คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 24
คำที่ถามถึงที่มาที่ไป คือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ยิ่งลักษณ์ ฉวยโอกาสเวทีนานาชาติ พูดเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องพี่ชายตน ที่หลายฝ่ายตีความว่า เป็นการออกไปด่าว่าปัญหาของประเทศตนเองในเวทีโลก ซึ่งไม่มีใครผู้นำที่ไหนเขาทำกัน
(แต่คนสนับสนุนอาจมองว่าไม่เสียหายก็ได้)
ปาฐกถาของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทยในการประชุมประชาคมประชาธิปไตยที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 กล่าวได้ชัดเจนว่า เป็นปาฐกถาที่ “ไม่ปกติ” และสะท้อนให้เห็นว่า ระบอบทักษิณส่งสัญญาณ “ท้ารบ” ทุกสถาบันที่เป็นศัตรูของเขา
ไม่เช่นนั้น เจ้าของฉายานายกฯ นกแก้วที่ปกตินิยมชมชอบเล่นบทหนูไม่รู้และแต่งตัวสวยเดินไปเดินมาไปวันๆ คงไม่กล้าเล่นบทโหดจนสังคมเกิดความกังขาในพฤติกรรมอันผิดปกติในครั้งนี้
เพราะถึงวันนี้ชัดเจนแล้วปาฐกถาดังกล่าวไม่ได้กลั่นมาจากรอยหยักในสมองของนางสาวยิ่งลักษณ์ หากแต่เป็นบทที่มีผู้เขียนให้และเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ได้รับคำสั่งให้อ่านตามบทที่กำหนดไว้เท่านั้น และคนที่สามารถสั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโคลนนิ่งผู้พี่ “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชายคนเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกันผลพวงของปาฐกถาดังกล่าวยังขยายวงกว้างกลายเป็นความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมทั่วทั้งแผ่นดินไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่อ้างว่ามาจากทวิตเตอร์ของ “ชัย ราชวัตร” นักเขียนการ์ตูนชื่อดังแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ระบุว่า “โปรดเข้าใจ ไม่ใช่หญิงคนชั่ว แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” กระทั่งทำให้คนเสื้อแดงต้องยกโขยงกันไปที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อวางพวงหรีดและเรียกร้องให้ นสพ.ไทยรัฐ ตรวจสอบการทำงานของการ์ตูนนิสต์รายนี้ เพราะเข้าใจว่าเป็นข้อความที่หมายถึงนายกรัฐมนตรีของคนเสื้อแดง
**ปู โรบอทโปรแกรมใหม่ รุ่นทำลายประเทศตัวเอง
“หากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียวก็คงจะปล่อยวาง แต่การรัฐประหารทำให้ไทยถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการที่พี่ชายดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไปคนไทยได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา แต่ในเดือน พ.ค. 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนเปอร์ แม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย ตัวอย่างเห็นได้จากจำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง”
นั่นคือข้อความส่วนหนึ่งในปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์บนเวทีอูลันบาร์ตอที่ทำให้สังคมสงสัยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะประชาชนมักจะเห็นและเจนตากับเธอในภาพ “หุ่นยนต์นายกหญิงคนแรกของโลก” ที่สนุกสนานกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่งตัวสวยๆ เดินกรีดกรายโชว์ความงามแห่งเรือนร่างไปวันๆ แถมถูกกำหนดโปรแกรมให้ตอบคำถามเอาไว้ล่วงหน้าอีกต่างหาก
อาทิ เมื่อถามเรื่องการบริหาร ตอบว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ฯลฯ
แต่ปาถกฐาที่เวทีประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย เมื่อวันที่ 29เม.ย.ที่ผ่านมา เสมือนหนึ่งเธอได้ถูกปรับโหมดหรือเปลี่ยนโปรแกรมให้กลายเป็นหุ่นยนต์ตัวใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือเมื่อชำแหละ แยกแยะ วิเคราะห์ สปีชคำพูดแทบจะทุกระเบียดนิ้วของเธอแล้วคงจะต้องบอกได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2ปี ที่เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดตามคำบัญชาของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาแสดงท่าทีทางการเมืองค่อนข่างชัดกว่าทุกครั้ง จนแทบไม่น่าเชื่อนี่คือคำกล่าวจากจิตใต้สำนึกของคนชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่คนไทยทั้งประเทศรู้ดีว่า ตัวตนที่แท้จริงเธอเป็นเยี่ยงไรและมีศักยภาพในการพูดสื่อสารเพียงแค่ไหน ซึ่งหากใครได้ยินที่เธอกล่าวปาฐกถาที่ร้อนแรงด้วยแล้วอาจพาลไปนึกว่าวิญญาณนช.ทักษิณ เข้าสิงพูดกล่อมสาวกคนเสื้อแดงเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว
ทั้งนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์ คำพูดสาระที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ สื่อสารออกไปก็จะเห็นชัดเจนว่า เธอพุ่งเป้าที่ไปเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 โดยกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โค่นล่มรัฐบาลนช.ทักษิณ แถมยังปล่อยหมัดฮุก จุกกันถ้วนหน้า ทั้งศาล ทหาร สว.สรรหา ยันองค์กรอิสระกันเลยทีเดียว
ประโยคเด็ดประโยคหนึ่งของเธออยู่ตรงที่ว่า “เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหารแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2549 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ตนพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของตน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่าเธอจะบ่นไปทำไม เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”
เรียกว่าชัดแจ้งแจ่มแจ๋วกับบทดรามาที่เหมือนถูกออกแบบมาฟอกผิดชุบตัวให้ นช.ทักษิณว่า ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เลวร้ายอยู่จนทำให้นช.ทักษิณต้องมีสภาพเฉกเช่นในปัจจุบัน โดยเลือกที่จะไม่กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงเกิดการรัฐประหารขึ้น ไม่กล่าวถึงต้นเหตุของทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์อันมาจากความขัดแย้งการเมืองรุนแรง จากการที่ประชาชน เสื่อมศรัทธา นช.ทักษิณ ซึ่งใช้อำนาจควบคุมกลไกราชการ แทรกแซงองค์กรอิสระอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำลายกลไกตรวจสอบ ระบบรัฐสภาง่อยเปลี้ยเสียขา ใช้เงินซื้ออำนาจใช้อำนาจมาต่อเงิน มอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมจนอ่อนแอ ไม่สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชาติ ใช้ทุนของประเทศสร้างกำไรให้กับตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบาน เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเจอกับการรัฐประหาร จนต้องระเห็จหนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีบินวนเวียนทำร้ายประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่องค์การอิสระที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวหาและใส่ร้ายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรที่ยังไม่ถูกระบอบทักษิณกินรวบไปได้นั้นเองและยังไม่สามารถสั่งหันซ้ายหันขวาได้เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่ถูกครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ
เช่นเดียวกับความมั่วในการอ้างตัวเลขผู้เสียชีวิต 91 ศพในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่ถูก “นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวย้อนเกล็ดเอาไว้อย่างเจ็บแสบว่า “การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้าและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ไม่ควรถูกนำไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิต 91 ศพในบริบทของสุนทรพจน์ที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อชาวโลกที่มองโกเลีย เพราะเหตุผลและเจตนารมณ์ต่างกัน ทั้งนี้ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเป็นภาษาอังกฤษถึงที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย มองโกเลีย เพื่อชี้แจงความจริง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม สามีไปปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยมีประชาธิปไตยอยู่แล้ว พร้อมยกรายงาน คอป.ที่ยืนยันมีชายชุดดำติดอาวุธโจมตีทหาร โดยคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.....”
