ถ้าคุณต้องทำนา 20 ไร่ คุณจะทำอย่างไรให้ได้กำไรครับ

ถามดูครับ สมมุติว่าคุณตกงาน ไม่มีเงินเดือน หางานใหม่ไม่ได้
แต่คุณมีที่นาอยู่ 20 ไร่ กับเงิน 9 หมื่น
คุณจะบริหารจัดการทรัพยากรตรงนี้อย่างไรให้ได้กำไรมาพออยู่พอกิน

ตัวแปรกำหนด
1.ที่นา 20 ไร่ ใกล้แหล่งน้ำ แต่บางฤดูแหล่งน้ำก็มีน้ำบ้าง ไม่มีน้ำบ้าง
2.มีเงินทุน 9 หมื่นบาท
3.มีแรงงาน 2 คน คือคุณกะคู่ชีวิต
4.คุณไม่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ เช่นรถไถ, รถตัก, รถเกี่ยวข้าว (ไม่ได้ห้ามใช้นะครับ  แต่ถ้าจะใช้ต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เอาเงินไปซื้อมาหรือเช่ามาด้วยนะครับ )
5.มีเสาไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆ สามารถขอไฟเพื่อการเกษตรได้
6.ราคารับซื้อข้าวเปลือก ตันละ 6000 บาท ( คิดแบบต่ำๆไว้ก่อนครับ )
7.ห้ามขายที่ดิน ห้ามขุดหน้าดินหรือตักดินขาย

ลองคิดดูนะครับ เผื่อไอเดียของท่านจะได้ช่วยส่งเสริมคนที่เค้าทำนาเป็นหลัก
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 31
ถ้าไม่เคยทำนามาก่อนเลย ในยุคนี้คงไม่รอด
ต่อให้ใช้หลักวิชาการล้ำยุค มีแผนการดีเยี่ยม
ก็ไม่ไหว อาชีพเกษตรกรประสบการณ์สำคัญมาก
ต้องปรับตัว แรงกายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเกษตรกร
หากช่วงไหนมีศัตรูพืชระบาด ต่อให้ป่วยอยู่ก็ต้องทำ
ดินฟ้าอากาศสำคัญมาก ถ้าไม่เอื้ออำนวย ต้องนั่งร้องไห้กันทีเดียว
หากมีลูกลำบากเข้าไปใหญ่ หากคิดจะสู้ก็ลองดูครับ เอาใจช่วย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 34
แวะเข้ามาเล่าเรื่องครับ

คนออกจากงานประจำมาทำนาใหม่ๆแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มีหลายต่อหลายกรณีให้ศึกษาครับ ลองพิจารณาดูครับคิดซะว่าเป้นเรื่องเล่าก็ได้ครับ  โดยเรื่องที่พบเจอมากคือ ไปทำนาของพ่อตาแม่ยาย ซึ่งตัวลูกเขยเป็นคนไปทำ เพราะเจ้าของเดิมพ่อตาแม่ยายและลูกๆทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ  จึงยอมให้ลูกเขยเข้ามาทำ สรุปผลได้กำไรเพราะเปลี่ยนวิธีทำวิธีคิด แต่ทำได้ไม่นาน ปีสองปีก็เลิก เพราะพ่อตาแม่ยาย ได้ How to จากลูกเขยแล้ว  ก็จะบีบถีบหัวส่ง ให้ลูกตัวเองกลับมาทำ ได้วิธีการทำนา/เพาะปลูก ได้อุปกรณ์ที่เหลืออยู่ ได้ความมั่นคงให้ลูกหลานสายตรงของตัว สุดท้ายคนทำไม่เหลืออะไรนอกจากความเจ็บใจที่เก็บไว้ลึกๆ  แถวบ้านผมมีหลายคนครับ  หลายคนเริ่มใหม่โดยเริ่มจากการมีที่เป็นชื่อของตัวเอง แต่หลายคนกลับไม่สามารถทำได้กลายเป็นที่หัวเราะขบขันของคนชอบนินทาและเป็นตัวอย่างของพวกชอบดูถูกคนอื่นครับ(ตัวอย่างหาได้ไม่ไกลในกระทู้นี้ก็มีครับ)  ดังนั้นการมีที่ทำต้องมั่นใจว่า จะไม่เป็นเครื่องมือถูกหลอกใช้เป็นอันดับแรก หรือหาทางป้องกันโดยการหาซื้อที่ไว้เป็นของตัวเริ่มจากแปลงเล็กๆแล้วค่อยขยับขยายค่อยๆเป็นค่อยๆไป

