"กระบวนการคิดที่ว่า นักการเมืองล้วนเลว ประชาชนสว่นใหญ่โง่ เราเป็นคนฉลาดผู้หลุดพ้นที่อยู่เหนือวังวนเหล่านั้นได้แต่เฝ้าดูอย่างเหนื่อยใจ การจะแก้ปัญหาเหล่านี้เห็นทีต้องพึ่งอำนาจปาฎิหาริย์เหนือระบบเท่านั้น"
เอ่อ ...ดูเผินๆเหมือนคนที่คิดแบบนี้จะเป็นคนเหนือโลกผู้หลุดพ้นจากวังวนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นและ ความน้ำเน่าของการเมือง แต่ตราบใดที่ท่านยังมีชื่อหราอยู่ในการเลือก อบต. เลือก ส.ส. เลือก ส.ว. และไปใช้สิทธิของท่านในการเลือกนักการเมืองเบอร์ใดเบอร์หนึ่ง พรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง หรือ ท่านอาจไม่เคยไปใช้นสิทธิเลือกตั้งในกรณีใดเลยๆ แต่ไปโผล่ในม๊อบใดม๊อบหนึ่งหรือมีความรู้สึกเป็นแนวร่วมของกระแสการเมืองข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ว่าชอบหรือ ชัง แสดงว่าท่านเองก็หาใช่ผู้หลุดพ้นจากวังวนที่น่ารังเกียจนี้ไม่ สุดท้ายก็อยู่ในอุ้งมือนักการเมืองอยู่ดี
คนที่เรียกตัวเองได้ว่าอยู่เหนือการเมืองจริงๆ คือคนที่ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย และ ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเลย ซึ่งจริงๆแล้วคงมีอยู่ไม่กี่จำพวก เช่น
1.คนป่า ( ซึ่งก็ไม่แน่นักวันไหนนักการเมืองไปบุกรุกป่าคงไม่แคล้ว)
2.พระสงฆ์ผู้เคร่งครัด (แน่นอนพระสงฆ์ผู้ไม่เคร่งครัดก็ย่อมตกในวังวนการเมือง )
3.คนที่ตายไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้คือคนที่อยู่ในวังวนการเมืองหมด ชีวิตได้รับผลกระทบจากการเมือง จากนักการเมือง จากระบบการปกครองทั้งสิ้น
แต่ทำไมหลายคนกลับคิดว่าตัวเองอยู่นอก หรือ อยู่เหนือวังวนนี้ เป็นคนดีผู้เฝ้าเมืองนักการเมืองทะเลาะกัน ม๊อบทะเลาะกัน ทหารยิงประชาชน ฯลฯ โดยไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม พร้อมๆกับความคิดที่ถุกยัดเข้าไปในมองว่าบ้านเมืองเป็นเช่นนี้นั้นมีสาเหตุเพราะนักการเมืองเลว ประชาชนโง่ เป็นต้นเหตุปฐมบท
หลีกเลี่ยงที่จะมองตัวเองว่าเป็นกลไก เป็นเฟืองตัวหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสังคมและประเทศชาติเราขึ้นมา การจะปฎิรูป หรือปรับปรุงสังคมและประเทศชาติให้ดีขึ้น จุดสำคัญมันจึงอยู่ที่การมีส่วนร่วมของตัวเราเองนั่นแหละ การมองนักการเมืองเลว ประชาชนโง่ จะทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจที่จะมีส่วนร่วม หลีกเลี่ยงที่จะเอาตัวเข้ามามีส่วนแก้ไข เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตนเองว่าประชาชนสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ดีขึ้นด้วยมือของตนเองได้ ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังความเชื่อใหม่เข้าไปว่าปัญหาบ้านเมืองจะแก้ไขได้ด้วยมือ คนดี คนเด่ง คนดัง ที่ประทานมาจากฟ้าเท่านั้น
คนดีมีความรู้ความสามารถไม่น้อย หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยเหตุผลแค่ามัน สกปรก แต่ถามว่าอยากแก้ปัญหาให้ประเทศชาติมั๊ย อยาก อยากทำให้สังคมดีขึ้นมั๊ย อยาก แต่ไม่อยากสกปรก อุปมาเหมือนหนึ่งคนอยากเห็นห้องน้ำสะอาด แต่ไม่อยากลงมือขัดส้วมยังไงยังงั้น ก็ถ้ามัวแต่รังเกียจความสกปรกจนไม่ลงมือ ส้วมมันจะสะอาดได้อย่างไร เมื่อกล้าคิด แต่ไม่กล้าลงมือทำ ความคิดอันแรงกล้าแต่ไม่สามารถทำได้ก็จะพาท่านสู่โลกของคนเหนือคน ผู้มีความคิดล้ำเลิศ รู้เท่าทันนักการเมือง รู้เช่นเห็นชาติคนเลว รู้ความเป็นไปทุกอย่างของบ้านเมืองดีว่าเหลวแหลกแค่ไหน แต่ทำอะไรไม่ได้กลายเป็นความเหนื่อยหน่าย และนำมาสู่ข้อสรุป นักการเมืองแม..