ความรัก ความเมตตา ความประมาท

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่กำลังคบชาวต่างชาติ ดิฉันอายุสี่สิบปี  และหย่ามาหนึ่งครั้ง
คนแรกเป็นชายชาวอเมริกัน เราติดต่อกันประมาณหนึ่งปี ห้าเดือน ก่อนหน้านั้นทราบมาว่าเขาแต่งงานและหย่าแล้วกับผู้หญิงอเมริกันจำนวนสามคน
คนสุดท้ายหย่าเมื่อประมาณสิบปีทีผ่านมา
เขาแต่งงานเมื่ออายุประมาณยี่สิบเอ็ดปีกับชาวเยอรมันมีลูกกับภรรยาคนแรกเป็นผู้หญิงสองคน  ตอนหย่ากับคนแรกลูกๆน่าจะอายุสิบขวบ ตอนนั้นเขาคบคนงานในบ้านซึ่งมีสามีและมีลูกแล้ว  เขาบอกว่าเธอเป็นสเปกของเขา มีลูกกับเธอเป็นผู้ชายหนึ่งคนแต่เป็นคนที่สองของเธอ และเขาก็จดทะเบียนกับเธอหลังจากหย่ากับคนแรกแล้ว เขาบอกว่าที่เขาต้องหย่ากับคนที่สองนั้นเพราะเธอพูดเสียงดัง และดื่มเหล้าเก่ง ชอบหาเรื่องเขา แต่ลูกผู้หญิงคนโตของเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูจากเธอ และมีแฟนที่เกเร จนถึงกับตำรวจจับเพราะคดีกัญชา ส่วนลูกคนที่สองของเขาอยู่กับภรรยาคนแรก ตอนนี้มีลูกสองคนอายุประมาณสิบขวบและกำลังเดินทางมาเยี่ยมเขา ส่วนภรรยาคนแรกก็พบชายที่รักจริงและมีความสุขกัน
เขาเล่าให้ฟังว่ามีลูกกับเพื่อนหนึ่งคนแต่เขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นลูกเขา เพื่อนคนนี้ก็เป็นเพื่อนกับภรรยาคนแรกของเขาด้วย

ร่างกายเขาไม่แข็งแรง เขาบอกว่าอายุประมาณยี่สิบห้าปีก็ประสบเหตุการณ์ทำให้ร่างกายคล้ายคนเป็นอัมพฤกต้องทานยาตลอด ตอนนั้นเขาเป็นทหาร  จวบปัจจุบันก็ยังไม่หาย อีกทั้งสายตาเขาก็เริ่มย่ำแย่ ตอนนี้เขาอายุหกสิบหกปี เขาเคยเล่าให้ฟังว่าส่งเสียเงินทองให้ลูกๆ หลานๆ ซื้อ นั่น นี่ ให้ เหมือนเขาระบายให้ฟังว่ายังต้องส่งเสียดูแลลูก ดิฉันคุยกับเขาทางเฟซบุ๊ค ดิฉันเขียนลงไปว่าให้ลูกของเขาหางานและใช้เงินตัวเองบ้าง อย่ารบกวนเขานัก ทั้งลูกผู้หญิงคนโต และลูกผู้ชายคนเล็ก  นั่นทำให้ลูกสาวเขาเห็น และเขียนว่าไม่ได้ขออะไรจากเขาเลย ดิฉันก็ไม่ได้สนใจเขียนอะไรลงไปอีก

เขาเคยมาเมืองไทยหลายครั้งและมีแฟนเป็นหญิงไทย  
เขาไปฟิลิปปินส์ก็มีหญิงฟิลิปปินส์

ฉันรู้จักเขาครั้งแรกในเว็บเดทติ้ง เพราะชอบโปรไฟล์ของเขา ในนั้นไม่โชว์ว่าเขามีแฟน หรือหมั้น  ในนั้นเขาลงว่ามีคนที่กำลังคบกันอยู่   ฉันทักเขาไป เขาตอบมาว่ามีคนที่คบแล้วไม่ว่างคุยกับฉัน ฉันจึงไม่ได้เขียนถึงเขา   ต่อมาเขาก็มาดูโปรไฟล์ฉันบ่อยๆ ฉันก็ถามเขาว่ามีแฟนไหมเขาบอกว่าไม่มี ทำให้ฉันคุยกับเขามากขึ้น  ทุกๆเสาร์อาทิตย์  ฉันต้องคุยกับเขา และฉันมักจะแนะนำเรื่องการรักษาตัวให้เขาทราบ ว่าต้องทำอย่างไร ทำให้เราคิดที่จะรู้จักกันมากขึ้น

