สวัสดีทุกคนครับ เมื่อปีก่อนผมได้รีวิวเจ้า Xiaomi Mi2 ไว้ หลายคนอาจจะจำกันได้ แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ 555+ ตอนนี้ก็ล่วงเลยมาจนครบขวบปีแล้ว ถึงแม้ Mi2 จะยังใช้ได้ดี ลงคัสตอมรอมไปซะเยอะ แต่ก็ได้เวลาสละสมบัติชิ้นนี้ให้แฟน แล้วตัวเองก็หารุ่นใหม่ อินดี้ๆ ใช้ต่อไป 555+
รอบนี้ขอไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ จะเน้นที่สำคัญๆ ที่ทุกคนน่าจะใช้งานในชีวิตประจำวันกันทุกคนพอ (จริงๆ เพราะขี้เกียจพิมพ์ 555+)
เอาล่ะครับ ด้วยความที่ผมได้เห็นเจ้า Vivo Xplay 3S เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แล้วก็อยากได้มานับตั้งแต่นั้น บวกกับได้ยินข่าวแว่วๆ เมื่อช่วงต้นปีกลายๆ มาว่า Vivo จะเข้ามาทำตลาดในไทย ก็เลย รอ ร๊อ รอ แต่จนแล้วจนรอด พอ Vivo เข้ามา ก็ไม่นำเจ้า Xplay 3S มาซะที เลยตัดสินใจสั่งมาจากจีนเองมันซะเลย ทนไม่ไหว 555+ อ่อ อีกเรื่องคือ อย่างที่บอกไป ตอนนี้ Vivo เข้ามาไทยแบบเงียบๆ แล้วนะครับ เพียงแต่ว่า
ตัวที่เค้านำเข้ามาขายเป็นตัวแรกนั้น เป็นตัว X3s ซึ่งชื่อมันคล้ายๆ กัน หลายคนก็อาจจะเข้าใจผิด จนผมเห็นหลายๆ คนก็เข้ามาถามว่า Xplay 3S มันเข้าไทยหรือยัง บางคนก็ตอบมาซะอย่างค่อนข้างมั่นใจเลยว่า เข้าแล้วๆ ราคา 12900 บาท ซื้อได้ที่ร้านนู้น ร้านนี้เลย !! อะไรนะ !! ปัดโธ่ ... คุณครับ !!
มันคนละรุ่นกันเด้อ ... ให้ข้อมูลให้มันถูกๆ กันหน่อย -*-
Vivo รุ่นเด่นๆ หลักๆ สาย X ตอนนี้แบ่งได้อีก 3 สายครับ คือ
1. รุ่น X เพียวๆ คือพวก X1, X3, X3s พวกนี้จะเน้นความบางครับ ที่เห็นขายกันอยู่ 12900 นั่นแหละ !!
2. รุ่น Xplay มี Xplay, Xplay 3S พวกนี้จะเน้นพวกมันติมีเดียเต็มรูปแบบ คือ จอใหญ่ ให้เสียงโดยใช้ชิปเสียงชั้นดี+แอมป์ในตัว
3. รุ่น Xshot ที่เพิ่งเปิดตัวไป จะเริ่มวางขายวันที่ 10 เดือนนี้ อันนี้จะเน้นกล้องครับ ตามชื่อเลย ส่วนเสปคไปหาเองเด้อ แต่แน่นอนว่าจัดเต็มไม่แพ้กัน
ประเด็นคือ Slogan พี่แกคือ Hi-Fi & Smart ครับ เพราะงั้นเรื่องเสียงนี่เลยจัดเต็มทุกรุ่น รวมถึงรูปร่างที่พยายามทำให้คนที่ซื้อได้สัมผัสมือถือที่ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม และใช้งานสะดวกนั่นเอง
เกริ่นมาเยอะ ไปดูเสปคเหอะ !!
