ชีวิตถึงไม่แย่ที่สุด แต่อาจเป็นแนวทางให้คิด

ชีวิตถึงไม่แย่ที่สุด แต่อาจเป็นแนวทางให้คิด

"อันนี้เป็นเรื่องเล่าเรื่องราวส่วนตัว เพียงบางส่วนครับ"

จากจุดต่ำสุดมาถึงจุดสูงสุด แล้วก็มาถึงจุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุด

เรื่องราวส่วนตัวผมที่จะเล่านี้ ล้วนแล้วมาจากความจริงทั้งสิ้น ไม่ได้หวังว่าจะให้เข้าข้างแต่อย่างใด
เขียนจากความทรงจำเท่าที่จำได้ และไม่ขอเอ่ยถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าดีหรือร้าย
แต่หวังไว้ว่า จะเป็นเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

ส่วนตัวผมเป็นคนนิสัย

- รักเดียวใจเดียว ไม่เจ้าชู้ ไม่กินไม่เที่ยว ทำงานกลับบ้าน วันหยุดพาครอบครัวไปพักผ่อน
- เงียบๆ ไม่ค่อยชอบคนหมู่มาก ยังไงก็ได้
- ขี้เกรงใจเป็นที่สุด เคยเกรงใจจนตัวเองเดือดร้อนเป็นประจำ
- เวลาโมโห เป็นคนโกรธยาก หายยากด้วย ถ้าไม่มาเคลีย
- ค่อนข้างเป็นระเบียบมาก อะไรไม่เป็นระเบียบ จะบ่น
- ยอมหักไม่ยอมงอ อะไรที่คิดว่าผิดจะไม่ยอม และไม่เข้าข้างใครต่อให้เป็นญาติตัวเอง
- การทำงาน ตั้งใจทำงานเป็นอย่างมาก ไม่ชอบดองงาน ทำอะไรไม่อยากให้ใครว่าตามหลังได้
- อะไรต้องดี และดีกว่า ที่ทำ จะพยายามทำให้ได้
- เข้ากับทุกคนได้หมด
- ไม่เคยทำร้ายใคร ถ้าถึงขีดสุด จะทำลายข้าวของแต่ไม่ทำร้ายคน (เมื่อคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้)
- ผมเป็นคนปากหนัก ไม่ชอบขอความช่วยเหลือถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ
- ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

งานที่เคยทำ
- เด็กล้างรถ,ช่างก่อสร้าง,พนักงานสต็อกโลตัส,ใช่ชุดหมีบิ๊กซี,ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง,เคเอฟซี,พนักงานขนจัดหนังสือซีเอ็ด,ขับรถส่งพิษซ่า,ขับแท็กซี่,ฯลฯ

ชีวิตในวัยเด็ก

ผมมีพี่น้องสองคน ผมเป็นคนที่สองส่วนพี่ชายผมแก่กว่าผมสี่ปี พี่ผมอยู่กับย่าตั้งแต่เด็ก (หลานชายคนแรกในบ้าน)
เท่าที่จำความได้ผมก็อยู่กับ ตา ยาย ที่ต่างจังหวัด แล้วก็มาอยู่กับย่า แล้วก็กลับมาอยู่กับ ตา ยาย สลับไป สุดท้ายย่าก็ให้ไปอยู่ด้วย
ที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นผมไม่รู้จักคำว่า พ่อ พี่ชาย ด้วยซ้ำ ย่าผมต้องเป็นคนบอกว่า นี่พี่ชายนะ นี่พ่อนะ ย่าผมเป็นคนขยันมากๆ

ทำทุกอย่างในบ้าน หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนปูผม เกษียณอายุราชการทหาร อยู่กับบ้าน ทุกวันปู่จะนั่งสูบบุหรี่กลางบ้าน
จะเป็นที่ประจำของปู่เลย โซฟาตัวเดียวกลางบ้านทุกวันจะเห็นปู่นั่งสูบบุหรี่ฟังวิทยุทั้งวัน ส่วนย่าผมตื่นมาก็ทำทุกอย่าง
ซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว และทำน้ำดื่มขาย ทั้งๆที่มีคนรับใช้ แต่ย่าชอบทำเองทุกอย่าง คนรับใช้แแทบไม่ต้องทำไรเลย