สำหรับผู้หญิงคนไทยที่เขาคบ ดิฉันเจอในเฟซบุ๊คว่าหมั้นกับเขา แต่ของเขาไม่ได้โชว์ ดิฉันเช็คกับเธอวันที่เขากำลังมาหาเธอในวันสงกรานต์ปีที่แล้วพอดีโดยที่ฉันไม่ทราบว่าเขากำลังมาหาเธอ ถามเธอว่าเขาเป็นแฟนเธอหรือเปล่า เธอบอกว่าใช่ และหมั้นกันแล้ว ฉันตกใจมากและบอกเธอว่าฉันจะไม่ติดต่อเขาอีก   เธอบอกว่ารู้จักกันนานแล้ว ประมาณสี่ห้าปี และกำลังจะไปหาเขาด้วย มีป้าอยู่ทีนั่น จะแวะไปหาเขา ตอนนี้วีซ่าผ่านแล้ว

ฉันจึงถามเขา  และไม่ทราบว่าตอนนั้นเขากำลังบินมาเมืองไทย  เขากำลังต่อเครื่องที่ญี่ปุ่นและเขาไม่บินมาเมืองไทย แต่กลับบ้านไป  แฟนคนไทยของเขาถามฉันว่าไม่ทราบหรือว่าเขากำลังมา ฉันไม่ทราบและคิดว่าเวลาเขาไปไหนมาไหนผู้หญิงทุกคนของเขาคงทราบ

ต่อมาเขาได้มาหาเธอในเดือนพฤษภาคม ซึ่งฉันเห็นเธอโชว์บนเฟซบุ๊ค เขามาพักที่เกาะสมุยหนึ่งสัปดาห์
ฉันจึงเริ่มคุยกับชายคนใหม่  แต่ก็ยังพูดคุยกับเขา  เขามีเวลาคุยกับฉันนานมาก ชายคนอื่นที่เป็นเพื่อนทางเว็บเดทติ้งของฉันก็ห่างหายไป  ฉันคุยกับเขาฉันรู้สึกดี เพราะชอบการคุยกัน ปรึกษาหารือ และทำให้ได้ภาษาไม่มากก็ยังได้บ้าง   เที่ยงฉันต้องคุยกับเขา  เขาส่งเงินให้ฉันทุกเดือนๆละเก้าพันเพื่อให้เก็บเป็นค่าเครื่องบิน  ฉันวางแผนจะบินไปเยี่ยมเขาแต่ว่าวีซ่าไม่ผ่าน เขาบินมาหาฉันเมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการครบหนึ่งปีที่เรารู้จักกันพอดี

เขาพักที่บ้านดิฉัน และเขาต้องการไปพักที่โรงแรมซึ่งสะดวกสบายดิฉันก็ไม่กล้าให้ไปกังวลต่างๆนานา เพราะทราบว่าเขาไม่แข็งแรงและดิฉันต้องทำงาน
เขาคงไม่พอใจดิฉันนัก ทำให้ความสัมพันธ์เราไม่ค่อยราบรื่น ดิฉันมีความรู้สึกว่าเขาค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง และไม่ใช้เหตุผลที่ดีกับดิฉันนัก แต่เมื่อเขาสงสัยอะไรดิฉันอธิบายตามเหตุผลเขาก็ดีขึ้น เราประสบอุบัติเหตุรถยนต์เขารีบกลับบ้านเขา เราเจอกันแค่หนึ่งสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาน้อยมาก