บางคนเริ่มทำนาครั้งแรกทำจำนวนมากเกินไป ทีเดียวสิบไร่ ยี่สิบไร่ มันไม่สามารถทำได้แค่คนสองคน และไม่มีความหนักแน่นพอ ถูกคนรอบข้างเชียร์ให้ซื้อนั่นซื้อนี่ ต้องซื้อรถไถ ต้องซื้อปั้มน้ำ ต้องซื้อนั่นซื้อนี่ โดยเอาข้ออ้างว่าที่เยอะ  โดยบางครั้งอาจลืมไปว่าของที่เราซื้อนี่แหละ เราใช้ไม่เท่าไหร่ คนอื่นที่คอยเชียร์ให้เราซื้อมักมาขอยืมใช้เสมอ ซึ่งมันก็คือหลอกให้เราซื้อมาให้เขาใช้ หรือบางครั้งเอาไปให้เขาใช้เองเลยก็มี  เพราะถ้ามองในอีกมุมนั่นคือทุนของเรา หนี้ของเราที่เราก่อ แต่คนอื่นตักตวงผลประโยชน์ ถ้าเสียชำรุดเราต้องหาทางซ่อมเอง ปล่อยให้เขาซ่อมมักจะไปเอาอะหลั่ยคุณภาพแย่กว่ามาเปลี่ยนให้  หรือบางครั้งการจ้างแรงงานจำนวนมากก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายยิบย่อยมากเกินความจำเป็น เช่น จ่ายค่าแรงต่อวันแล้ว อาจต้องเสียค่าข้าวเลี้ยง บางทีมีพ่วงกระทิงแดงอีก(บางคนไม่กินเหน็บกลับไปขายคืนร้าน)  ค่าเหล้ากับแกล้มตอนเย็นอีก บางทีค่าแรงต่อหัวอาจเกิน 500 บาทต่อคนต่อวันไปด้วยซ้ำ  การไปอยู่บ้านนอกอย่าไปคิดว่าคนบ้านนอกเป้นคนดีเหมือนในละครหลังข่าวครับ  ความเป็นจริงก็คือ คนมีความคิดดีๆ ความคิดก้าวไกล ออกไปอยู่สุขสบายในเมืองหมดครับ เค้าไม่ต้องไม่มานั่งทนให้ยายหัวหยิกยายหัวหยอยนั่งล้อมวงด่าลับหลังแล้วครับ  การกลับไปอยู่บ้านนอกมีข้อสังเกตุดีๆคือ คนพอเชื่อถือได้มักไม่ค่อยว่าง ทำงานตลอด คนเชื่อถือไม่ได้มักกินเหล้าตอนเย็น(แต่ขี้โม้อวดอ้างเยอะ)และเรียกได้ตลอดเวลา

ชาวนาเงินล้าน เค้าไม่ได้ทำรอบเดียวแล้วรวยเลยและไม่ได้ง่ายเลย ทางลัดทางเดียวคือการใช้ความรู้ ความคิด และใส่ใจรายละเอียดให้มาก โดยมากมักทำน้อยๆก่อน แล้วค่อยขยายที่ทำไปเรื่อยๆ ทำพื้นฐานให้ไม่ขาดทุน ขยายให้พออยู่ได้  แล้วค่อยขยายให้สามารถเก็บออมได้ครับ  ซึ่งผมในตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะเดินมาไกลได้ขนานนี้ เริ่มจากเมล็ดมะเขือเจ้าพระยาซองเดียวที่ซื้อมาแค่ปลูกไว้ให้พ่อเก็บกินในสวนหลังบ้าน ปลูกรอบแรกได้แค่ยี่สิบกว่าต้นเองครับ(อันที่จริงน่าจะได้เป็นร้อย) พอดีว่ามันเกินกว่าที่กินได้ไปเยอะมากครับ ทุกรอบการเก็บครั้งละ 10 กิโล เลยเอาไปขายให้แม่ค้าตลาดกิโลละ 4 บาท แม่ค้าขายกิโลละ 5 บาท แค่เก็บรอบแรกได้ทุนคืน+กำไรแล้ว และสามารถเก็บได้ทุกๆ 3 วัน สรุปเดือนๆหนึ่งได้ 400บาท ต่อยี่สิบกว่าต้น นั่นก็ทำให้ผมมีกำลังใจมากในการทดลองปลูกอย่างอื่นต่อ อันต่อมาผมลองปลูกแตงกวา จากนั้นก็เป็นกระเจี๋ยบเขียว และอีกหลายๆอย่าง เริ่มทำอย่างอื่นบ้าง ได้บ้าง บางอย่างแย่บ้างก็มีครับ แต่มันจะเริ่มให้อยู่ตัวมากขึ้น รายได้มากขึ้น ซึ่งก็เหมือนเราลงทุนนั่นแหละครับ ไปลงทุนในพืชต่างชนิดให้ผลราคาต่างกัน ต่างเวลาช่วงเวลาให้ผลตอบแทนต่างกัน ด้านสังคมก็ขยับสังคมขึ้นไปพูดคุยกับคนระดับผู้นำชุมชน ซึ่งเราพูดอะไรเขาก็ฟังเรา  ซึ่งตอนนี้แค่เราบอกจะกู้เงินมาลงทุนมันง่ายมากมายครับ มีคนมาพูดคุยเรื่องกู้เงินถึงที่บ้านเราเลย ไม่ต้องทำหน้าเครียดไปธนาคารเพื่อขอกู้เงินแล้วกลัวเขาปฏิเสธแล้วครับ