พี่ชายผมเขามีห้องส่วนตัวข้างบน มีตู้หนังสือการ์ตูนเป็นร้อยๆเล่ม(เปิดร้านหนังสือได้เลย) หน้าที่คือไปเรียนกลับมาก็ขึ้นห้อง
ส่วนตัวผม นอนโซฟา ห้องรับแขกกับผ้าห่มขาดๆผืนนึง หน้าที่ของผมหรอ ผมต้องช่วยย่า ทำกับข้าวบ้าง ล้างขวดน้ำ และถังน้ำ
เด็กตัวเล็กๆผอมๆ ยกน้ำลังขึ้นรถ ถังน้ำที่หนักกว่าตัวเองขึ้นรถ บางที่ก็ติดรถไปส่งน้ำด้วย

วันไหนไม่มีอะไร ผมก็จะไปเล่นกับเพื่อนที่เป็นลูกคนงานก่อสร้าง พวกเราจะเดินเป็นทางหลายกิโล เดินหาเก็บเหล็กไปขาย
กลางแดดที่ร้อนมากๆ ขายมาก็ซื้อขนาดกินกัน เพราะผมไม่มีค่าขนมและไม่มีขนมกิน บางวันก็ไปคุ้ยขยะกับเพื่อนหาของเล่น
และหาของมาชั่งกิโลขาย จำได้ว่าเคยกินของที่ได้จากถังขยะด้วย

กิจกรรมที่พวกเราชอบทำคือการสร้าง สร้างของต่างๆจากไม้ มาทำเป็นของเล่น สร้างบ้านที่อยู่ได้จริงจากเศษไม้ ชีวิตก็วนเวียน
อยู่อย่างนี้ กลับมาตอนเย็นก็ทำงานบ้าน ซึ่งทาง อา ได้วางตารางไว้ให้ว่าผมทำอะไรพี่ชายทำอะไร แต่ท้ายที่สุดผมก็ทำทุกอย่างหมด

ชีวิตวัยเรียน

จำได้ว่าช่วงแรกๆที่เรียน ป.1 ผมก็ไปกับพี่ชายนะ นั่งรถไปเอง ตอนแรกอยู่คนละโรงเรียนกับพี่ชาย ต่อมาได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน
ที่ทั้งวันพี่ชายไม่เคยมาหาผมเลย พอพี่ผมเรียนจบ ป.6 ผมก็ต้องย้ายโรงเรียนไปต่อ ป.4 อีกโรงเรียน ที่นี่ผมรักครูประจำชั้นมากๆ
พอขึ้น ป.5 ครูประจำชั้นผมมีปัญหากับเจ้าของ(เป็นญาติกัน) แล้วครูจะย้ายออก ผมกับเพื่อนๆไม่พอใจกัน รวมตัวกัน รื้อข้าวของในห้อง

ออกแล้วไม่ยอมเข้าเรียน ในที่สุดชั้นนั้นทั้งหมดก็ต้องออกไปเรียนต่อที่อื่น ผมไปเรียนต่อ ป.5 อีกโรงเรียน เรียนที่นี่ก็ไม่จบ เพราะครูเถื่อนมาก
พูดกูกับนักเรียนตลอด ชอบตบหัว (ช่วงนี้ผมหนีเรียนบ่อยมาก) ในที่สุดผมก็ไม่ไปเรียน และเล่าให้ปูกับย่าฟัง สุดท้ายผมไปเรียนต่อที่โรงเรียนในค่ายทหาร
อยู่ที่นี่ผมได้เจอเพื่อนดีๆและสนิทกันสามคน ทั้งกลุ่มมีสี่คน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และได้เป็นสารวัตรนักเรียนกันทั้งหมด

ทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนซึ่งผมชอบมากๆ ผมเรียนจบที่นี่ และตอนนี้ผมได้พักอยู่กับแม่ ย้อนความไปก่อนหน้านี้ว่ามาอยู่กับแม่ได้อย่างไร
ย่าตีผม เพราะผมดื่อ ผมเลยขี่จักรยานจากคลองประปา ไปถึงบางเขนตอนเที่ยงคืน (ตอนนั้นอยู่ป.5) จากนั้นก็ได้อยู่กับแม่ระยะนึง
แม่ผมก็มีพ่อใหม่ เช่าห้องอยู่ แม่ทำงานกระเป๋ารถเมล์ ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสามตีสี่ไปทำงาน ส่วนพ่อจริงๆผมก็ไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่ผมเล็กๆ

