สวัสดีครับ บอกก่อนเลยเพิ่งตั้งกระทู้ครั้งแรก อาจเขียนวกไปวนมาเขียนงงบ้าง อย่าว่ากันนะครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้บ่นและเล่าเรื่อง ใครที่กำลังจะเข้ามหาลัยอาจจะได้สาระ(ที่มีอยู่น้อยนิด)บ้าง
เมื่อปีที่แล้วผมสอบตรงติดที่มหาลัยย่านอโศกในสาขานึงของคณะวิทยาศาสตร์ด้วยความฟลุ๊ค ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัดมาตลอด
ทำให้ผมอยากโลดแล่นท่ามกลางเมืองหลวงสักช่วงนึงในชีวิต เมื่อโอกาสนี้มาถึงจึงรีบคว้าไว้สุดแขนเอื้อม แม้มันจะแลกด้วยหลายๆสิ่ง
ด้วยความที่เป็นเด็ก(บ้านนอกในภาคอีสาน)ที่เรียนดีมากในช่วง ป.1-ป.4 ไม่ว่าจะสอบแข่งขันอะไรโรงเรียนจะส่งผมเป็นตัวแทนตลอด
ได้รางวัลมาเยอะแยะมากมาย เคยสอบได้ที่หนึ่งของระดับชั้นอยู่หลายหน เกรดเฉลี่ย 4.00 เกือบทุกปี ทำให้พ่อแม่คาดหวังในตัวผมมาก
อาชีพในอนาคต(ที่พ่อแม่หวัง)คือหมอ แต่พ่อเห็นว่าถ้าผมยังเรียนแถวบ้านนอกอยู่อาชีพหมอคงไกลเกินเอื้อมถึง
ซึ่งความคิดนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตผม ตอน ป.5 ผมถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ที่นี่ทั้งใหญ่โตไฮโซและเพียบพร้อมด้วยสื่อการเรียนการสอนที่ครบครัน เพื่อนๆที่นี่มีทั้งฉลาดมาก ปานกลางและเรียนอ่อน คละกันไป
ทำให้เด็กที่ฉลาดในบ้านนอกอย่างผมต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อที่จะกลับไปยืนที่จุดเดิม แต่ทำได้แค่มีตัวคนในห้องคิงในลำดับกลางค่อนไปทางท้าย
ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้จนถึง ม.3 เพราะเป็นโรงเรียนประจำทำให้ขาดอิสระ เด็กที่กำลังจะโตเป็นวัยรุ่นอย่างผมจึงตัดสินใจลาออกไปเรียนแถวบ้าน
เพียงเพราะต้องการแค่อิสระ การกระทำครั้งนี้คงทำให้ผมรู้สึกผิดไปจนวันตาย เพราะผมต้องจากโรงเรียนเอกชนสุดไฮโซมาเรียนที่โรงเรียนรัฐธรรมดา
ทำให้วิถีชีวิตของผมเปลี่ยนไปจนปรับตัวไม่ทันร้องไห้ทุกวัน ยิ่งต้องมาอยู่ในสังคมบ้านนอกด้วย บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสังคมในบ้านนอกมันแคบมาก
ทุกๆคนจะรู้จักกัน ทำให้ผมโดนนินทาหลายเรื่องมาก โดนมองด้วยสายตาแปลกๆ ทำให้มีคนคอยจ้องมองการกระทำของเราแทบจะตลอด
อาจจะเป็นเพราะผมค่อนข้างหน้าตาดี(แถวบ้านแทบไม่มีใครหน้าตาดีเลย ผมไม่ได้หลงตัวเองนะครับ) บ้านมีฐานะและพ่อแม่มีหน้าตาในสังคมมาก
ปัญหาเหล่านี้มันทวีคูณกว่าคนอื่นๆ ส่วนเรื่องการเรียนไม่มีปัญหา ผมแทบไม่ได้อ่านหนังสือเลยเพราะว่าเนื้อหาที่เรียนนั้นผมเคยเรียนเกือบมาหมดแล้ว
ยิ่งเป็นคนหัวไวอยู่แล้วทำให้ผมไม่สนใจการเรียนขึ้นไปอีก เพราะคิดว่ากูเก่งแล้วกูมาจากโรงเรียนไฮโซ ทำให้การเรียนในช่วง ม.ปลายของผมย่ำแย่ลงมาก