Vivo Xplay 3S Specification
Android 4.3 Jelly Bean + Funtouch OS
Qualcomm Snapdragon 801 8974AB 2.3GHz Quad-Core
หน้าจอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 2K QHD (2560x1440) 490ppi
หน่วยความจำภายใน 32 GB (ไม่เมมเพิ่มไม่ได้)
RAM 3 GB
ชิพเสียง ES90158 DAC และแอมป์ขับ TI-OPA2604
ลำโพงสเตอริโอ
ระบบเสียง DTS Headphone : X
ไม่ใช่ Dolby ที่เห็นในมือถือทั่วไปนะ ใน Xplay 3S ใช้ตัวนี้เป็นตัวแรกของโลกครับ รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ครับ
http://www.techradar.com/reviews/audio-visual/av-accessories/dts-headphone-x-1213250/review
http://www.headphonex.com/
มีระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง
กล้องความละเอียด 13 MP f1.8 ถ่ายวิดีโอ 1080p
กล้องหน้าความละเอียด 5 MP เลนส์มุมกว้าง
แบตเตอรี่ 3,200 มิลลิแอมป์
เห็นสเปคคร่าวๆ ยั่วน้ำลายแล้ว ไปดูภาพตัวเครื่องกันเลยครับ
งานประกอบให้เต็มเลยครับ แน่นหนา บึกบึน ให้สัมผัสที่แลดูพรีเมี่ยมมาก (เป็น Polycarbonate นะครับ ไม่ใช่ Metal ส่วนของ Metal จะเป็นตรงขอบรอบๆ ตัวเครื่องนิดเดียว)
โลโก้ด้านบนครับ สวยงามดี กล้องด้านหน้าเลนส์มุมกว้าง ความละเอียด 5.0 MP ครับ
MicroUSB 2.0 ด้านล่าง ใช้ต่อ OTG ดูหนังได้เลย
ด้านขวาเป็นปุ่ม Power, Volume +,- แน่นหนามากครับ
ด้านซ้ายเป็นที่ใส่ซิม (เบาๆ นะครับ ระวังขาถาดซิมหัก เดี๋ยวจบกันเลย)
ตัวเครื่องด้านหลังครับ ลำโพงสเตอริโอคู่ เสียงเบากว่า HTC Boom Sound นิดเดียว แต่คุณภาพเสียงที่ได้ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยครับ นอกนั้นก็ที่สแกนนิ้วมือ, LED Flash, กล้อง 13 MP F1.8
ดูชัดๆ ครับ โลโก้สวยงาม
ด้านล่างอีกรอบครับ
ด้านหน้าพร้อมเปิดจอ ความละเอียด 2K บอกเลย ชัดเจนใสปิ๊ง แต่สีไม่สดเหมือน Samsung นะครับ ความสว่างหน้าจอกำลังดีครับ แต่ยังสู้ Lumia ไม่ได้
ต่อไปเป็นรีวิว OS ครับ ระบบส่วนใหญ่เน้นเอื้อประโยชน์ให้ใช้ง่ายๆ แต่มันเน้นเฉพาะคนจีน เพราะงั้นใครสั่งจากจีน บางอย่างก็อดไปครับ เช่น แอพ Weather Forecast ที่มันใช้ได้เฉพาะที่จีน ไปดูวีดีโอแนะนำก่อนครับ
มาดูฟังค์ชันที่เราใช้กันบ่อยๆ กันครับ เริ่มจาก หน้า Home screen จะเป็นแบบไม่มี App Drawer ครับ เหมือนหลายๆ ค่ายตอนนี้ ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็ MIUI นั่นแหละครับ ส่วน Iphone แกเป็นต้นตำรับ
ปัดลงจะเป็น Notification ส่วนปัดขึ้น (จากล่าง) จะเป็น Setting แบบง่ายๆ
หน้าแอพ File Manager ครับ เหมือน MIUI เปี๊ยบ ลอกๆ กันมาแหละ 555+ อ้อ ... มี Cloud ให้เหมือนกันครับ รู้สึกจะ 30GB มั้งนะ จำไม่ค่อยได้ ชื่อ Yunpan หน้าสุดท้ายเนี่ยอ่ะครับ