เมื่อจบ ป.6 ผมก็ได้มาอยู่กับย่าอีกครั้ง ย่าพาไปฝากโรงเรียนแถวนนทบุรี จากนั้นไม่นานย่าก็ขายบ้าน (ตอนเด็กๆจำได้ว่าย้ายบ้านบ่อยมากๆ)
ผมเลยต้องไปอยู่กับพี่ชายสองคน โดยพ่อซื้อบ้านเอาไว้ให้อยู่กันสองคนพี่น้อง (อยู่ด้วยกันแต่วันๆไม่ได้คุยอะไรกันเลยไม่รู้ว่าพี่ผมเกลียดอะไรผมนักหนา)
ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า ปั่นจักรยานออกมาปากทาง ขึ้นรถเมล์ไปเรียนต่อ ทำอย่างนี้มาตลอด แล้วก็ย้ายบ้านอีก (ช่วงนี้พ่อผมให้เงินเดือนละ 1,500)

คราวนี้มาอยู่อีกทีกับพี่ชายเหมือนเดิม แต่สิ่งที่มาใหม่ในชีวิตคือ เพื่อน แถวนี้วัยรุ่นเยอะมากๆ ติดยากันด้วย ตอนนี้ผมเรียน ม.3 เทอมแรก เริ่มคบเพื่อนใน
หมู่บ้าน (ผมสูบบุหรี่ก็ตอนนี้) เพื่อนแต่ละคนมีรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ผมอยากได้ เริ่มเป็นวัยรุ่นใจร้อน ไม่ได้ดั่งใจ บอกย่าว่า ไม่เรียนแล้วถ้าไม่ได้รถ
หลังจากนั้นไม่นาน ย่าก็พาไปซื้อให้ แต่พอได้มาจริงๆ ก็ไม่ได้ไปเรียน ติดเพื่อน กลางคืนแว้นรถ เช้าก็ร่อนไปมา ยาเสพติดนั้นผ่านมาหมดไม่ได้ติด แค่ลองๆตามประสาคนหลงผิด (แต่ไม่ฉีด)

ย่าผมคอยมาเรียกทุกวันให้ไปเรียน ผมก็เข้าใจเลยว่าวัยรุ่นนั้นความคิดมันสั้นจริงๆ ผมไม่สนใจ เห็นเพื่อนมาก่อน ผมมีเพื่อนสนิทซี้กันเลยคนนึง
เขาโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน เลยมาอยู่กับผมเป็นปี ไปไหนมาไหนเหมือนเป็นเงากันเลย ผมกับเพื่อนอายุเท่ากัน แต่เพื่อนอยู่ ม.6 ผมอยู่ ม.3 ต่างคนต่างไม่จบ
ชีวิตผมเข้ามาหลายวงการที่เลวร้าย เห็นในสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเห็น ว่าตำรวจจริงๆเป็นยังไง หน่วยกู้ภัยจริงๆเป็นยังไง คงจะงงกันสิ

ตำรวจฆ่าเด็กแว้น ผมเคยโดนยิงจะๆด้านหน้ารถ แล้วคันอื่นๆ โดนเล็งยิงจะๆ ซัดกันหมดแม็กซ์ ส่วนหน่วยกู้ภัย ก็เบ่งให้พวกเด็กแว้นกลัว
ถ้าไม่อยากมีปัญหา มันก็จับผู้หญิงซ้อนท้ายไปข่มขืน บางรายทำต่อหน้าแฟน และยังมีอีกมากทั้งวงการพนัน ที่ผมรู้ทุกอย่าง เพราะตอนนั้น
ตัวผมมันกลมกลืนไปกับด้านมืดแล้ว เข้าถึงได้ทุกที่ เหมือนชีวิต จะไม่หลุดจากวงจรด้านมืดสักทีแต่แล้ว...

แต่ผมยังรู้ผิดชอบชั่วดี ผมพยายามดึงเพื่อนๆออกจากวงจรเสพยานี้ ในที่สุดเพื่อนๆผมทุกคนออกมาจากวงจรนี้ได้ เวลาว่างเล่นดนตรีกัน
ไปเที่ยวกันและหมู่บ้านที่ผมอยู่นี้ก็ได้รู้จัก (แฟนผม) บ้านอยู่ติดๆกัน เป็นฝาแฝด พี่ชายแฟนก็เป็นเพื่อนรุ่นพี่ผม ผมก็ชวนเลิกยากันหมด
ครอบครัวแฟนมีพี่น้องทั้งหมด 16 คน ตอนนั้นแฟนผมอายุ 13 ผมอายุ 16 ยังไม่ได้มองกันแต่เจอกันทุกวัน จนเวลาผ่านไป แฟนผมอายุ 15 ผมก็เริ่มมาจีบ ในที่สุดก็ได้เป็นแฟนกัน

