตลอดจากการที่ได้ดูการ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Sleeping Beauty เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ตอกย้ำให้เรามองภาพ "มาเลฟิเซนต์" เป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายที่มาพร้อมตัวตนที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราได้รู้กันมาเพียงด้านเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรายังไม่เคยรู้ว่า เหตุใดมาเลฟิเซนต์ถึงไม่ได้รับคำเชิญจากพระราชาในงานยิ่งใหญ่แบบนี้ ต้นตอของความบาดหมางระหว่างพระราชาและมาเลฟิเซนต์คือเรื่องใด และเรื่องราวเบื้องลึกของคำสาปที่นางได้ร่ายเสกออกมานี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร หนังแฟนตาซีดิสนีย์ทุนสร้าง 180 ล้านดอลล่าร์เรื่องนี้มีคำตอบดังกล่าวมาบอกแจ้งแถลงไขกัน
นับเป็นอีกหนึ่งงานดิสนีย์ที่มาในสไตล์เอพิคแฟนตาซีเน้นความอลังการของโปรดักชั่นที่จัดเต็มให้แฟนหนังได้ตื่นตากัน เพราะได้เนรมิตโลกแห่ง "เจ้าหญิงนิทรา" ออกมาได้เสมือนจริงมากๆ เหมือนที่เราคุ้นเคยกันในเวอร์ชั่นการ์ตูน ด้วยความที่หนังได้มือโปรดักชั่นดีไซน์จาก Avatar อย่าง "โรเบิร์ต สตอร์มเบิร์ก" มาเป็นผู้กำกับตัวหนังเอง (เป็นเรื่องแรก) ก็เลยสร้างสรรค์งานดีไซน์และวิชวลเอฟเฟกต์ทั้งหลายออกมาได้ไม่ผิดหวัง และคุ้มค่าการรอคอยทีเดียว (สตอร์มเบิร์กเคยเป็นมือวิชวลให้หนังอย่าง Pirates of The Caribbean มาก่อนด้วย)
นอกจากความสมจริงทางด้านโปรดักชั่นแล้ว ในแง่ของตัวละคร หนังสมจริงจนน่าขนลุกมากขึ้นไปอีก เพราะได้ระดับตัวแม่อย่าง "แองเจลิน่า โจลี่" ถือเหมือนเกิดมาเพื่อบทนี้โดยเฉพาะ นางคือ "มาเลฟิเซนต์" ในอุดมคติที่งัดเอาเสน่ห์ของแคแรกเตอร์ออกมาในทุกๆด้านจริงๆ เป็น "มาเลฟิเซนต์" ที่แตกต่างจากในเวอร์ชั่นการ์ตูนโดยสิ้นเชิง เพราะการถ่ายทอดอารมณ์ในแคแรกเตอร์เวอร์ชั่นนี้มีหลายด้านจนทำให้คนดูได้เซอร์ไพรส์ไปตามตัวละคร จากด้านนางมารร้ายที่เรารู้จัก โจลี่ได้ทำให้เราเห็นห้วงลึกในจิตใจของเธอแบบเหนือความคาดหมาย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการแคสติ้งที่ทำให้เราได้เข้าถึงตัวละครนี้ในแบบที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน และทำให้เรารู้สึก "รัก" นางมากยิ่งขึ้น จากที่เคยเกลียดหมดตัวหมดใจ
สิ่งที่น่าชื่นชมในการแสดงของโจลี่ก็คือ การงัดเอาอารมณ์ต่างๆ ถ่ายทอดผ่านทางสีหน้าและสายตาได้อย่างเด็ดขาด มีออร่า มีรังสีอำมหิต มีความอ่อนไหว มีทุกอารมณ์อยู่ในห้วงเดียวกัน และทำให้เรารู้สึกตามตัวละครนี้ได้ตลอดทั้งเรื่อง ถ้าไม่ได้โจลี่มาในบทนี้ ยังจินตนาการไม่ออกมาเลยว่า ใครจะมารับบทได้เทียบเท่าและทำได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ถือเป็นนักแสดงที่แบกหนังเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าประทับใจ