หน้า Calling, Calendar และ Clock ครับ
เนื่องจาก Xplay 3S มันจอใหญ่ คนพัฒนาเลยกลัวใช้มือเดียวไม่สะดวก (มันก็ไม่สะดวกจริงๆ นั่นแหละ) ก็เลยทำฟังค์ย่อจอมาให้ครับ (แต่มันก็ยังใช้ลำบากอยู่ดี
) การเรียกใช้ทำโดย วางนิ้วค้างจากขอบจอ เลื่อนไปตรงกลางแล้วกลับมาขอบจอครับ นอกนั้นก็มีปรับแต่ง Theme, Widget ต่างๆ และแอพ Security ของระบบ i Manager
ฟังค์ชันลับมีเยอะครับ เช่น หน้า Development ถ้าเราเข้าใน Setting เราจะหาไม่เจอครับ เราต้องเข้าโดย พิมพ์ *#*#7777#*#* ในหน้า Dial ครับ แล้วก็มีกดเข้า Setting หน้าอื่นด้วยนะครับ แต่ผมกดไม่เป็น ต้องถามคนจีนครับ -*- ส่วนหน้า Diary แบบที่เห็นในคลิปเข้าโดยการใช้นิ้วสองนิ้ว ลากจอขึ้นข้างบนครับ (จะปิดก็ลากลง) ในนี้อย่างที่บอกไป จะคล้ายๆ Diary คอยบอกว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้างผ่านโทรศัพท์ คือมันบอกหมดเลยครับ !! ใครโทรเข้า-ออก, แมสเสจ, เข้าแอพไหน, เมลอะไรมา ใครมีกิ๊กก็ระวังๆ ด้วยนะครับ 555+
มาถึงส่วนสำคัญครับ ตาม Slogan Hi-Fi & Smart อันนี้เป็น Manual อธิบายเรื่อง Hi-Fi ครับ ง่ายๆ คือ ใช้ DAC หรือชิปเสียง ในการคงสภาพการแปลงเสียงจากไฟล์ดิจิตอล (หรือไฟล์เสียง พวก mp3, FLAC) ออกสู่หูฟังหรือลำโพง โดยคงเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด (ขึ้นอยู่กับคุณภาพชิปเสียงด้วย ซึ่งบอกเลยว่า ES90158 นั้นคุณภาพเยี่ยมมากๆ ซึ่งจะเห็นได้ในเครื่องเสียงชั้นดีหลายๆ รุ่นที่ใช้ชิปตัวนี้ครับ แต่ทั้งนี้คุณภาพเสียงที่ออกมาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชิปเสียงอย่างเดียวนะครับ มันมีตัวแปรอื่นๆ อีก เพียงแต่ ตัวแปลงเสียงดี จูนระบบดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง)
เริ่มที่วีดีโอกันก่อน เข้าแอพวีดีโอมาจะเป็นแบบนี้ครับ ลากคลิปใส่ที่ไหนก็ได้ มันจะหาให้เราเอง
หน้าแอพวีดีโอครับ เปิดระบบ DTS Headphone : X + Hi-Fi แล้วลองฟังตัวเทสเสียง Stereo ดูครับ พวก Front left, right, center, Rear left, right บอกได้เลยว่าสุดยอดมากกกกกกกกกก
อ้อ ... อีกตัวที่จะแนะนำก็ปุ่มซ้ายล่าง (ที่เป็นในภาพล่างแหละครับ) ไม่รู้มันเรียกว่าอะไร แต่พอกดแล้วมันจะทำให้ภาพที่ได้มีสีสันสดใสเพื่อปลาดูสวยมากยิ่งขึ้นครับ (สังเกตในภาพด้านล่างนะครับ จะเห็นขีดเล็กๆ สีเหลือง แบ่งระหว่างสีปกติ กับ สีจัดจ้าน (เอาจริงๆ เหมือนว่ามันชัดขึ้นด้วยนิดนึง) โดยพอกดปุ่มซ้ายล่างปุ๊บ ภาพจะเริ่มเปลี่ยน ไล่สีจากซ้ายไปขวาครับ)
ปล. ข้อเสียคือ ระบบ DTS Headphone : X นั้นใช้ได้เฉพาะในแอพนี้ครับ ถ้าใช้พวกแอพ Third Party เช่น MX Player มันจะเรียกใช้ไม่ได้ครับ