หาเลี้ยงตัวเองและคนอื่น

ช่วงนี้ผมลำบากมากๆ แฟนผมโดนไล่ออกจากบ้าน เพราะจับได้ว่ามีอะไรกับผม ตอนนี้ผมก็ทำงานล้างรถเหนื่อยมากๆ ย่าเปิดอู่ล้างรถ ผมเป็นคนขับรถเข้ามาจอด
แล้วล้างวันละเป็นร้อยๆคัน พี่ผมก็จดแต่ทะเบียน ย่าออกรถเก๋งให้คันนึง เงินเดือนผม สี่พัน ตอนเย็นก็กลับบ้าน ตอนลงรถเมล์ก็มาเจอแฟนผมกับแฝดของเขา
ยืนรอผมอยู่ บอกว่าโดนไล่ออกจากบ้านแต่อีกคนขอออกมาด้วย ผมเลยไม่มีที่ไป เลยไปหาแม่ที่รังสิต แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็อยู่ห้องเช่าคนละห้องกับแม่

ผมทำงานล้างรถ กลับมาก็ซื้อกับข้าวให้ ทั้งแฟนทั้งพี่แฟนกินทุกวัน พี่แฟนก็กินเนื้อเหลือน้ำไว้ให้ผมกินประจำ เช้ามาผมก็ให้เงินไปโรงเรียนทั้งสองคน
พี่แฟนเรื่องมาก จากให้คนละ 50 บอกว่าไม่พอขอ 60 ผมก็ให้ แต่แฟนผมได้ 50 ยังเคยทะเลาะกันเลยว่า ไปมีอะไรกันหรือเปล่า ผมบอกได้เลยว่า ไม่
นิสัยผมเป็นคนใจดีเกรงใจ ในที่สุดก็ต้องให้แฟนคุยว่ามันไม่ถูกต้อง กลังจากที่จบ ม.3 ก็แยกย้ายกันไป แฟนผมก็ได้ทำงานร้านหมอฟันและพนักงานขายที่ เซ็นทัล

ตอนนี้เราสองคนก็เริ่มหารายได้ โดยทำงานหลายที่ โดยเฉพาะผม ผมเคยทำงาน เด็กล้างรถ,พนักงานสต็อกโลตัส,ใช่ชุดหมีบิ๊กซี,ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง,
ช่างก่อสร้าง,ทำเคเอฟซี,พนักงานขนจัดหนังสือซีเอ็ด ที่สุดท้ายที่ทำคือ เคเอฟซี แฟนผมก็ทำด้วย แฟนผมทำไม่ไหวเลยชวนออก ก็ออกกันมา เลยมาเรียนต่อ กศน.ม.6
ช่วงนี้ยังดีที่พ่อผมยังให้เงินใช้เดือนละ 2,000 ใช้ชีวิตกันลำบากมากๆ ผมเป็นคนปากหนัก ไม่ชอบขอความช่วยเหลือถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ

อดข้าว อดน้ำมาบ่อยมากๆ คือไม่มีข้าวกินเลย มีแต่น้ำ ต้องเดินออกไปหาอะไรกินข้างนอก กะว่าจะโทรขอเงินพ่อ อันนี้จำไม่ลืมเลย ที่ตู้โทรศัพท์ เจอถุงขนมหวาน
เป็นมันเชื่อม มองอยู่พัก ไม่มีคนเอาลืมแน่ๆ ผมก็ไปเก็บมากินเป็นมื้อค่ำ บางเดือนต้องซื้อ บะหมี่กึ่งสำเร็จมาเก็บไว้ และไข่อีกเป็นแผง คือแต่ละเดือนกินแบบนี้
ทุกวัน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ใส่ไข่ บางเดือนไม่มีไข่ก็กินบะหมีเปล่าๆ

ชีวิตที่พลิกผัน จากดำไปขาวสะอาด

ตอนนี้ผมได้ลงเรียน กศน. ม.6 เรียนทุกวันอาทิตย์สามชั่วโมง ผมก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง แต่อาศัยที่เป็นคนหัวไวเลยทำให้ทำข้อสอบได้ ก่อนที่ผมจะมาเรียน
หนึ่งอาทิตย์ ย่าผมได้เข้าโรงพยาบาล ผ่าตัดต้อกระจกที่ตา ตอนแรกผ่าไปแล้วข้างนึง หมอให้ไปผ่าอีกข้าง ผมก็ไปเยี่ยมย่าที่โรงพยาบาล เข้าไปย่าก็คุยปกติ
แต่คำพูดที่ผมจำได้ไม่ลืมทุกวันนี้คือ (เรียนให้จบนะ ถ้าแกไม่มีย่าแล้วแกจะลำบาก) ตอนนั้น มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างเข้ามาในตัวผม และก่อนที่ผมจะกลับ