การเลี้ยงสัตว์ อาศัยทุนเยอะ การดูแลเอาใจใส่สูง ที่บ้านเคยรับไก่พันธ์แจกมาเลี้ยง  แม่จ้าว!!!ไม่กินอย่างอื่นนอกจากหัวอาหาร เอาข้าวสารโยนให้มามุงยืนมองหน้าเฉย ไม่มีไม่กินอดตายเกือบยกเล้า แม้แต่รำข้าวก็ไม่กิน สรุปคือกินแต่หัวอาหารถุงละยี่สิบขึ้นเท่านั้น เอามาชั่งขายตัวประมาณร้อยบาทแค่ค่าเลี้ยงตกตัวละห้าหกร้อย ไปหาไก่บ้านมาเลี้ยง ไข่เล็กมาก แต่เห็นก็ไม่อยากเอามาต้มกินแล้วครับ อีกทังยังต้องเลี้ยงแยก ครอกเดียวกันตีกันตายรุมจิกกันตาย สรุปเหลือโตแค่สองสามตัว เราก็ต้องมานั่งเก็บซากไปฝัง เวลามันตีกัน บางทีไม่สนตัวผู้ตัวเมีย บางทีตัวเมียตีกันจับแยกเผลอก็วิ่งมาตีกันต่อทั้งๆที่มีลูกไก่วิ่งอยู่รอบตัว สรุปต้องทำกรงแยกเลี้ยงเป็นกลุ่มๆไป เสียเวลาเสียทรัพยากรณ์จนเลิกเลี้ยง มาลองเลี้ยงเป็ดดูเข้าท่ากว่า เพราะเป็ดกินอะไรได้หลายอย่างครับ ทั้งเศษผัก แม้แต่ว่าจะซอยหยวกซอยหญ้าให้มันกินมันก็กินครับ เลี้ยงง่ายอยู่ง่ายกว่าไก่เยอะครับ  พอดีว่าปลูกต้นกล้วยไว้ด้วยเยอะ เลยฟันมาซอยเป็นอาหารเป็ดซะ ต่างจากไก่ที่ของพวกนี้ไม่แม้แต่จะแล แถมไข่ฟองใหญ่กว่าอีก เสียแต่ต้องคอยตัดปลายปีกกับขุดที่ให้มีน้ำไว้ให้อาบน้ำเล่นน้ำด้วยเท่านั้นครับ  ไข่เป็ดเหลือกินขายตลาดได้ แต่ไข่ไก่สู้พวกไข่ฟาร์มยากครับ