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็มีแนวทางที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง แอล แฟนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราในอีกลุคที่น่ารัก หวาน ใส และเป็นตัวละครที่ดึงให้หนังที่ค่อนข้างจะดาร์คพอสมควร มีด้านสว่างเข้ามาให้เห็น แต่น่าเสียดายที่บทของแฟนนิ่งไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากยิ้ม ยิ้ม ยิ้มแล้วก็ยิ้ม ก็เลยทำให้เสน่ห์ตัวละครนี้อาจจะไม่ได้มาครบ มาเต็มเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ (แม้จะมีร้องไห้ฉากนึงก็ตาม)
ชาร์ลโต โคปลี่ย์ นักแสดงที่เราคุ้นหน้าจาก Elysium และ District 9 มาในบทพระราชาที่ต่างจากที่เราเห็นในเวอร์ชั่นการ์ตูน ซึ่งเป็นอีกด้านที่เราควรจะได้รับรู้เช่นเดียวกัน และเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลเกี่ยวกับตัวของ "มาเลฟิเซนต์" เองด้วย แม้จะไม่ได้มาพร้อมฉากที่ขายการแสดงในระดับโอ่อ่าใหญ่โตมโหระทึกเท่าไหร่ แต่โคปลี่ย์ก็ยังคงสร้างมาตรฐานในการแสดงของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี (โดยเฉพาะบทที่ไม่ใช่คนดีอะไรสักเท่าไหร่นี่แหละ)
ในส่วนของเนื้อเรื่อง โชคดีหน่อยก็ตรงที่ถ้าใครดูการ์ตูนมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะเข้าใจพื้นฐานตัวละครต่างๆ โดยไม่ต้องเสียเวลามาทำความรู้จักกันใหม่ แต่หนังเองก็ไม่ใช้พื้นที่ในส่วนของการแนะนำตัวละครมากเกินไป เพราะคาดว่าน่าจะมีผู้ชมจำนวนไม่น้อยที่เคยดูเวอร์ชั่นการ์ตูนมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้เรื่องราวค่อนข้างเดินหน้าไปได้รวดเร็วมากๆ แต่ด้วยความยาวหนังเพียง ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ยังรู้สึกว่าบางช่วงบางตอนนั้น มันช่างรวบรัดและห้วนเกินไป ในซีนอารมณ์หลายๆซีน ถ้าทิ้งช่วงให้ซึมซับอารมณ์กันได้มากกว่านี้ ก็อาจจะดีไม่น้อย เพราะหนังก็มีหลากหลายช่วงเวลาที่ให้เก็บเกี่ยวไม่ว่าจะเป็นซีนสำคัญที่เป็นงานดราม่ามาเต็ม หรือซีนแอ็คชั่นท้ายเรื่อง ที่ก็ดูจะมาเร็วไปเร็ว และสรุปไวเกินไปนิด อย่างน้อยถ้าเพิ่มเวลาหนังอีกสัก 15 - 20 นาที คงไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็เป็นได้ และอาจจะทำให้หนังแข็งแรงมากขึ้นกว่านี้ ด้วยการที่ได้ใช้เวลาใส่รายละเอียดต่างๆให้มากขึ้น
หนังยังคงมาพร้อมสไตล์ที่เป็นเทพนิยายสูงมาก เพราะฉะนั้นหลายฉากก็เลยมาพร้อมฟีลการ์ตูนเต็มที่ แต่ถ้าใครคาดหวังว่ามันจะออกมาเหมือนเวอร์ชั่นการ์ตูนทุกกระเบียดนิ้ว อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น หนังเป็นคนละม้วนกับเทพนิยายจริงๆ เน้นเรื่องราวที่เรายังไม่เคยรู้ในโลกของ "เจ้าหญิงนิทรา" ผ่านการเล่าเรื่องของตัวละคร "มาเลฟิเซนท์" ที่คุณไม่เคยได้รู้ที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ทางที่ดีจงลืมเวอร์ชั่นการ์ตูนไปซะ เพราะสิ่งที่คุณกำลังจะได้รับชมนี้ แตกต่างมากๆ ราวฟ้ากับดินจริงๆ (ในตัวอย่างตัดออกมาคนละโทน คนละแบบกับในหนังจริงๆ ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์มากในส่วนนี้)
