ความเป็นจริง การปฏิบัติตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หายไปจากสังคมโลกมาตั้งแต่ราวๆ พ.ศ.๑๐๐๐ แล้ว การแตกแยกในหมู่สงฆ์เกิดขึ้มาตั้งแต่ครั้งหลังพุทธกาลไม่นาน เริ่มตั้งแต่การแยกตัวออกไปของกลุ่มมหาสังฆิกะ พอมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ปรากฏมีการแยกออกไปเป็นกลุ่มย่อยๆ อีกเป็น ๑๘ กลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีการเพิ่มเติมแก้ไขธรรมวินัยกันไปทีละน้อย ยกเว้นอยู่กลุ่มเดียว คือ กลุ่มดั้งเดิม ในสมัยพุทธกาล การที่เหล่าสาวกจะพูดถึงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสองก็ยังไม่มี เพราะเรียนมาจากที่เดียวกันหมด รู้สิ่งเดียวกัน และพูดในสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องของมรรค ในศาสนาพุทธถึงพระธรรมคำสอนจะอยู่อย่างครบถ้วนยกเว้นมรรค ศาสนาพุทธก็ถือได้ว่าสิ้นไปจากสังคมโลกแล้ว เพราะเหตุว่า มรรคเป็นทางเดินเริ่มต้นของสิ่งที่จะเกิดตามมาทั้งหมด ถ้ามรรคเลือนหายหรือถูกบิดเบือน จะไม่มีทางเกิดอริยบุคคลขึ้น เพราะเป็นธรรมส่วนที่เหลือเป็นผล ไม่ได้เป็นเหตุของการบรรลุนิพพาน และผู้ที่จะค้นพบมรรคแล้วนำมาบอกต่อ ก็มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น นอกจากนั้นต้องอาศัยการสอนต่อๆ กันไปเป็นรุ่นต่อรุ่นเท่านั้น จนถึงผู้รู้ตามท่านสุดท้ายได้ตายไป ก็คือว่าสิ้นสุดของศาสนาพุทธของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นๆ ความจริงมีหนึ่งเดียว มาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้มาจากการตรัสรู้ คำสอนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้ามีความคิดเห็นปะปน เพราะไม่ได้ตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า การนำคำสอนของบุคคลอื่นหรือเอาความคิดของตนปะปนกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือ การเอาหมึกสีดำหยดลงในน้ำบริสุทธิ์ นานวันไปความบริสุทธิ์ของน้ำก็มีแต่จะเลือนหาย ทางเดียวที่เราจะรู้ความจริง คือ ไปพบน้ำบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรเจือปนเท่านั้น หรือต้องได้เรียนพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนจากผู้ที่รู้ก่อนหน้า กลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้น จึงไม่ถือว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ การแก้ไขธรรมวินัยนั้นเริ่มจากเรื่องเล็กน้อย จึงเป็นช่องทางให้พวกพราหมณ์แทรกแซงได้ง่าย จนบางกลุ่มแก้ไขจนไม่เหมือนต้นฉบับ สุดท้ายก็นำวัตรปฏกิบัติของพราหมณ์มาให้กลุ่มเหล่านี้ปฏิบัติโดยการบิดเบือนไปทีละนิด จนไม่เหลือแนวทางของมรรคอยู่เลย ราวๆ พ.ศ. ๑๐๐๐ ในอินเดียถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของพวกพราหมณ์ที่นุ่งเหลืองห่มเหลือง กลุ่มดั้งเดิมได้หายไปจากอินเดีย ดังมีบันทึกไว้ว่า พบวัดที่มีพระเถรวาทอยู่ในอินเดียเพียง ๒ รูป แต่ยังมีกลุ่มที่สืบทอดจากกุล่มดั้งเดิมเหลืออยู่ในลังกา ซึ่งต่อมาไม่นานก็ถูกพวกพราหมณ์ตามไปทำลาย มรรคเกือบจะหายไปจริงๆ ตั้งแต่ท่านผู้รู้ตามท่านสุดท้ายได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปตั้งแต่ราวๆ พ.ศ. ๑๐๐๐ เพราะพระอรหันต์ในสมัยพระเจ้าอโศกพอจะมองเห็นว่า ในอนาคตศาสนาพุทธจะอยู่ในอินเดียไม่ได้ จะมีพวกมุสลิมเข้าไปเผาทำลายจนไม่เหลือซาก จึงไ้ดมีการบันทึกธรรมวินัยทั้งหมดเป็นลายลักอักษรณ์ และหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อรอให้ผู้มีบารมีเพียงพอมาอ่านและเข้าใจมรรค ศาสนาพุทธจึงจะกลับมาอีกครั้งและอยู่จนครบ ๕๐๐๐ ปี บนโลกใบนี้
คำสอนแต่ละนิกายมาจากที่เดียวกัน