ต่อไปเป็นเพลงกันบ้าง หน้าตาแอพเพลงก็จะเป็นแบบนี้ครับ ยัดเพลงเข้าไปที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวมันแสกนหาให้เอง หรือเราจะเลือกโหลดเพลงจากอินเตอร์เน็ตจากภายในแอพเลยก็ได้ครับ
เกริ่นก่อนไปต่อ การปรับแต่งเสียงในตัวแอพจะมีให้เลือกเป็น SRS, Hi-Fi, BBE ครับ โดยใช้ต่างกันดังนี้
- SRS (Sound Retrieval System) ใช้ได้ทั้งออกลำโพงและหูฟัง
- Hi-Fi รายละเอียดตามที่บอกไปด้านบนครับ ตัวนี้ใช้ได้เฉพาะเสียบหูฟังอย่างเดียว
- BBE ใช้ได้เฉพาะหูฟังครับ ปรับแต่งได้เหมือนกับแอพ SonicMax Pro ใน Iphone และ Android
ปล. SRS และ BBE ใช้พร้อมกันไม่ได้ครับ
รูปตัวอย่างค่าที่ปรับได้ใน SRS ครับ
รูปตัวอย่างค่าที่ปรับได้ใน BBE ครับ ผมชอบใช้ตัวนี้มากกว่า SRS ครับ มันปรับง่ายกว่า เพราะแต่ละปุ่มมันเฉพาะทางกว่า ตามนี้
- Lo Contour > คล้ายๆ การปรับเบสโดยรวมครับ
- BBE Process > ปรับความใสของเสียงครับ ฟรุ้งฟริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง แต่ไม่บาดหูนะครับ
- iSet > ปรับค่าความถี่ของเสียงกลางครับ ประมาณว่าอยากให้นักร้องเสียงหวานแบบไหน
- Sound Field > ปรับค่าความกว้างของเวทีเสียงครับ ยิ่งเยอะ เครื่องดนตรียิ่งใกล้หู (ประมาณว่ายิ่งเยอะ ยิ่งเหมือนนักดนตรีเดินเข้ามาใกล้เราครับ เฉพาะนักดนตรีนะ นักร้องไม่เกี่ยว)
- MP Gain > อันนี้เขียนไว้ว่า Restores the harmonic lost through compression ครับ ผมยังฟังไม่ค่อยออกว่ามันช่วยอะไรมากนักนอกจาก เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น (ไม่เกี่ยวกับการเพิ่ม Volume ในมือถือนะครับ)
- Mach3 Bass & Mach3 Gain อันนี้ทำงานร่วมกันครับ โดยเราต้องปรับ Mach3 Bass ก่อน ซึ่งเหมือนเป็นการเซ็ตค่าเอาไว้ว่าเราต้องการเพิ่มเสียงที่ความถี่นี้เท่านั้น แนะนำให้เซ็ตไว้ที่ค่าน้อยๆ ครับ 40-80 จะเป็นเบสตอนกลางๆ ช่วยให้เบสลงลึกขึ้น และกระชับขึ้นครับ ถ้าตั้งค่าเยอะๆ อาจไปรบกวนค่าเสียงกลาง (ที่ไม่ใช่เบส) ได้ครับ ต่อมาก็ปรับ Mach3 Gain เลย ตามชอบ สำหรับผมปรับสุด เพราะให้เบสดิ่งลึกๆ (อารมณ์ประมาณเบสสั่นๆ น่ะครับ (บอกไม่ถูกเหมือนกัน) แนะนำลองโหลดเพลง I'm Flexin' ของ T.I. (หรือเพลงแนวๆนี้) มาฟังดูครับ จะรู้สึกได้ดีกว่า)
นอกนี้ก็ใช้ค่า BBE Default ของหูฟังอื่นๆ ได้ครับ ในแอพก็มีให้เลือกเหมือนกัน แต่ไม่มาก
ข้อเสีย - ระบบ Hi-Fi ใช้ได้เฉพาะแค่ในแอพ Video หรือ Music Player ที่ติดเครื่องมาเท่านั้นครับ Third Party หมดสิทธิ (แย่เลย ใช้กับ Youtube ไม่ได้)
[CR] [CR] ที่สุดแห่งมือถือมัลติมีเดีย Vivo Xplay 3S !! แสง สี เสียง เสปคจัดเต็มทุกอณู !!