ร่.ง เลว ประชาชน...แมร่...งโง่ บ้านเมืองถึงได้เป็นอย่างนี้ ความคิดเช่นนี้นำมาสู่ช่องโหว่ใหญ่หลวงของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน เมื่อประชาชนถอดใจในพลังของตนเองจะ นำมาสู่ช่องว่างให้อำนาจนอกระบบทั้งหลายที่รอโอกาสอยู่เข้ามาฉกฉวยโอกาสเข้าครอบงำอำนาจของประชาชนทันที
ลองคิดดูดีๆแล้วกันนะครับ ว่าที่เราเบื่อการเมือง นักการเมืองเลว ประชาชนโง่ อยู่ทุกวันนี้ จริงๆแล้วเป็นเพราะเราไม่ศรัทธาในตัวเอง ศรัทธาในคนไทยด้วยกัน หรือ เพราะศรัทธาของเราที่มีต่อคนเหมือนๆกัน ระดับเดียวกันนั้น ถูกทำลายไปเรียบร้อยตั้งนานแล้วโดยไม่รู้ตัวว่าความคิดที่สิ้นหวังเช่นนี้
มาจากการถูกล้างสมองหรือเปล่า ข่าวนักการเมืองโกงกินรายวันฟังจนชิน ข่าวนักการเมืองมีแต่แก่งแย่งตำแหน่ง ฯลฯ เราฟังกรอกหูวันละหลายรอบ ขณะที่ข่าวนักการเมืองทำโครงการดีๆ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จนน่าจะมีอนุสาวรีย์ให้ เรื่องแบบนี้กลับไม่เคยเกิดในสังคมไทย
จะอย่างไรก็แล้วแต่ บอกเลย ถ้าเราเชื่อมั่นในพลังของตัวเองกันซักนิด เราจะไม่โหยหาเทวดา ไม่โหยหาฟ้าประทาน ไม่โหยหาปาฎิหาริย์หรืออำนาจนอกระบบใดๆแค่เพียงเราเชื่อมั่นในพลังของประชาชน ว่าจะเปลี่ยนแปลงการเมืองที่เน่าเฟะนี้ได้ ด้วยคนละไม้ คนละมือของพวกเราทุกคนเอง เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในคนไทยคนอื่นๆเถอะ ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ว่าสีใด ล้วนอยากให้ประเทศเราดี อย่าให้เขาล้างสมองเลย
เอาจริงๆเลย คนที่คิดว่านักการเมืองเลว ประชาชนโง่ ความจริงคือถูกเขาล้างสมองมาใช่ไหมครับ ?
เอ่อ ...ดูเผินๆเหมือนคนที่คิดแบบนี้จะเป็นคนเหนือโลกผู้หลุดพ้นจากวังวนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นและ ความน้ำเน่าของการเมือง แต่ตราบใดที่ท่านยังมีชื่อหราอยู่ในการเลือก อบต. เลือก ส.ส. เลือก ส.ว. และไปใช้สิทธิของท่านในการเลือกนักการเมืองเบอร์ใดเบอร์หนึ่ง พรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง หรือ ท่านอาจไม่เคยไปใช้นสิทธิเลือกตั้งในกรณีใดเลยๆ แต่ไปโผล่ในม๊อบใดม๊อบหนึ่งหรือมีความรู้สึกเป็นแนวร่วมของกระแสการเมืองข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ว่าชอบหรือ ชัง แสดงว่าท่านเองก็หาใช่ผู้หลุดพ้นจากวังวนที่น่ารังเกียจนี้ไม่ สุดท้ายก็อยู่ในอุ้งมือนักการเมืองอยู่ดี
คนที่เรียกตัวเองได้ว่าอยู่เหนือการเมืองจริงๆ คือคนที่ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย และ ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเลย ซึ่งจริงๆแล้วคงมีอยู่ไม่กี่จำพวก เช่น
1.คนป่า ( ซึ่งก็ไม่แน่นักวันไหนนักการเมืองไปบุกรุกป่าคงไม่แคล้ว)
2.พระสงฆ์ผู้เคร่งครัด (แน่นอนพระสงฆ์ผู้ไม่เคร่งครัดก็ย่อมตกในวังวนการเมือง )
3.คนที่ตายไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้คือคนที่อยู่ในวังวนการเมืองหมด ชีวิตได้รับผลกระทบจากการเมือง จากนักการเมือง จากระบบการปกครองทั้งสิ้น