ไปเรียนคือไปนั่งคุย ถึงผมนั่งคุยผมก้สอบได้คะแนนดี(ความจริงคือไม่ดีแต่คนอื่นแย่กว่า) ในใจก้คิดว่ากูเก่งอ่านนิดเดียวก้สอบได้ ความโอหังบังตา
ทำให้ความรู้ในช่วง ม.ปลาย ผมแทบไม่มีเลย ตอนจะขึ้น ม.6 พึ่งรู้ตัวเลยอัดเรียนพิเศษ(ไปเรียนบ้างไม่ไปบ้างเพราะความโอหังยังบังตาอยู่)
และแล้ววันประกาศผลมหาวิทยาลัยย่านอโศกก้มาถึง อย่างที่บอกครับผมฟลุ๊คติด เพื่อนๆคุณครูต่างเข้ามาแสดงความยินดีและชื่นชมที่สอบติด
แต่พ่อแม่กลับประกาศแจ้งชัดเลยว่า "ไม่ให้เรียน" ลูกต้องได้ดีกว่านี้ ด้วยความรั้นเลยบอกว่าจะสอบที่นี่เป็นที่สุดท้ายและผมก้ไม่ยอมสอบที่ไหนอีก
พ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงหลายครั้งมากเรื่องการตัดสินใจของผม แต่ผมไม่ฟังเหตุผลใดใดทั้งสิน(แย่มาก) จนพ่อแม่ต้องยอมให้เรียน
แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจนะครับว่าเด็กที่กำลังจะเข้ามหาลัยมันเครียดมาก กลัวตัวเองไม่มีที่เรียน อ่านหนังสือไม่ตรง ไม่มีกำลังใจ ยังไม่ค้นพบตัวเอง
ปัญหารุมล้อมทุกอย่าง ทั้งคำถามกดดันจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะ "มีที่เรียนหรือยัง? ลูกคนนั้นคนนี้ติดนู่นนี่นั่นแล้วนะ"
เข้าเรื่องต่อ ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงได้มาใช้ชีวิตตามที่วาดฝันไว้อย่างสวยหรูในเมืองกรุง แต่! โลกของความจริงมันไม่เหมือนในความฝันน่ะสิครับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
ประสบการณ์เด็ก(เคยอยู่)หอและเด็ก(อยากซิ่ว)
กระทู้นี้เป็นกระทู้บ่นและเล่าเรื่อง ใครที่กำลังจะเข้ามหาลัยอาจจะได้สาระ(ที่มีอยู่น้อยนิด)บ้าง
เมื่อปีที่แล้วผมสอบตรงติดที่มหาลัยย่านอโศกในสาขานึงของคณะวิทยาศาสตร์ด้วยความฟลุ๊ค ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัดมาตลอด
ทำให้ผมอยากโลดแล่นท่ามกลางเมืองหลวงสักช่วงนึงในชีวิต เมื่อโอกาสนี้มาถึงจึงรีบคว้าไว้สุดแขนเอื้อม แม้มันจะแลกด้วยหลายๆสิ่ง
ด้วยความที่เป็นเด็ก(บ้านนอกในภาคอีสาน)ที่เรียนดีมากในช่วง ป.1-ป.4 ไม่ว่าจะสอบแข่งขันอะไรโรงเรียนจะส่งผมเป็นตัวแทนตลอด
ได้รางวัลมาเยอะแยะมากมาย เคยสอบได้ที่หนึ่งของระดับชั้นอยู่หลายหน เกรดเฉลี่ย 4.00 เกือบทุกปี ทำให้พ่อแม่คาดหวังในตัวผมมาก
อาชีพในอนาคต(ที่พ่อแม่หวัง)คือหมอ แต่พ่อเห็นว่าถ้าผมยังเรียนแถวบ้านนอกอยู่อาชีพหมอคงไกลเกินเอื้อมถึง
ซึ่งความคิดนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตผม ตอน ป.5 ผมถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ที่นี่ทั้งใหญ่โตไฮโซและเพียบพร้อมด้วยสื่อการเรียนการสอนที่ครบครัน เพื่อนๆที่นี่มีทั้งฉลาดมาก ปานกลางและเรียนอ่อน คละกันไป
ทำให้เด็กที่ฉลาดในบ้านนอกอย่างผมต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อที่จะกลับไปยืนที่จุดเดิม แต่ทำได้แค่มีตัวคนในห้องคิงในลำดับกลางค่อนไปทางท้าย
ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้จนถึง ม.3 เพราะเป็นโรงเรียนประจำทำให้ขาดอิสระ เด็กที่กำลังจะโตเป็นวัยรุ่นอย่างผมจึงตัดสินใจลาออกไปเรียนแถวบ้าน
เพียงเพราะต้องการแค่อิสระ การกระทำครั้งนี้คงทำให้ผมรู้สึกผิดไปจนวันตาย เพราะผมต้องจากโรงเรียนเอกชนสุดไฮโซมาเรียนที่โรงเรียนรัฐธรรมดา
ทำให้วิถีชีวิตของผมเปลี่ยนไปจนปรับตัวไม่ทันร้องไห้ทุกวัน ยิ่งต้องมาอยู่ในสังคมบ้านนอกด้วย บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสังคมในบ้านนอกมันแคบมาก
ทุกๆคนจะรู้จักกัน ทำให้ผมโดนนินทาหลายเรื่องมาก โดนมองด้วยสายตาแปลกๆ ทำให้มีคนคอยจ้องมองการกระทำของเราแทบจะตลอด
อาจจะเป็นเพราะผมค่อนข้างหน้าตาดี(แถวบ้านแทบไม่มีใครหน้าตาดีเลย ผมไม่ได้หลงตัวเองนะครับ) บ้านมีฐานะและพ่อแม่มีหน้าตาในสังคมมาก
ปัญหาเหล่านี้มันทวีคูณกว่าคนอื่นๆ ส่วนเรื่องการเรียนไม่มีปัญหา ผมแทบไม่ได้อ่านหนังสือเลยเพราะว่าเนื้อหาที่เรียนนั้นผมเคยเรียนเกือบมาหมดแล้ว
ยิ่งเป็นคนหัวไวอยู่แล้วทำให้ผมไม่สนใจการเรียนขึ้นไปอีก เพราะคิดว่ากูเก่งแล้วกูมาจากโรงเรียนไฮโซ ทำให้การเรียนในช่วง ม.ปลายของผมย่ำแย่ลงมาก
ไปเรียนคือไปนั่งคุย ถึงผมนั่งคุยผมก้สอบได้คะแนนดี(ความจริงคือไม่ดีแต่คนอื่นแย่กว่า) ในใจก้คิดว่ากูเก่งอ่านนิดเดียวก้สอบได้ ความโอหังบังตา
ทำให้ความรู้ในช่วง ม.ปลาย ผมแทบไม่มีเลย ตอนจะขึ้น ม.6 พึ่งรู้ตัวเลยอัดเรียนพิเศษ(ไปเรียนบ้างไม่ไปบ้างเพราะความโอหังยังบังตาอยู่)
และแล้ววันประกาศผลมหาวิทยาลัยย่านอโศกก้มาถึง อย่างที่บอกครับผมฟลุ๊คติด เพื่อนๆคุณครูต่างเข้ามาแสดงความยินดีและชื่นชมที่สอบติด
แต่พ่อแม่กลับประกาศแจ้งชัดเลยว่า "ไม่ให้เรียน" ลูกต้องได้ดีกว่านี้ ด้วยความรั้นเลยบอกว่าจะสอบที่นี่เป็นที่สุดท้ายและผมก้ไม่ยอมสอบที่ไหนอีก
พ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงหลายครั้งมากเรื่องการตัดสินใจของผม แต่ผมไม่ฟังเหตุผลใดใดทั้งสิน(แย่มาก) จนพ่อแม่ต้องยอมให้เรียน
แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจนะครับว่าเด็กที่กำลังจะเข้ามหาลัยมันเครียดมาก กลัวตัวเองไม่มีที่เรียน อ่านหนังสือไม่ตรง ไม่มีกำลังใจ ยังไม่ค้นพบตัวเอง
ปัญหารุมล้อมทุกอย่าง ทั้งคำถามกดดันจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะ "มีที่เรียนหรือยัง? ลูกคนนั้นคนนี้ติดนู่นนี่นั่นแล้วนะ"
เข้าเรื่องต่อ ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงได้มาใช้ชีวิตตามที่วาดฝันไว้อย่างสวยหรูในเมืองกรุง แต่! โลกของความจริงมันไม่เหมือนในความฝันน่ะสิครับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