รอบนี้ขอไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ จะเน้นที่สำคัญๆ ที่ทุกคนน่าจะใช้งานในชีวิตประจำวันกันทุกคนพอ (จริงๆ เพราะขี้เกียจพิมพ์ 555+)
เอาล่ะครับ ด้วยความที่ผมได้เห็นเจ้า Vivo Xplay 3S เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แล้วก็อยากได้มานับตั้งแต่นั้น บวกกับได้ยินข่าวแว่วๆ เมื่อช่วงต้นปีกลายๆ มาว่า Vivo จะเข้ามาทำตลาดในไทย ก็เลย รอ ร๊อ รอ แต่จนแล้วจนรอด พอ Vivo เข้ามา ก็ไม่นำเจ้า Xplay 3S มาซะที เลยตัดสินใจสั่งมาจากจีนเองมันซะเลย ทนไม่ไหว 555+ อ่อ อีกเรื่องคือ อย่างที่บอกไป ตอนนี้ Vivo เข้ามาไทยแบบเงียบๆ แล้วนะครับ เพียงแต่ว่าตัวที่เค้านำเข้ามาขายเป็นตัวแรกนั้น เป็นตัว X3s ซึ่งชื่อมันคล้ายๆ กัน หลายคนก็อาจจะเข้าใจผิด จนผมเห็นหลายๆ คนก็เข้ามาถามว่า Xplay 3S มันเข้าไทยหรือยัง บางคนก็ตอบมาซะอย่างค่อนข้างมั่นใจเลยว่า เข้าแล้วๆ ราคา 12900 บาท ซื้อได้ที่ร้านนู้น ร้านนี้เลย !! อะไรนะ !! ปัดโธ่ ... คุณครับ !! มันคนละรุ่นกันเด้อ ... ให้ข้อมูลให้มันถูกๆ กันหน่อย -*-
Vivo รุ่นเด่นๆ หลักๆ สาย X ตอนนี้แบ่งได้อีก 3 สายครับ คือ
1. รุ่น X เพียวๆ คือพวก X1, X3, X3s พวกนี้จะเน้นความบางครับ ที่เห็นขายกันอยู่ 12900 นั่นแหละ !!
2. รุ่น Xplay มี Xplay, Xplay 3S พวกนี้จะเน้นพวกมันติมีเดียเต็มรูปแบบ คือ จอใหญ่ ให้เสียงโดยใช้ชิปเสียงชั้นดี+แอมป์ในตัว
3. รุ่น Xshot ที่เพิ่งเปิดตัวไป จะเริ่มวางขายวันที่ 10 เดือนนี้ อันนี้จะเน้นกล้องครับ ตามชื่อเลย ส่วนเสปคไปหาเองเด้อ แต่แน่นอนว่าจัดเต็มไม่แพ้กัน
ประเด็นคือ Slogan พี่แกคือ Hi-Fi & Smart ครับ เพราะงั้นเรื่องเสียงนี่เลยจัดเต็มทุกรุ่น รวมถึงรูปร่างที่พยายามทำให้คนที่ซื้อได้สัมผัสมือถือที่ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม และใช้งานสะดวกนั่นเอง
เกริ่นมาเยอะ ไปดูเสปคเหอะ !!