แต่ทำไมหลายคนกลับคิดว่าตัวเองอยู่นอก หรือ อยู่เหนือวังวนนี้ เป็นคนดีผู้เฝ้าเมืองนักการเมืองทะเลาะกัน ม๊อบทะเลาะกัน ทหารยิงประชาชน ฯลฯ โดยไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม พร้อมๆกับความคิดที่ถุกยัดเข้าไปในมองว่าบ้านเมืองเป็นเช่นนี้นั้นมีสาเหตุเพราะนักการเมืองเลว ประชาชนโง่ เป็นต้นเหตุปฐมบท
หลีกเลี่ยงที่จะมองตัวเองว่าเป็นกลไก เป็นเฟืองตัวหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสังคมและประเทศชาติเราขึ้นมา การจะปฎิรูป หรือปรับปรุงสังคมและประเทศชาติให้ดีขึ้น จุดสำคัญมันจึงอยู่ที่การมีส่วนร่วมของตัวเราเองนั่นแหละ การมองนักการเมืองเลว ประชาชนโง่ จะทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจที่จะมีส่วนร่วม หลีกเลี่ยงที่จะเอาตัวเข้ามามีส่วนแก้ไข เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตนเองว่าประชาชนสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ดีขึ้นด้วยมือของตนเองได้ ขณะเดียวกันก็ปลูกฝังความเชื่อใหม่เข้าไปว่าปัญหาบ้านเมืองจะแก้ไขได้ด้วยมือ คนดี คนเด่ง คนดัง ที่ประทานมาจากฟ้าเท่านั้น
คนดีมีความรู้ความสามารถไม่น้อย หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยเหตุผลแค่ามัน สกปรก แต่ถามว่าอยากแก้ปัญหาให้ประเทศชาติมั๊ย อยาก อยากทำให้สังคมดีขึ้นมั๊ย อยาก แต่ไม่อยากสกปรก อุปมาเหมือนหนึ่งคนอยากเห็นห้องน้ำสะอาด แต่ไม่อยากลงมือขัดส้วมยังไงยังงั้น ก็ถ้ามัวแต่รังเกียจความสกปรกจนไม่ลงมือ ส้วมมันจะสะอาดได้อย่างไร เมื่อกล้าคิด แต่ไม่กล้าลงมือทำ ความคิดอันแรงกล้าแต่ไม่สามารถทำได้ก็จะพาท่านสู่โลกของคนเหนือคน ผู้มีความคิดล้ำเลิศ รู้เท่าทันนักการเมือง รู้เช่นเห็นชาติคนเลว รู้ความเป็นไปทุกอย่างของบ้านเมืองดีว่าเหลวแหลกแค่ไหน แต่ทำอะไรไม่ได้กลายเป็นความเหนื่อยหน่าย และนำมาสู่ข้อสรุป นักการเมืองแม..ร่.ง เลว ประชาชน...แมร่...งโง่ บ้านเมืองถึงได้เป็นอย่างนี้ ความคิดเช่นนี้นำมาสู่ช่องโหว่ใหญ่หลวงของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน เมื่อประชาชนถอดใจในพลังของตนเองจะ นำมาสู่ช่องว่างให้อำนาจนอกระบบทั้งหลายที่รอโอกาสอยู่เข้ามาฉกฉวยโอกาสเข้าครอบงำอำนาจของประชาชนทันที
ลองคิดดูดีๆแล้วกันนะครับ ว่าที่เราเบื่อการเมือง นักการเมืองเลว ประชาชนโง่ อยู่ทุกวันนี้ จริงๆแล้วเป็นเพราะเราไม่ศรัทธาในตัวเอง ศรัทธาในคนไทยด้วยกัน หรือ เพราะศรัทธาของเราที่มีต่อคนเหมือนๆกัน ระดับเดียวกันนั้น ถูกทำลายไปเรียบร้อยตั้งนานแล้วโดยไม่รู้ตัวว่าความคิดที่สิ้นหวังเช่นนี้
มาจากการถูกล้างสมองหรือเปล่า ข่าวนักการเมืองโกงกินรายวันฟังจนชิน ข่าวนักการเมืองมีแต่แก่งแย่งตำแหน่ง ฯลฯ เราฟังกรอกหูวันละหลายรอบ ขณะที่ข่าวนักการเมืองทำโครงการดีๆ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จนน่าจะมีอนุสาวรีย์ให้ เรื่องแบบนี้กลับไม่เคยเกิดในสังคมไทย
จะอย่างไรก็แล้วแต่ บอกเลย ถ้าเราเชื่อมั่นในพลังของตัวเองกันซักนิด เราจะไม่โหยหาเทวดา ไม่โหยหาฟ้าประทาน ไม่โหยหาปาฎิหาริย์หรืออำนาจนอกระบบใดๆแค่เพียงเราเชื่อมั่นในพลังของประชาชน ว่าจะเปลี่ยนแปลงการเมืองที่เน่าเฟะนี้ได้ ด้วยคนละไม้ คนละมือของพวกเราทุกคนเอง เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในคนไทยคนอื่นๆเถอะ ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ว่าสีใด ล้วนอยากให้ประเทศเราดี อย่าให้เขาล้างสมองเลย