เขาบินกลับไปและไม่ค่อยติดต่อมา แต่เราก็คุยกันทางเฟซบุ๊คบ้าง  เขาบอกว่าเขาอยากอยู่ต่อ และเขาได้เตรียมเอกสารมาเพื่อแต่งงานด้วยแต่มีอุบัติเหตุเขาก็กลัวและรีบกลับ  มีครั้งหนึ่งที่เขาถามว่าเพื่อนเขาในเฟซบุ๊คเป็นกระเทยไหม ฉันอ่านเลยเจอข้อความประมาณนี้ว่า เธอขับรถไปเจอชายคนหนึ่งมากับแฟนเธอได้แต่แอบมอง และข้อความที่คนๆนั้นต่อว่าคนอื่นว่าเธอจดทะเบียนกับชายอีกคนหนึ่งแล้วคงไม่มีใครคิดว่าเธอไม่มีสิทธิอะไรกับชายคนนี้  ฉันจึงฟันธงลงไปว่าเป็นผู้หญิงและเขียนบอกเขาว่าประมาณนี้ ไม่นาน แฟนคนไทยซึ่งเคยบอกดิฉันว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา  ก็เขียนลงเฟซบุ๊คมาว่าดิฉัน ว่าดิฉันไปแอบส่องเซฟบุ๊ค ของเพื่อนเธอ ว่าฉันขี้เหร่ ว่าฉันต่างๆนานา แต่ฉันแค่ตอบคำถามของชายชาวอเมริกันแค่นั้น เธอบอกว่าชายชาวอเมริกันจะทำอะไรทุกอย่างต้องบอกเธอก่อน  แล้วก็อปเรื่องที่พวกเธอเม้าท์กันมาให้ฉันดู  ตอนนี้ทำให้ฉันเข้าใจว่าพวกเขาคงมีการวางแผนอะไรไว้บ้าง ผู้หญิงคงไม่หลอกดิฉัน แต่ดิฉันก็ไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าเธอโกหกหรือเปล่า  เพราะถ้าเขาติดต่อกันคงไม่อยากบอกดิฉัน  ฉันจึงเล่าบอกชายชาวอเมริกัน และต่อมาไม่ค่อยได้ติดต่อเขาอีก


ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่ชายชาวอเมริกันจะมาหาฉัน เพื่อนของเธออีกคนหนึ่งได้ส่งเมลล์มาหาฉันทางเฟซบุ๊ค บอกว่าชายชาวอเมริกัน เลือกวางแผนที่จะแต่งงานกับฉัน เธอแสดงความยินดีกับฉัน   แต่ดิฉันไม่กลัวหรือ หากเขาอารมณ์ร้าย หรือใช้เงินหมดแล้วไม่มีเงิน เราต้องเป็นภาระเลี้ยงดูเขา และเอกสารทุกอย่างของเขามีคนจัดการให้หมด แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร  และพวกเธอรู้เรื่องเอกสารของเขาดีแค่ไหน

ฉันจึงไม่มีใครตลอดมา

จนกระทั้งเมื่อต้นเดือนพฤษภาคือเดือนนี้ ฉันได้รู้จักกับชายชาวแคเมอรูนซึ่งเป็นครูสอนภาษาที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ทางเว็บเดทติ้ง   เราเจอตัวจริงกันหนึ่งครั้ง  และติดต่อกันตลอดมา เขาจะพูดจาดีมาก ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความสุข และเราวางแผนจะเปิดที่สอนภาษาด้วยกัน
แต่ชายชาวอเมริกันก็กลับมาติดต่อฉันอีกทำให้ฉันต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใคร

ซึ่งทั้งสองคนก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

ชายชาวอเมริกัน สามารถช่วยเหลือการเงินได้ แต่เขาเจ็บป่วย ทรมานมาหลายสิบปี ทำให้อารมณ์เสีย เขาอายุมาก ทำให้ดิฉันสงสารและอยากช่วยเหลือเขาให้ได้ อยากให้เขาหายป่วย และปรับระดับจิตใจให้หายดีได้ และนิสัยของฉันคือรักการดูแลคนที่เจ็บป่วยอยู่แล้วหากเป็นคนที่ฉันรัก และเป็นมิตรกับฉัน
เขาพอมีเงินที่จะทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งในเมืองไทยกับฉันได้

ชายชาวแคเมอรูนนิสัยดี สุภาพ เขาอายุ สามสิบสองปี  เป็นคริสต์  เราวางแผนที่จะทำงานสอนหนังสือเวลาว่างร่วมกัน เพื่อหารายได้ และดูใจกันด้วย

ตอนนี้ทั้งสองคนทราบว่าดิฉันต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกับพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ได้เกลียดชังกัน

ตอนนี้ดิฉันเลือกที่จะคบกันพวกเขา  ดิฉันทำผิดหรือไม่คะ  
แต่ให้เลือกแต่งงานคงเลือกชาวอเมริกันก่อน เพราะว่าเขาต้องการความช่วยเหลือก่อน และดิฉันคงได้รับการช่วยเหลือโดยสิทธิที่แต่งงานกับชาวอเมริกันบ้าง

ดิฉันประมาทเกินไปหรือเปล่าคะ กลัวว่าต้องผิดหวังในความรัก กังวลทุกอย่าง กลัวเสียเวลา ฉันรู้สึกทึกใจมากเรื่องความรัก
แต่เรื่องงานที่กำลังทำกับพวกเขาไม่รู้สึกกังวลมากมายแต่อย่างใด แค่เป็นปกติค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่