Vivo Xplay 3S Specification
Android 4.3 Jelly Bean + Funtouch OS
Qualcomm Snapdragon 801 8974AB 2.3GHz Quad-Core
หน้าจอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 2K QHD (2560x1440) 490ppi
หน่วยความจำภายใน 32 GB (ไม่เมมเพิ่มไม่ได้)
RAM 3 GB
ชิพเสียง ES90158 DAC และแอมป์ขับ TI-OPA2604
ลำโพงสเตอริโอ
ระบบเสียง DTS Headphone : X
ไม่ใช่ Dolby ที่เห็นในมือถือทั่วไปนะ ใน Xplay 3S ใช้ตัวนี้เป็นตัวแรกของโลกครับ รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ครับ
http://www.techradar.com/reviews/audio-visual/av-accessories/dts-headphone-x-1213250/review
http://www.headphonex.com/
มีระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง
กล้องความละเอียด 13 MP f1.8 ถ่ายวิดีโอ 1080p
กล้องหน้าความละเอียด 5 MP เลนส์มุมกว้าง
แบตเตอรี่ 3,200 มิลลิแอมป์
เห็นสเปคคร่าวๆ ยั่วน้ำลายแล้ว ไปดูภาพตัวเครื่องกันเลยครับ
งานประกอบให้เต็มเลยครับ แน่นหนา บึกบึน ให้สัมผัสที่แลดูพรีเมี่ยมมาก (เป็น Polycarbonate นะครับ ไม่ใช่ Metal ส่วนของ Metal จะเป็นตรงขอบรอบๆ ตัวเครื่องนิดเดียว)
โลโก้ด้านบนครับ สวยงามดี กล้องด้านหน้าเลนส์มุมกว้าง ความละเอียด 5.0 MP ครับ
MicroUSB 2.0 ด้านล่าง ใช้ต่อ OTG ดูหนังได้เลย
ด้านขวาเป็นปุ่ม Power, Volume +,- แน่นหนามากครับ
ด้านซ้ายเป็นที่ใส่ซิม (เบาๆ นะครับ ระวังขาถาดซิมหัก เดี๋ยวจบกันเลย)
ตัวเครื่องด้านหลังครับ ลำโพงสเตอริโอคู่ เสียงเบากว่า HTC Boom Sound นิดเดียว แต่คุณภาพเสียงที่ได้ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยครับ นอกนั้นก็ที่สแกนนิ้วมือ, LED Flash, กล้อง 13 MP F1.8
ดูชัดๆ ครับ โลโก้สวยงาม
ด้านล่างอีกรอบครับ
ด้านหน้าพร้อมเปิดจอ ความละเอียด 2K บอกเลย ชัดเจนใสปิ๊ง แต่สีไม่สดเหมือน Samsung นะครับ ความสว่างหน้าจอกำลังดีครับ แต่ยังสู้ Lumia ไม่ได้
ต่อไปเป็นรีวิว OS ครับ ระบบส่วนใหญ่เน้นเอื้อประโยชน์ให้ใช้ง่ายๆ แต่มันเน้นเฉพาะคนจีน เพราะงั้นใครสั่งจากจีน บางอย่างก็อดไปครับ เช่น แอพ Weather Forecast ที่มันใช้ได้เฉพาะที่จีน ไปดูวีดีโอแนะนำก่อนครับ
มาดูฟังค์ชันที่เราใช้กันบ่อยๆ กันครับ เริ่มจาก หน้า Home screen จะเป็นแบบไม่มี App Drawer ครับ เหมือนหลายๆ ค่ายตอนนี้ ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็ MIUI นั่นแหละครับ ส่วน Iphone แกเป็นต้นตำรับ
ปัดลงจะเป็น Notification ส่วนปัดขึ้น (จากล่าง) จะเป็น Setting แบบง่ายๆ
หน้าแอพ File Manager ครับ เหมือน MIUI เปี๊ยบ ลอกๆ กันมาแหละ 555+ อ้อ ... มี Cloud ให้เหมือนกันครับ รู้สึกจะ 30GB มั้งนะ จำไม่ค่อยได้ ชื่อ Yunpan หน้าสุดท้ายเนี่ยอ่ะครับ