Maleficent เป็นหนังแฟนตาซีที่ดูง่าย เล่าเรื่องง่าย กระชับ ฉับไว ซึ่งถ้าใครอยากดูงานที่ไม่ได้พร่ำเพ้อพรรณนาอะไรยืดยาว (เหมือนตอนดู Oz) ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่น้อย มาเร็ว เคลมเร็ว และที่สำคัญคือเอาแค่คุณเข้าไปดูบทบาททางการแสดงที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนของโจลี่เรื่องนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซของเธอที่ได้ยกระดับการเป็นนักแสดงที่ถอดแคแรกเตอร์จากการ์ตูนออกมาได้เสมือนจริง มีพลังและเจิดจ้าด้วยท่วงท่า ลีลา และ การถ่ายทอดอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นอีกหนึ่งหนังซัมเมอร์บันเทิงดูสนุก ง่ายๆ ที่ไม่อยากให้พลาดครับ
พูดคุยหรือติดตามข่าวสารกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/FilmzlapSocial
###[ Filmzlap Review] MALEFICENT : อีกด้านของนาง(มาร)ร้าย ที่ใครๆไม่เคยรู้ [4/5] - No Any Spoilers
#FilmzlapReview
Maleficent : กำเนิดนางฟ้าปีศาจ
อีกด้านของนาง(มาร)ร้ายที่ใครๆไม่เคยรู้
เรตติ้ง : 4 / 5
เอ่ยชื่อ "มาเลฟิเซนต์" หลายคนก็คงจินตนาการภาพว่านางคือ แม่มด ปีศาจร้ายที่มาพร้อมคำสาปเสกให้เจ้าหญิงออโรร่าหลับใหลไม่ได้สติด้วยความรู้สึกโกรธเคืองพระราชาที่ไม่ส่งคำเชิญให้นางมาร่วมงานพระราชพิธีสมโภชเดือนเจ้าหญิงองค์น้อย ด้วยพลังแห่งมนตราอันแก่กล้าก็เลยทำให้คำสาปของนางติดตัวเจ้าหญิงไปจนถึงอายุ 16 ปีเต็ม ซึ่งสิ่งที่จะสามารถแก้คำสาปได้นั้น มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ จุมพิตจากรักแท้ขององค์หญิงเอง กลายเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ต้องฝ่าฟันความชั่วร้ายของ "มาเลฟิเซนต์" ที่ภายหลังกลายร่างเป็นมังกรมาต่อสู้และพบความพ่ายแพ้ จนในที่สุดเจ้าชายก็ได้ประทับจุมพิตออโรร่าให้ฟื้นคืนจากห้วงนิทรามหาคำสาป และได้ครองรักมีความสุขชั่วกาลปาวสาน !!
และสิ่งที่เราคุ้นเคยและถูกปลูกฝังมาโดยตลอดจากการที่ได้ดูการ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Sleeping Beauty เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ตอกย้ำให้เรามองภาพ "มาเลฟิเซนต์" เป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายที่มาพร้อมตัวตนที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราได้รู้กันมาเพียงด้านเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรายังไม่เคยรู้ว่า เหตุใดมาเลฟิเซนต์ถึงไม่ได้รับคำเชิญจากพระราชาในงานยิ่งใหญ่แบบนี้ ต้นตอของความบาดหมางระหว่างพระราชาและมาเลฟิเซนต์คือเรื่องใด และเรื่องราวเบื้องลึกของคำสาปที่นางได้ร่ายเสกออกมานี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร หนังแฟนตาซีดิสนีย์ทุนสร้าง 180 ล้านดอลล่าร์เรื่องนี้มีคำตอบดังกล่าวมาบอกแจ้งแถลงไขกัน