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว แน่นอนหลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมที่พูดได้ไม่กี่ประโยคในการบริหารประเทศ ถึงได้อาจหาญ เปิดหน้าชกเอาประเทศไทยมุมที่ทำให้พี่ชายเธอเสียประโยชน์มาประจานต่อหน้าชาวโลกแบบนี้
“ก่อนหน้านี้เนื้อหาไม่ใช่แบบนี้ เพราะก่อนเดินทางจะมีการประชุมเตรียมการก่อนไปเยือน และกระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายในการจัดทำร่างปาฐกถาของนายกฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามนายกฯว่าจะพูดเรื่องอะไร โดยนายกฯบอกว่าจะพูดเรื่องประชาธิปไตยในไทยและเรื่องการศึกษา ซึ่งนายกฯก็พูดแค่นั้น และหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ส่งร่างปาฐกถามาที่ตึกไทยคู่ฟ้าจำนวนเนื้อหาประมาณ 6-7 หน้าเอสี่ และหลังจากนั้นคณะทำงานด้านการจัดทำสคริปต์ให้นายกฯ นำโดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับเนื้อหาให้กระชับขึ้นแล้วส่งให้นายกฯ ดู จนมาถึงวันที่ 27 เม.ย.”
“วันเดินทางเนื้อหาในปาฐกถาก็ยังไม่นิ่ง เห็นว่านายกฯคุยกับคณะทำงานและนายสุรนันทน์บนเครื่องบินระหว่างบินไปมองโกเลีย นายกฯบอกให้แก้ไข อยากให้พูดให้เขียนให้ชัดเจน ตรงๆไปเลย ใส่ชื่อพี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปเลย รวมทั้งอยากให้พูดถึงคนที่ติดคุกจำนวนมากด้วยซ้ำแต่ก็ถูกตัดออก ระหว่างการเดินทาง 5 ชั่วโมงบนเครื่องบินมีการแก้ไข แล้วก็ปริ๊นด้วยเครื่องปริ๊นไร้สาย (Portable) ปริ๊นแล้วก็แก้ ปริ๊นแล้วก็แก้ ในที่สุดจนได้เนื้อหาตามที่นายกฯ ต้องการ คือไม่ใช่ภาษาทางการทูตและภาษาที่สวยงามของกระทรวงการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว
คำถามที่ตามมาก็คือเธออยู่ในสภาวะกดดันอะไรอย่างไรหรือไม่ ทำไมเธอถึงต้องฉีกบทนายกฯหุ่นเชิดใสซื่ออย่างที่เป็นอยู่
แต่เมื่อพิจารณาเหตุและปัจจัยโดยรอบด้านแล้วก็จะเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่สั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็คงจะว่าได้ โดยสัญญาณที่เด่นชัดที่สุดที่เห็นก็คือการกลับเข้ามาสู่วงจรอำนาจของเจ๊แดง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่สามารถกลับมาเป็น ส.ส. ได้สำเร็จ และขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีสำรองของระบอบทักษิณในฉับพลับทันที หากนายกฯ นกแก้วประสบอุบัติเหตุทางการเมืองหรือดึงดันที่จะไม่เล่นตามเกมของโคลนนิ่งผู้พี่
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า นช.ทักษิณอาจบีบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ต้องเลิกเล่นบทนายกใสซื่อ เลิกเล่นบทตีกรรเชียงได้อีกต่อไป เปลี่ยนมาเป็นบทแรงๆ อย่างที่ประกาศต่อหน้าชาวโลก เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่กำลังเร่งเกมรุกแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายองค์กรอิสระ และฟอกความผิดของตนเองอย่าง “สุดซอย” และเต็มอัตราศึกอยู่ในขณะนี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณสไกป์เข้ามายังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ขณะที่คนเสื้อแดงก็สู้ตายถวายหัวด้วยการประกาศระดมพลนับแสนเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญตามคำบัญชาของนายใหญ่
ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า ปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียคือเกมที่ “พี่ชาย” กำหนดไว้ให้น้องสาวปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมีเป้าหมายเพื่อปักหมุดเริ่มต้นแห่งสัญญาณการท้ารบกับทุกสถาบันอันมีเป
(แต่คนสนับสนุนอาจมองว่าไม่เสียหายก็ได้)
ปาฐกถาของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทยในการประชุมประชาคมประชาธิปไตยที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 กล่าวได้ชัดเจนว่า เป็นปาฐกถาที่ “ไม่ปกติ” และสะท้อนให้เห็นว่า ระบอบทักษิณส่งสัญญาณ “ท้ารบ” ทุกสถาบันที่เป็นศัตรูของเขา