หน้า Calling, Calendar และ Clock ครับ
เนื่องจาก Xplay 3S มันจอใหญ่ คนพัฒนาเลยกลัวใช้มือเดียวไม่สะดวก (มันก็ไม่สะดวกจริงๆ นั่นแหละ) ก็เลยทำฟังค์ย่อจอมาให้ครับ (แต่มันก็ยังใช้ลำบากอยู่ดี ) การเรียกใช้ทำโดย วางนิ้วค้างจากขอบจอ เลื่อนไปตรงกลางแล้วกลับมาขอบจอครับ นอกนั้นก็มีปรับแต่ง Theme, Widget ต่างๆ และแอพ Security ของระบบ i Manager
ฟังค์ชันลับมีเยอะครับ เช่น หน้า Development ถ้าเราเข้าใน Setting เราจะหาไม่เจอครับ เราต้องเข้าโดย พิมพ์ *#*#7777#*#* ในหน้า Dial ครับ แล้วก็มีกดเข้า Setting หน้าอื่นด้วยนะครับ แต่ผมกดไม่เป็น ต้องถามคนจีนครับ -*- ส่วนหน้า Diary แบบที่เห็นในคลิปเข้าโดยการใช้นิ้วสองนิ้ว ลากจอขึ้นข้างบนครับ (จะปิดก็ลากลง) ในนี้อย่างที่บอกไป จะคล้ายๆ Diary คอยบอกว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้างผ่านโทรศัพท์ คือมันบอกหมดเลยครับ !! ใครโทรเข้า-ออก, แมสเสจ, เข้าแอพไหน, เมลอะไรมา ใครมีกิ๊กก็ระวังๆ ด้วยนะครับ 555+
มาถึงส่วนสำคัญครับ ตาม Slogan Hi-Fi & Smart อันนี้เป็น Manual อธิบายเรื่อง Hi-Fi ครับ ง่ายๆ คือ ใช้ DAC หรือชิปเสียง ในการคงสภาพการแปลงเสียงจากไฟล์ดิจิตอล (หรือไฟล์เสียง พวก mp3, FLAC) ออกสู่หูฟังหรือลำโพง โดยคงเสียงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด (ขึ้นอยู่กับคุณภาพชิปเสียงด้วย ซึ่งบอกเลยว่า ES90158 นั้นคุณภาพเยี่ยมมากๆ ซึ่งจะเห็นได้ในเครื่องเสียงชั้นดีหลายๆ รุ่นที่ใช้ชิปตัวนี้ครับ แต่ทั้งนี้คุณภาพเสียงที่ออกมาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชิปเสียงอย่างเดียวนะครับ มันมีตัวแปรอื่นๆ อีก เพียงแต่ ตัวแปลงเสียงดี จูนระบบดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง)
เริ่มที่วีดีโอกันก่อน เข้าแอพวีดีโอมาจะเป็นแบบนี้ครับ ลากคลิปใส่ที่ไหนก็ได้ มันจะหาให้เราเอง
หน้าแอพวีดีโอครับ เปิดระบบ DTS Headphone : X + Hi-Fi แล้วลองฟังตัวเทสเสียง Stereo ดูครับ พวก Front left, right, center, Rear left, right บอกได้เลยว่าสุดยอดมากกกกกกกกกก
อ้อ ... อีกตัวที่จะแนะนำก็ปุ่มซ้ายล่าง (ที่เป็นในภาพล่างแหละครับ) ไม่รู้มันเรียกว่าอะไร แต่พอกดแล้วมันจะทำให้ภาพที่ได้มีสีสันสดใสเพื่อปลาดูสวยมากยิ่งขึ้นครับ (สังเกตในภาพด้านล่างนะครับ จะเห็นขีดเล็กๆ สีเหลือง แบ่งระหว่างสีปกติ กับ สีจัดจ้าน (เอาจริงๆ เหมือนว่ามันชัดขึ้นด้วยนิดนึง) โดยพอกดปุ่มซ้ายล่างปุ๊บ ภาพจะเริ่มเปลี่ยน ไล่สีจากซ้ายไปขวาครับ)
