Miley Cyrus ชีวิตแบบนี้แหละที่ฉันเลือก

“ฉันไม่เคยมีชีวิตปกติเลย มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นเยอะไปหมด และฉันก็รับมือกับอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเก่งด้วยสิ”

สิ่งที่ ไมลีย์ ไซรัส พูด ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักน้อย...เพราะเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ชื่อของเธอตกเป็นหัวข้อของประเด็นเมาท์ต่างๆ ตลอดทั้งปี ทั้งการกลับมาออกอัลบั้มเพลงอีกครั้งในสังกัดใหม่ หลังจากที่ห่างหายไปเอาดีทางด้านภาพยนตร์นานกว่า 2 ปี การเปลี่ยนลุคและเผยพฤติกรรมที่แสบซ่าจนผู้ปกครองทั้งหลายกลัวว่าบุตรสาวจะเอาแบบอย่าง รวมถึงการแสดงในงาน MTV VMAs อันสุดแสนฮือฮาในชั่วข้ามคืน

หากยังจำกันได้ เธอคืออดีตดาราเด็กที่ประสบความสำเร็จจากซีรีส์แฮนนาห์ มอนทาน่า รายการทีวีโชว์ทางช่องดิสนีย์ ชาแนล ที่ไมลีย์ ไซรัส รับบทนำเป็นเด็กสาวที่ใช้ชีวิต 2 ด้าน คือ เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปตอนกลางวัน และเป็นนักร้องชื่อดัง แฮนนาห์ มอนทาน่า ในตอนกลางคืน จนทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจอเมริกันตั้งแต่อายุ 11 ปี ขนาดที่พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายต้องฝ่าฟันกันควานหาบัตรคอนเสิร์ตของแฮนนาห์ มอนทาน่ามาให้ลูกๆ หลานๆ ได้ชม และกลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อภาพของเด็กๆ ที่จองตั๋วคอนเสิร์ตไม่ทันพากันร้องไห้กระจองอแง จนเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอเมริกา ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวทำให้เธอเซ็นสัญญากับค่ายเพลง Hollywood Records และออกอัลบั้มเพลงในชื่อของเธอเองที่ไม่เกี่ยวกับซีรีส์มาถึง 3 อัลบั้ม รวมทั้งผลงานภาพยนตร์ที่เข้าฉายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน้อยคนจะตระหนักว่าความสำเร็จดังกล่าวจะทำลายชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งมากแค่ไหน จนเมื่อวันหนึ่งเธอก็แบกรับมันไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจเผย ‘ตัวตน’ อันต่างไปจากที่แฟนๆ ตั้งความหวังว่าจะได้เห็นในฐานะไอดอลดีเด่นของเยาวชนที่น่าเอาอย่าง

“ฉันมองว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในอาชีพของฉัน...คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตด้วย ทุกคนที่ทำงานกับฉันในแฮนนาห์ มอนทาน่า รู้ว่าสักวันฉันจะต้องโตขึ้น และฉันก็ไม่เคยแสร้งทำตัวเป็นเจ้าหญิงน้อยผู้แสนดี โปรยยิ้มไปทั่วแบบที่ทางดิสนีย์อยากให้เป็น ที่พอชีวิตเจอช่วงเวลายากลำบากก็มาพรํ่าบ่นว่า ‘นั่นไม่ใช่ตัวจริงของฉันนะ’ ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงที่ฉันหยุดงานไป 2 ปี คือการได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะว่าคนทั่วไปที่เห็นฉันจากในรายการทีวี ไม่มีใครมองเห็นหรือรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันเลย”

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อเธอกลับมาพร้อมกับผลงานเพลงชุดใหม่ Bangerz ในลุคสาวบลอนด์ผมสั้นกุดและลิปสติกสีแดงแปร๊ด หลายคนถึงกับรับไม่ได้ที่อดีตเแฮนนาห์ มอนทาน่า สาวน้อยผมสีนํ้าตาลยาวสลวย จะกลายเป็นสาวซ่าสุดโต่งที่ไม่เหลือความไร้เดียงสาอีกต่อไป เธอดูกร้านโลกและไม่ค่อยแยแสอะไรใครเท่าไร ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้ของเธอตอกยํ้าผ่านงานเพลงที่ผสมความเป็นฮิพฮอพและร็อกอย่างหนักหน่วง แทบไม่เหลือเค้าของนักร้องสาวคันทรีสำเนียงร็อกที่ใครๆ คุ้นเคย