สิ่งที่ผมอยากจะทำมันแวบขึ้นมาในหัว (อยากกราบเท้าย่า) แต่... ผมได้แต่ยืนมองย่าอยู่พัก แล้วไหว้ย่าก็กลับ จากนั้นอีกอาทิตย์นึงผมไปเรียน ไปเจอกับคนใช้ที่บ้านย่า
เรียนที่นี่เหมือนกันมาบอกผมว่า (รู้หรือยังว่า ย่า ตายแล้ว) ผมอึ้งไปพัก ผมไม่เชื่อรับไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง ย่าแข็งแรง ไปแค่ผ่าตัดต้อ จะตายได้ยังไง
ผมโทรไปหาปู ปูบอกว่าย่าตายเมื่อวาน หมอบอกหัวใจวาย ตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบมันถล่มลงมา ผมเพิ่งรู้ว่าลึกๆจริงๆแล้ว ผมรักย่าที่สุด

วันที่ไปงานศพ งานจัดอย่างยิ่งใหญ่มากๆที่วัดพระศรีมหาธาตุ(บางเขน) ย่ามีลูก ห้า คน คนโตเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก คนที่สองเป็นทหารอากาศยศ นาวาอากาศเอก
คนที่สอง(พ่อผม)ร้อเอก ที่ได้ร้อยเอกเพราะติดยศแล้วออกมาทำงานธนาคารเงินดีกว่า คนที่สาม พันตำรวจเอก คนที่สี่ เป็นผู้หญิง ผู้จัดการและวิทยากร บริษัทเอเอ็มดี(คู่แข่งอินเทล)
ปู่กับย่า เลี้ยงลูกได้ดีทุกคน งานจึงสมเกรียติ ผมเห็นย่าครั้งแรก ผมยืนไม่ขึ้น ผมจับมือย่าอยู่อย่างนั้นร้องไห้ไม่อยู่ และผมก็บวชให้ย่าวันนั้น

ผมเริ่มตั้งใจเรียนมากๆ ที่สุดเราทั้งคู่ก็จบ ม.6 ด้วยกัน ผมอยากเรียนต่อ ใจอยากมากๆ ผมได้ไปคุยกับพ่อ พ่อไม่ยอมบอกว่าไม่ต้องเรียนแล้ว เรียนไปก็ไม่จบ
(เพราะเมื่อก่อนผมไม่ยอมเรียน) ในที่สุด อา บอกกับพ่อว่า ให้โอกาสมันอีกครั้ง จะช่วยค่าเรียนครึ่งนึง จากนั้นผมก็ได้มาเรียนต่อ ปวส.กับแฟน ที่แฟนเรียนได้เพราะ
เราได้ทำเรื่องทุนเรียนรัฐบาล ผมตั้งใจเรียนมากๆ ในชีวิตไม่เคยได้เกรดสี่ เยอะอะไรขนาดนี้เลย ไม่ว่าจะ ภาษาไทย เศรษฐศาสตร์ คณิต วิชาที่ยากได้เกรดสี่ คนโง่ๆแบบผม

ผมทำกิจกรรมทุกอย่างที่มีของโรงเรียน เป็นที่รู้จักกับเพื่อนนักเรียนแทบทั้งโรงเรียนแม้กระทั้งครูอาจารย์ ผมได้ลงสมัครประธานนักเรียน รุ่นแรก โดยการเลือกตั้ง
ผมได้รับเลือกจากคะแนนเสียงทั้งหมดให้เป็น ประธานนักเรียนจะมีอยู่กันในกลุ่มประธานหกคน ผมทำหน้าที่คนเดียว (เพราะความเกรงใจนี่ละปากหนักไม่กล้าพูด)
เลยต้องรับทุกอย่างไว้คนเดียว ในที่สุดก็ทำไม่ไหว ผมมาเช้าไม่ค่อยได้ เพราะทุกวันผมเหนื่อยมากๆ กลับไปก็เหนื่อย กว่าจะได้นอนบางวันก็ต้องทำอะไรกินเงินไม่ค่อยมี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่