เลี้ยงสัตว์ใหญ่อย่างวัวและควายไม่เคยเลี้ยงครับ แต่เท่าที่ดูก็น่าจะต้องมีงบสำหรับทำโรงเลี้ยงให้ และต้องคอยเฝ้า ไม่ใช่แค่หายและขโมย แต่กันไม่ให้ไปกินพืชผลของคนอื่น ปรับทีหนักเอาเรื่องครับ บางคนดีเขาไม่เอาเรื่องก็แล้วไป บางคนหัวหมอเสือหิวนี่ล่อเป็นห้าหกพัน ทั้งที่บางครั้งเราให้ความช่วยเหลือตลอดก็มีครับ เวลาเราไม่อยู่ต้องไปเที่ยวไปธุระต่างจังหวัดก็ต้องจ้าง/หาคนมาดูแลครับ แต่ว่าผลตอบแทนคุ้มครับ อย่างน้อยได้มูลสัตว์มาเป็นปุ๋ย ขายได้กระสอบละ 100 วัวตัวหนึ่งอย่างน้อยสุดก็สามหมื่นขึ้นแล้วครับตอนนี้ เรียกว่ากำไรกว่าสองเท่าตัวในหนึ่งปีครับถ้านับเฉพาะขายเป้นตัว
ความคิดเห็นที่ 7
คนอื่นทำสิบไร่ยังรอดเลยครับ ไม่มีเครื่องมือเหมือนกัน ก่อนอื่นเลยไปซื้ออุปกรณ์วิดน้ำมาก่อนเลย แล้วที่เหลือคือค่าพันธุ์ข้าว ค่าปุ๋ยค่ายา ค่าจ้าง ต้นทุน ต่อไร่ น่าจะสี่ห้าพัน (ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 7500 ความชื้น 15) เหลือ 2000 กำไร *10 20000 ตก สามเดือนสองหมื่น ต่อสิบไร่ ชาวนาที่เค้าพอมีพอกินส่งลุกเรียนได้ เค้าไม่ได้ทำแต่นาครับ เค้ารับจ้างทำอย่างอื่นด้วย อย่างในหมู่บ้านผมก็ไปสมัครงานตามห้าง เป็นลูกจ้างตามโรงงานไกล้ๆบ้าง งานที่สมัครง่ายๆเงินขึ้นต่ำมีเยอะครับ ไม่ได้รอข้าวสุกอย่างเดียว พอข้าวไกล้สุกก็ลางานบ้าง จ้างคนดูแลบ้าง

ส่วนคนสมัยนี้รีบเกี่ยวรีบขายครับ ไม่มีการตากหรือผึ่ง ไม่มีการทำยุ้งสำหรับเก็บ ซึ่งทำให้โรงสีกดราคามาก ยิ่งตอนนี้ด้วย กดกันสุดๆ ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ลองคิดดูครับ ควรตากไหม ควรมียุ้งสำหรับเก็บไหม

พวกนี้ผมคุยกับคนที่มาถ่ายเอกสารตอนจำนำข้าวบูมๆ (ผมทำร้านถ่ายเอกสาร ร้านเดียวในหมู่บ้าน ลูกค้าหลักชาวนาทั้งนั้น)ผมคุยหมดแหละทำยังไง กำไรเท่าไร ทุนเท่าไร พวกที่เค้ามีเงิน เพราะเค้าทำทีละ 30-50ไร่ กำไรรอบๆเป็นแสนๆ ตอนไม่รับจำนำก็กำไรน้อยหน่อย ส่วนที่เช่าเค้าก็แค่พอมีพอกินไปวันๆ  ส่วนที่หมดตัวคือ ทำไม่สนใจฟ้าฝนครับ อย่างปีนี้ เค้าสั่งห้ามทำนาปรัง พวกก็ไม่ฟัง สุดท้ายน้ำไม่มี ตายเรียบ หรือพื้นที่ไหนน้ำท่วมบ่อยๆ ก็ยังทำอยู่ มีแต่ขาดทุน

ทุกอาชีพมีการลงทุน มีขาดทุน มีการวางแผน มีการพัฒนาฝีมือ มีการทดลองเพื่อเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายหมดครับ ต้องทำอย่างเฉลียวและมีสติ อย่าหวังเพิ่งคนอื่น อย่าหวังโชค และอย่าทำเพราะชาวบ้านเค้าทำๆกันมาครับ ให้ทำด้วยความรู้ที่เรามีและหาผู้รู้จริงแนะนำ ผมเห็นไวรุ่นแถวบ้านผมเรียนจบปตรี ก็มาทำนากันหลายคนอยู่ คุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีนาตั้ง 20ไร่ ผมนี้ไม่มีซักไร่ ถ้ามีแบบคุณ ผมก็จะเปิดร้านซ่อมคอมแล้วก็ทำนาไปด้วย รวยแน่ๆ
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าจะให้เขียนตอบมันยาวมาก เอาเป็นว่าถ้าทำตามระบบของ ชาวนาวันหยุด จะเหลือกำไรค่อนข้างเยอะครับ
ติดตามได้ที่  Facebook ชาวนาวันหยุด

https://www.facebook.com/WeekendFarmerNetworks?fref=nf
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่