“เชื่อไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดอยากจะทำเพลงฮิพฮอพเลยนะ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันกำลังเป็นวัยรุ่น พี่ชายคนโตมักจะแอบฟังเพลงของเนลลี่อยู่เสมอ ส่วนคุณพ่อของฉัน (บิลลี่ เรย์ นักร้องคันทรี) ชอบฟังเพลงของดอลลี่ พาร์ตันและจอห์นนี่ แคช ส่วนคุณแม่ฉันนั้นท่านเป็นขาร็อกตัวยงเลย อัลบั้มล่าสุดของฉันจึงมีส่วนผสมประหลาดๆ รวมกันออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งเมื่อก่อนฉันไม่มีโอกาสได้ทำงานเพลงแบบนี้เลย เพราะว่าทางดิสนีย์คอยแต่บอกว่า ‘เธอมีคิวโปรโมทในรายการโทรทัศน์ช่วง 2 เดือนหน้า รีบๆ ทำอัลบั้มให้เสร็จซะ และเมื่อไรที่เธอโปรโมทอัลบั้มเพลงของเธอ ช่วยโปรโมทรายการภาพยนตร์ และอัลบั้มของแฮนนาห์ มอนทาน่าด้วยได้ไหม’ มันเหมือนกับว่าฉันต้องแบกรับงานของคน 2 คนในช่วงเวลาเดียวกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับศิลปินหน้าใหม่ที่ต้องสร้างความประทับใจแรกให้แก่คนฟังให้ได้”

การที่สาวน้อยผู้แสนดีลุกขึ้นมาฉีกภาพลักษณ์เดิมๆ ไม่ใช่สิ่งใหม่ของวงการบันเทิง (เรามีบริทนีย์ สเปียร์ส และคริสติน่า อากีเลร่า เป็นตัวอย่างของเจเนอเรชั่นก่อนหน้าไมลีย์) แต่การที่เธอหันมาหั่นผมสั้นไถข้าง ทำตัวก๋ากั่น และทำเพลงแบบคนผิวสี ทำให้หลายคนมองว่าเธอกำลังพยายามทำตัวเป็นรีฮันน่าเวอร์ชั่นคนขาวหรือเปล่า

“ฉันไม่เคยเลยสักนิดที่จะพยายามเป็นรีฮันน่าหรือนิกกี้ มินาจ นั่นมันไม่ใช่แนวทางของฉันเลย ฉันคิดว่าในวงการนี้มีที่ว่างพอสำหรับทุกคน ฉันเป็นเพื่อนกับเคที่ เพอร์รี่ มานานกว่า 5 ปี เราไม่เคยเอาเรื่องงานมายุ่งวุ่นวายกับมิตรภาพของเรา ตราบใดที่เคที่ยังคงเป็นเคที่ แคชช่ายังคงเป็นแคชช่าคนเดิม รีฮันน่าก็คือรีฮันน่า และฉันก็เป็นฉันแบบนี้ ปัญหาอยู่ที่เวลามีคนมอง เลดี้ กาก้า แล้วบอกว่า ‘นั่นมันเยี่ยมไปเลย ฉันจะเป็นแบบนั้นบ้าง’ ต่างหาก มันยากนะกับการที่คุณพยายามที่จะเป็นอะไรที่คุณไม่ได้เป็น การเป็นตัวของตัวเองเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต้องแต่งหน้าหนาเตอะตามใคร ไม่ต้องมีผมบลอนด์ยาวสลวยและหน้าอกตู้มๆ คุณก็ประสบความสำเร็จในวงการเพลงได้ มันอยู่ที่สไตล์ส่วนตัวต่างหากอย่างตัวฉันชอบสไตล์พั้งก์ร็อกและดูเซ็กซี่หน่อยแบบไม่ต้องแคร์อะไรมากมาย”

สไตล์ของไมลีย์ที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในปีที่ผ่านมา เห็นจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าหวือหวาน้อยชิ้น หรือจะพูดแบบเจาะจงไปเลยก็ได้ว่ามีไว้แค่ปิดจุดสงวนเท่านั้น ถึงขั้นที่ผู้ปกครองต้องเอามือปิดตาลูกหลานเพราะกลัวจะเอาเป็นแบบอย่างรวมทั้งการโพสต์ท่าแลบลิ้นทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว

“สมัยเด็ก ฉันเติบโตในฟาร์มที่เมืองแฟรงกลิน รัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นเมืองแถบชนบทที่มีเสน่ห์มาก ฉันว่าการแต่งตัวของฉันได้รับอิทธิพลมาจากที่นั่นนะ คือคนที่นั่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ชุดชั้นใน และแทบจะไม่ใส่รองเท้ากันเลยด้วย ฉันคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยสวมเสื้อผ้าเท่าไรอีกอย่างฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันขึ้นเวทีด้วยชุดเรียบร้อยที่ปกปิดมิดชิด คนก็เอาแต่พูดว่า ‘เธอแต่งตัวอะไรน่ะ ดูน่าเบื่อจัง’ ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็โดนค่อนขอดไปเสียหมด ฉันก็เลยเลือกที่จะแก้ผ้าเป็นสาวแรดๆ แรงๆ ดีกว่าเป็นยัยน่าเบื่ออะไรแบบนั้น ส่วนเรื่องลิ้นฉันก็แค่อายเวลาที่ถูกถ่ายรูปและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันไม่ชอบฉีกยิ้มต่อหน้ากล้อง มันดูน่ารำคาญแล้วก็เชยด้วย แม้ว่าจะมีแต่คนบอกว่ามันน่าขยะแขยงจะตายที่ฉันทำแบบนั้น แล้วเป็นไงล่ะ...ตอนนี้ใครๆ ก็พากันแลบลิ้นเหมือนฉันไปหมด”

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือการแสดงของเธอบนเวที MTV Video Music Awards 2013 ที่เธอสวมชุดบิกินีตัวจิ๋วสีเนื้อ พร้อมทั้งโก่งตูดเต้น Twerk ใส่เป้ากางเกงของโรบิน ธิค ใน เพลง Blurred Lines แถมยังเต้นโชว์วาบหวิวและแลบลิ้นยาวอันเป็นท่าเอกลักษณ์ของเธอแบบไม่อายประชาชีและเยาวชนนับล้านคน ที่นั่งชมอยู่ในงานและหน้าจอโทรทัศน์ทั่วอเมริกาเลยแม้แต่น้อย จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในชั่วข้ามคืน ทำเอาโชว์ของนักร้องดังอย่าง เลดี้ กาก้าและเคที่ เพอร์รี่ ที่แม้จะใส่ชุดน้อยชิ้นขึ้นโชว์เหมือนกันถูกลืมไปเสียสนิท และดูเหมือนว่าไมลีย์เองก็ไม่หวั่นกับกระแสโจมตีแต่อย่างใดเพราะเธอออกมากล่าวอย่างภูมิใจว่าตนได้สร้างประวัติศาสตร์ระดับเดียวกับมาดอนนาและบริทนีย์ สเปียร์ส ที่แลกจูบกันบนเวทีจนกลายเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลกเมื่อสิบปีก่อน

“บอกตรงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าทาง MTV อยากให้ฉันกลับไปแสดงอีกไหม” เธอพูดติดตลก “เพราะทุกอย่างช่างโกลาหลและบ้าคลั่งมากหลังจากการแสดงในคืนนั้น กระแสต่างๆ มันมากเกินกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก แต่ฉันรู้ดีว่าฉันเกิดมาเพื่อทำอะไรแบบนี้ ฉันเพิ่งมีช่วงเวลาที่สุดยอดมากๆ บนเวที และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ฉันตั้งใจไว้ คิดดูสิ...แม้กระทั่งคนที่จงเกลียดจงชังฉันก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนเอาแต่พูดถึงการแสดงของฉันไม่หยุดหย่อน ฉันเองก็รู้ตัวนะว่าการแสดงแบบนั้นมันค่อนข้างอนาจารและอาจทำลายโอกาสของฉันบนเวทีรางวัลต่างๆในอนาคตได้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระมากขึ้น ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ฉันอยากทำ”

เรารู้ว่านั่นคือส่วนหนึ่งของการพยายามอย่างหนักในการโปรโมทอัลบั้มใหม่ของเธอให้เป็นที่สนใจ ซึ่งถ้ามองในแง่ของผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าเธอประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมอย่างในมิวสิควิดีโอเพลง Wrecking Ball ที่เธอถึงขั้นแก้ผ้าเปลือยล่อนจ้อนนั่งบนลูกตุ้มยักษ์ที่แกว่งไกวไปมา แถมยังเลียค้อนอีกต่างหาก ซึ่งเป้าหมายของอดีตทีนควีนวัย 21 ปี คือการให้มิวสิควิดีโอเพลงนี้ทำลายสถิติยอดผู้เข้าชมสูงสุดภายใน 1 วัน ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จด้วยยอดผู้ชมกว่า 9.3 ล้าน และยังเป็นมิวสิควิดีโอที่ทำยอดผู้ชมเกินกว่า 100 ล้าน ได้รวดเร็วที่สุดในระยะเวลาเพียง 6 วันเท่านั้น แถมตัวเพลงยังได้อันดับ 1 Billboard Chart เป็นเพลงแรกในอาชีพนักร้องของเธอ รวมทั้งอัลบั้ม Bangerz ก็ขายดีทำสถิติเปิดตัวอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย แถมยังติดอันดับ 1 ใน 10 อัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ของหลายสำนักอีกด้วยเรียกได้ว่าเธออยู่ในจุดที่นักร้องบางคนเห็นแล้วยัง...เอิ่ม...อดหมั่นไส้ไม่ได้

“ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครๆ มองว่าฉันอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพหรอกนะ ณ จุดนี้ ฉันแค่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกนอกสายตาที่ดูเจ๋งๆ หน่อยมากกว่า เพราะสิ่งที่ฉันทำไม่ค่อยถูกต้องดีงามอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกันเท่าไรนัก อันนี้รู้ตัวดี”

ถ้าการประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และกระแสต่างๆ คือสิ่งที่เธอได้มาจากการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ แล้วอะไรคือสิ่งที่เธอสูญเสียไป การเลิกราระหว่างคู่หมั้นหนุ่มนักแสดง ‘เลียมเฮมส์เวิร์ธ’ ที่คบกันมานาน 3 ปี เพราะทนพฤติกรรมสุดกร้านโลกของเธอไม่ไหว แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เธอชํ้าใจพอสมควร แต่เธอก็เลือกที่จะเดินต่อไปด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปยังสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ณ ตอนนี้ นั่นก็คืองานเพลงนั่นเอง

“ความรักทั้งหมดของฉันตอนนี้ ฉันทุ่มเทให้กับงานเพลงล้วนๆ สำหรับฉันแล้วงานเพลงก็เปรียบเสมือนความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลาและคอยเอาใจใส่ในทุกๆ เรื่อง ฉันจะไม่มองย้อนกลับไปในอดีตแล้วมัวแต่คิดว่า ‘ฉันจะมีใครให้พึ่งพิงอีกไหมถ้าวันหนึ่งฉันไม่เหลือใคร’ คุณรู้อะไรไหม...เพราะว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าอยากให้ฉันเป็น ณ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน พระเจ้าอยากให้ฉันประสบความสำเร็จ มีความสุข แล้วแบ่งปันความสุขให้แก่คนอื่นๆ และได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนกลับมา”

เราเข้าใจการมอบความสุขด้วยเสียงเพลงอย่างที่นักร้องหรือศิลปินทำกัน แต่จะเป็นไปได้ไหมที่เธอจะเลิกหรือลดพฤติกรรมห่ามๆ แบบไร้ขอบเขตของเธอลงเสียที อย่างการถ่ายรูปถกเสื้อโชว์อกลงในทวิตเตอร์เพื่ออวยพรแฟนๆ ในวันคริสต์มาส พร้อมข้อความแรงๆ ว่า “ขอบคุณนิวยอร์กที่ไม่มีกฎหมายห้ามเปลือยอกในที่สาธารณะ” หรือการควักกัญชามาสูบบนเวที MTV Europe Music Awards 2013 ทั้งๆ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่

“มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่หลายคนคิดกันฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้ใครไม่พอใจเลย แต่ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยเปิดใจในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจต่างหาก”

ไมลีย์บอกกับเราว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองใดๆ อย่างการถ่ายรูปเปลือยอก เธอมองว่าชายและหญิงควรมีสิทธิในการโชว์อกเท่าเทียมกันและนิวยอร์กเป็นเมืองที่อนุญาตให้คุณทำแบบนั้นได้ ดังนั้นเธอก็มีสิทธิ์จะทำไม่ใช่หรือ ส่วนเรื่องของกัญชานั้นเป็นความชอบส่วนตัวของเธอล้วนๆ

“กัญชาคือยาเสพติดที่ดีที่สุดในโลก ฉันรักการสูบกัญชามาก ฉันชอบเวลาเมายา ครั้งหนึ่งฉันเห็นหมาป่าหอนอยู่ในดวงจันทร์ด้วย สำหรับฉัน กัญชาคือยาแห่งความสุขและช่วยให้คุณเข้าสังคมได้ดี”

เราพอรับได้กับเรื่องโป๊เปลือยอะไรทำนองนั้น แต่เรื่องของการกระทำบางอย่าง เช่น การสูบยาดูจะลํ้าเส้นเกินไปสักนิดหรือเปล่า จริงอยู่ที่งาน MTV Europe Music Awards 2013 จัดขึ้นที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งการสูบกัญชาไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่ในฐานะที่เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนและคนในสังคม มันดูเป็นสิ่งที่ไม่ดีเกินไปสักหน่อยไหม

“สำหรับฉันแล้วการเป็นคนดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไรบนเวที มันขึ้นอยู่กับว่าคุณปฏิบัติกับคนอื่นๆ อย่างไรตอนที่คุณไม่ได้อยู่บนเวทีต่างหาก และฉันรู้ตัวดีว่าฉันทำตัวแบบไหนกับคนรอบข้าง ฉันเลยไม่เคยต้องมานั่งกังวลใจเลยว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่