นับเป็นอีกหนึ่งงานดิสนีย์ที่มาในสไตล์เอพิคแฟนตาซีเน้นความอลังการของโปรดักชั่นที่จัดเต็มให้แฟนหนังได้ตื่นตากัน เพราะได้เนรมิตโลกแห่ง "เจ้าหญิงนิทรา" ออกมาได้เสมือนจริงมากๆ เหมือนที่เราคุ้นเคยกันในเวอร์ชั่นการ์ตูน ด้วยความที่หนังได้มือโปรดักชั่นดีไซน์จาก Avatar อย่าง "โรเบิร์ต สตอร์มเบิร์ก" มาเป็นผู้กำกับตัวหนังเอง (เป็นเรื่องแรก) ก็เลยสร้างสรรค์งานดีไซน์และวิชวลเอฟเฟกต์ทั้งหลายออกมาได้ไม่ผิดหวัง และคุ้มค่าการรอคอยทีเดียว (สตอร์มเบิร์กเคยเป็นมือวิชวลให้หนังอย่าง Pirates of The Caribbean มาก่อนด้วย)
นอกจากความสมจริงทางด้านโปรดักชั่นแล้ว ในแง่ของตัวละคร หนังสมจริงจนน่าขนลุกมากขึ้นไปอีก เพราะได้ระดับตัวแม่อย่าง "แองเจลิน่า โจลี่" ถือเหมือนเกิดมาเพื่อบทนี้โดยเฉพาะ นางคือ "มาเลฟิเซนต์" ในอุดมคติที่งัดเอาเสน่ห์ของแคแรกเตอร์ออกมาในทุกๆด้านจริงๆ เป็น "มาเลฟิเซนต์" ที่แตกต่างจากในเวอร์ชั่นการ์ตูนโดยสิ้นเชิง เพราะการถ่ายทอดอารมณ์ในแคแรกเตอร์เวอร์ชั่นนี้มีหลายด้านจนทำให้คนดูได้เซอร์ไพรส์ไปตามตัวละคร จากด้านนางมารร้ายที่เรารู้จัก โจลี่ได้ทำให้เราเห็นห้วงลึกในจิตใจของเธอแบบเหนือความคาดหมาย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการแคสติ้งที่ทำให้เราได้เข้าถึงตัวละครนี้ในแบบที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน และทำให้เรารู้สึก "รัก" นางมากยิ่งขึ้น จากที่เคยเกลียดหมดตัวหมดใจ
สิ่งที่น่าชื่นชมในการแสดงของโจลี่ก็คือ การงัดเอาอารมณ์ต่างๆ ถ่ายทอดผ่านทางสีหน้าและสายตาได้อย่างเด็ดขาด มีออร่า มีรังสีอำมหิต มีความอ่อนไหว มีทุกอารมณ์อยู่ในห้วงเดียวกัน และทำให้เรารู้สึกตามตัวละครนี้ได้ตลอดทั้งเรื่อง ถ้าไม่ได้โจลี่มาในบทนี้ ยังจินตนาการไม่ออกมาเลยว่า ใครจะมารับบทได้เทียบเท่าและทำได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ถือเป็นนักแสดงที่แบกหนังเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าประทับใจ
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็มีแนวทางที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง แอล แฟนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราในอีกลุคที่น่ารัก หวาน ใส และเป็นตัวละครที่ดึงให้หนังที่ค่อนข้างจะดาร์คพอสมควร มีด้านสว่างเข้ามาให้เห็น แต่น่าเสียดายที่บทของแฟนนิ่งไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากยิ้ม ยิ้ม ยิ้มแล้วก็ยิ้ม ก็เลยทำให้เสน่ห์ตัวละครนี้อาจจะไม่ได้มาครบ มาเต็มเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ (แม้จะมีร้องไห้ฉากนึงก็ตาม)
ชาร์ลโต โคปลี่ย์ นักแสดงที่เราคุ้นหน้าจาก Elysium และ District 9 มาในบทพระราชาที่ต่างจากที่เราเห็นในเวอร์ชั่นการ์ตูน ซึ่งเป็นอีกด้านที่เราควรจะได้รับรู้เช่นเดียวกัน และเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลเกี่ยวกับตัวของ "มาเลฟิเซนต์" เองด้วย แม้จะไม่ได้มาพร้อมฉากที่ขายการแสดงในระดับโอ่อ่าใหญ่โตมโหระทึกเท่าไหร่ แต่โคปลี่ย์ก็ยังคงสร้างมาตรฐานในการแสดงของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี (โดยเฉพาะบทที่ไม่ใช่คนดีอะไรสักเท่าไหร่นี่แหละ)