ปล. ข้อเสียคือ ระบบ DTS Headphone : X นั้นใช้ได้เฉพาะในแอพนี้ครับ ถ้าใช้พวกแอพ Third Party เช่น MX Player มันจะเรียกใช้ไม่ได้ครับ
ต่อไปเป็นเพลงกันบ้าง หน้าตาแอพเพลงก็จะเป็นแบบนี้ครับ ยัดเพลงเข้าไปที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวมันแสกนหาให้เอง หรือเราจะเลือกโหลดเพลงจากอินเตอร์เน็ตจากภายในแอพเลยก็ได้ครับ
เกริ่นก่อนไปต่อ การปรับแต่งเสียงในตัวแอพจะมีให้เลือกเป็น SRS, Hi-Fi, BBE ครับ โดยใช้ต่างกันดังนี้
- SRS (Sound Retrieval System) ใช้ได้ทั้งออกลำโพงและหูฟัง
- Hi-Fi รายละเอียดตามที่บอกไปด้านบนครับ ตัวนี้ใช้ได้เฉพาะเสียบหูฟังอย่างเดียว
- BBE ใช้ได้เฉพาะหูฟังครับ ปรับแต่งได้เหมือนกับแอพ SonicMax Pro ใน Iphone และ Android
ปล. SRS และ BBE ใช้พร้อมกันไม่ได้ครับ
รูปตัวอย่างค่าที่ปรับได้ใน SRS ครับ
รูปตัวอย่างค่าที่ปรับได้ใน BBE ครับ ผมชอบใช้ตัวนี้มากกว่า SRS ครับ มันปรับง่ายกว่า เพราะแต่ละปุ่มมันเฉพาะทางกว่า ตามนี้
- Lo Contour > คล้ายๆ การปรับเบสโดยรวมครับ
- BBE Process > ปรับความใสของเสียงครับ ฟรุ้งฟริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง แต่ไม่บาดหูนะครับ
- iSet > ปรับค่าความถี่ของเสียงกลางครับ ประมาณว่าอยากให้นักร้องเสียงหวานแบบไหน
- Sound Field > ปรับค่าความกว้างของเวทีเสียงครับ ยิ่งเยอะ เครื่องดนตรียิ่งใกล้หู (ประมาณว่ายิ่งเยอะ ยิ่งเหมือนนักดนตรีเดินเข้ามาใกล้เราครับ เฉพาะนักดนตรีนะ นักร้องไม่เกี่ยว)
- MP Gain > อันนี้เขียนไว้ว่า Restores the harmonic lost through compression ครับ ผมยังฟังไม่ค่อยออกว่ามันช่วยอะไรมากนักนอกจาก เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น (ไม่เกี่ยวกับการเพิ่ม Volume ในมือถือนะครับ)
- Mach3 Bass & Mach3 Gain อันนี้ทำงานร่วมกันครับ โดยเราต้องปรับ Mach3 Bass ก่อน ซึ่งเหมือนเป็นการเซ็ตค่าเอาไว้ว่าเราต้องการเพิ่มเสียงที่ความถี่นี้เท่านั้น แนะนำให้เซ็ตไว้ที่ค่าน้อยๆ ครับ 40-80 จะเป็นเบสตอนกลางๆ ช่วยให้เบสลงลึกขึ้น และกระชับขึ้นครับ ถ้าตั้งค่าเยอะๆ อาจไปรบกวนค่าเสียงกลาง (ที่ไม่ใช่เบส) ได้ครับ ต่อมาก็ปรับ Mach3 Gain เลย ตามชอบ สำหรับผมปรับสุด เพราะให้เบสดิ่งลึกๆ (อารมณ์ประมาณเบสสั่นๆ น่ะครับ (บอกไม่ถูกเหมือนกัน) แนะนำลองโหลดเพลง I'm Flexin' ของ T.I. (หรือเพลงแนวๆนี้) มาฟังดูครับ จะรู้สึกได้ดีกว่า)
นอกนี้ก็ใช้ค่า BBE Default ของหูฟังอื่นๆ ได้ครับ ในแอพก็มีให้เลือกเหมือนกัน แต่ไม่มาก
ข้อเสีย - ระบบ Hi-Fi ใช้ได้เฉพาะแค่ในแอพ Video หรือ Music Player ที่ติดเครื่องมาเท่านั้นครับ Third Party หมดสิทธิ (แย่เลย ใช้กับ Youtube ไม่ได้)