สวดมนเอง

คือขอถามหน่อยครับ คือผมสวดมนกลางคืนจนชินแล้วพอทีนี้ตอนเช้า เวลาอาบน้ำหรือแต่งตัวไรงี้เหมือนมันท่องบทสวดเองอะครับคล้ายๆอาบน้ำไปร้องเพลงไป แต่ผมก็พยายามหยุดมันแต่หยุดซักแปปมันก็ท่องเองอะครับ คือผมกลัวว่าถ้าท่องเองแล้วสวดไม่จบจะเป็นไรไหม แล้วที่ผมท่องเองมันเกิดจากอะไรครับแล้วมันดีไหม?
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ยกเรื่อง สวดจบ ไม่จบ ออกไปเลยครับ

สิ่งที่คุณเห็นได้ ขณะที่ดูเหมือน จิตมันสวดมนต์เอง  อันนั้นเขาเรียก พลานิสงค์ของการสวดมนต์

ทำไมเรียกว่า พลานิสงค์  เพราะ  เมื่อคุณประพฤติธรรม  ธรรมะ ก็ย่อมแสดงธรรมให้ฟัง

ธรรมะแสดงธรรมให้ฟังอย่างไร  ก็  กำลังแสดง  จิตเป็นอนัตตาธรรม ไม่ใช่ของใคร  ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคลเราเขา

ทีนี้  มันตลกตรงที่คุณ  ฟังธรรมมาน้อย  จนไม่เคยจำแนกจิต ว่า " จิตอย่างไรเป็นกุศล "

คุณต้องเชื่อมขนมกินไปก่อนเลยว่า   " จิตที่สวดมนต์เนี่ยะ  หากมันสวดมนต์เอง  อันนี้ เป็นกุศล
ที่ส่งผลให้กลายเป็น  เทวดาชั้นดุสิต "  ซึ่งไม่ธรรมดา  

ใครบอกว่า จิตของคนที่สวดมนต์เอง เป็นคนบ้า เป็นเดรัจฉาน เมา มัว ...อันนั้น คุณจะเชื่อ
พวกเขา หรือว่า  เชื่อตามฏีกาของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้หละครับ

*************************************************************

ทีนี้ พอเชื่อมขนมกินไปแล้ว  ก็ให้วางใจ  อย่าง เอะ เอ๊อะ อ๊ะ กับอาการ จิตสวดมนต์เองอีก

ให้วางใจระลึกลงไปในสภาพของความเป็น " อนัตตาธรรม "  เข้ามา แล้ว ทวนกระแสดีๆ

ทวนกระแสจิตให้ทันว่า  ทำไมจิตถึงสวดมนต์เอง ............ขออนุญาติแอบเฉลยว่า เพราะ จิตขณะนั้น
เกิดความอิสระ โปร่ง โล่ง เบา  จิตจวนจะเป็นอัปปนาสมาธิ !!    หา !!!!

ไม่หาหละ  จิตที่ สวดมนต์เองเนี่ยะ แปลว่าตอนนั้น จิตมีศีล  และ เกิดปิติ สุข โชยในอก ในจิต
ในใจ ในมโนทวาร  

พอจิตปราศจากราคะ มีปฐมฌาณเป็นผล แล้วจิตเคล้าเคลียวิตก วิจาร ในปิติ สุข กลายเป็น ทุติยฌาณ
หลังจากนั้นก็เกิดการ แลอยู่ที่  ปิติ สุข  จิตไม่ห่างจาก ตติยฌาณ กำลังจะขึ้นวิถี จตุถฌาณ แต่มัน
หมดกำลังถอยกลับ  ...............

จิตที่กำลังถอยกลับ  หากเป็นจิตที่มีศีล มีกุศล  มันจะขึ้นวิถีจิตที่เป็น กุศลอื่นๆ  เว้นแต่คุณจะเพ่ง
เข้าไปในรูป ราคะจะแทรก เกิดกูหอม กูหล่อ กูแมน กูล่ำ  กูจุ๊กกรู้  ก็อาจจะเกิดขึ้นได้

แต่ถ้าไม่ติดในรูป รูปราคะไม่เกิด  ยังไม่เห็นว่า ตนเป็นสัตว์  เป็นเรา เป็นเขา การอาบน้ำ การแปรง
ฟัน การเดินขึ้นสะพานลอย การเดินไปทำงาน เป็นเพียง  กิจที่ผันไปตามปัจจัยการ ล้อเกวียนของ
กรรม จิตก็จะแหวกอาสวะ  พิจารณาสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู ลงเป็น ธาตุ อยาตนะ ขันธ์5  เกิด ธรรมเอก
แล้วแลอยู่

จะมีคำว่า  แล้วแลอยู่  คือ  จิตแยกออกมาจากขันธ์ ด้วยกำลังอุปจารสมาธิ จิตไม่ห่างจาก ปฐมฌาณเป็น
อย่างน้อย และ อาจจะโคจรไปมาระหว่าง 1 2 3 4 และ ไม่ใช่แค่นั้น ยัองอาจจะ 5 6 7 8 และ 9 ด้วย
ขึ้นกับ  อินทรีย์ในการภาวนาในปุพภาค กาลก่อนๆ ที่จิตยังมีอภิชญา หรือ โทมนัสแทรกอยู่

นะ

กล่าวไป ก็โอ้โห อะไรกันนัก กันหนา  คนอื่นเขานั่งจุมปุ๊ก ทำฌาณกันเลือดตาแทบกระเด็น ส้นแตก
ตูดแตก คางแตก ....แต่  คนบางคน  แค่กระดิกนิ้วตีนจะขึ้นสะพานรอย  แค่กระดิกนิ้วมือถูสะบื่อ ก็อาจจะ
มีจิตไม่ห่างจาก ฌาณ 1-8 และ อาจจะ 9

แต่..............ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม  เหล่านั้นไม่ใช่สาระแห่งธรรม

ฟังให้ดีๆนะ

เหล่านั้น ไม่ใช่สาระแห่งธรรมเลย  การที่ไปหยิบรายละเอียดมาคุย มันจะกลายเป็นเรื่อง ขี้โม้ โอ้อวด ได้หมด

หากไปผลิกพระวินัยของพระ  ไม่ว่าเรื่องฌาณ เรื่องจิตเปิด เรื่องจิตเป็นมหัคตะ จิตเห็นโน้น จิตเห็นนี่ ล้วนแต่
เป็นเรื่อง โง่บานลายทั้งนั้น

ทำไมเป็นแบบนั้น


ก็ท่านคร้าบ  ธรรมะเนี่ยะ  เขาฟังเอา เขาเน้นการเห็นตามความเป็นจริง  ของมันมีแค่เรื่อง  ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ท่านจะเสียสติไปพิจารณาเห็นอะไรหละคร้าบ  ถ้าไม่เห็นลงไตรลักษณ์รับรองได้เลยว่า โง่บานลาย

นะ

ลองเอาไปยกดู  ยกเข้ามาเห็น อนัตตาไปเลย  !!  จิตสวดมนต์เอง จะเป็นอะไร จะได้อะไร จะดีเลิศขนาดไหน
หากพิจารณาทวนกลับมาเห็น  ไตรลักษณ์ไม่ได้   แม้แต่  การเห็นจิตสวดมันต์เองแสดงไตรลักษณ์ไม่ได้
ชาตินั้นก็ตายเปล่าอยู่ดี  ไม่ว่าจิตคุณจะได้ฌาณ 1-8 หรือไม่ !
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่