ในส่วนของเนื้อเรื่อง โชคดีหน่อยก็ตรงที่ถ้าใครดูการ์ตูนมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะเข้าใจพื้นฐานตัวละครต่างๆ โดยไม่ต้องเสียเวลามาทำความรู้จักกันใหม่ แต่หนังเองก็ไม่ใช้พื้นที่ในส่วนของการแนะนำตัวละครมากเกินไป เพราะคาดว่าน่าจะมีผู้ชมจำนวนไม่น้อยที่เคยดูเวอร์ชั่นการ์ตูนมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้เรื่องราวค่อนข้างเดินหน้าไปได้รวดเร็วมากๆ แต่ด้วยความยาวหนังเพียง ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ยังรู้สึกว่าบางช่วงบางตอนนั้น มันช่างรวบรัดและห้วนเกินไป ในซีนอารมณ์หลายๆซีน ถ้าทิ้งช่วงให้ซึมซับอารมณ์กันได้มากกว่านี้ ก็อาจจะดีไม่น้อย เพราะหนังก็มีหลากหลายช่วงเวลาที่ให้เก็บเกี่ยวไม่ว่าจะเป็นซีนสำคัญที่เป็นงานดราม่ามาเต็ม หรือซีนแอ็คชั่นท้ายเรื่อง ที่ก็ดูจะมาเร็วไปเร็ว และสรุปไวเกินไปนิด อย่างน้อยถ้าเพิ่มเวลาหนังอีกสัก 15 - 20 นาที คงไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็เป็นได้ และอาจจะทำให้หนังแข็งแรงมากขึ้นกว่านี้ ด้วยการที่ได้ใช้เวลาใส่รายละเอียดต่างๆให้มากขึ้น
หนังยังคงมาพร้อมสไตล์ที่เป็นเทพนิยายสูงมาก เพราะฉะนั้นหลายฉากก็เลยมาพร้อมฟีลการ์ตูนเต็มที่ แต่ถ้าใครคาดหวังว่ามันจะออกมาเหมือนเวอร์ชั่นการ์ตูนทุกกระเบียดนิ้ว อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น หนังเป็นคนละม้วนกับเทพนิยายจริงๆ เน้นเรื่องราวที่เรายังไม่เคยรู้ในโลกของ "เจ้าหญิงนิทรา" ผ่านการเล่าเรื่องของตัวละคร "มาเลฟิเซนท์" ที่คุณไม่เคยได้รู้ที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ทางที่ดีจงลืมเวอร์ชั่นการ์ตูนไปซะ เพราะสิ่งที่คุณกำลังจะได้รับชมนี้ แตกต่างมากๆ ราวฟ้ากับดินจริงๆ (ในตัวอย่างตัดออกมาคนละโทน คนละแบบกับในหนังจริงๆ ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์มากในส่วนนี้)
Maleficent เป็นหนังแฟนตาซีที่ดูง่าย เล่าเรื่องง่าย กระชับ ฉับไว ซึ่งถ้าใครอยากดูงานที่ไม่ได้พร่ำเพ้อพรรณนาอะไรยืดยาว (เหมือนตอนดู Oz) ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่น้อย มาเร็ว เคลมเร็ว และที่สำคัญคือเอาแค่คุณเข้าไปดูบทบาททางการแสดงที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนของโจลี่เรื่องนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซของเธอที่ได้ยกระดับการเป็นนักแสดงที่ถอดแคแรกเตอร์จากการ์ตูนออกมาได้เสมือนจริง มีพลังและเจิดจ้าด้วยท่วงท่า ลีลา และ การถ่ายทอดอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นอีกหนึ่งหนังซัมเมอร์บันเทิงดูสนุก ง่ายๆ ที่ไม่อยากให้พลาดครับ
พูดคุยหรือติดตามข่าวสารกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/FilmzlapSocial