ไม่เช่นนั้น เจ้าของฉายานายกฯ นกแก้วที่ปกตินิยมชมชอบเล่นบทหนูไม่รู้และแต่งตัวสวยเดินไปเดินมาไปวันๆ คงไม่กล้าเล่นบทโหดจนสังคมเกิดความกังขาในพฤติกรรมอันผิดปกติในครั้งนี้
เพราะถึงวันนี้ชัดเจนแล้วปาฐกถาดังกล่าวไม่ได้กลั่นมาจากรอยหยักในสมองของนางสาวยิ่งลักษณ์ หากแต่เป็นบทที่มีผู้เขียนให้และเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ได้รับคำสั่งให้อ่านตามบทที่กำหนดไว้เท่านั้น และคนที่สามารถสั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโคลนนิ่งผู้พี่ “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชายคนเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกันผลพวงของปาฐกถาดังกล่าวยังขยายวงกว้างกลายเป็นความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมทั่วทั้งแผ่นดินไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่อ้างว่ามาจากทวิตเตอร์ของ “ชัย ราชวัตร” นักเขียนการ์ตูนชื่อดังแห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่ระบุว่า “โปรดเข้าใจ ไม่ใช่หญิงคนชั่ว แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” กระทั่งทำให้คนเสื้อแดงต้องยกโขยงกันไปที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อวางพวงหรีดและเรียกร้องให้ นสพ.ไทยรัฐ ตรวจสอบการทำงานของการ์ตูนนิสต์รายนี้ เพราะเข้าใจว่าเป็นข้อความที่หมายถึงนายกรัฐมนตรีของคนเสื้อแดง
**ปู โรบอทโปรแกรมใหม่ รุ่นทำลายประเทศตัวเอง
“หากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียวก็คงจะปล่อยวาง แต่การรัฐประหารทำให้ไทยถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการที่พี่ชายดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไปคนไทยได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา แต่ในเดือน พ.ค. 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนเปอร์ แม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย ตัวอย่างเห็นได้จากจำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นกลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง”
นั่นคือข้อความส่วนหนึ่งในปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์บนเวทีอูลันบาร์ตอที่ทำให้สังคมสงสัยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะประชาชนมักจะเห็นและเจนตากับเธอในภาพ “หุ่นยนต์นายกหญิงคนแรกของโลก” ที่สนุกสนานกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่งตัวสวยๆ เดินกรีดกรายโชว์ความงามแห่งเรือนร่างไปวันๆ แถมถูกกำหนดโปรแกรมให้ตอบคำถามเอาไว้ล่วงหน้าอีกต่างหาก
อาทิ เมื่อถามเรื่องการบริหาร ตอบว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนส่วนรวม ถามเรื่องกฎหมาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความถูกต้องของกฎหมาย ถามเรื่องนโยบาย ตอบว่า ทุกอย่างต้องดูในรายละเอียด ถามเรื่องประชาชน ตอบว่า กำลังดำเนินการแก้ไข ถามเรื่องวิธีแก้ไข ตอบว่า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ฯลฯ
แต่ปาถกฐาที่เวทีประชุมประชาคมประชาธิปไตย ที่เมืองอูลันบาตอร์ สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย เมื่อวันที่ 29เม.ย.ที่ผ่านมา เสมือนหนึ่งเธอได้ถูกปรับโหมดหรือเปลี่ยนโปรแกรมให้กลายเป็นหุ่นยนต์ตัวใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือเมื่อชำแหละ แยกแยะ วิเคราะห์ สปีชคำพูดแทบจะทุกระเบียดนิ้วของเธอแล้วคงจะต้องบอกได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2ปี ที่เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดตามคำบัญชาของน.ช.ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาแสดงท่าทีทางการเมืองค่อนข่างชัดกว่าทุกครั้ง จนแทบไม่น่าเชื่อนี่คือคำกล่าวจากจิตใต้สำนึกของคนชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่คนไทยทั้งประเทศรู้ดีว่า ตัวตนที่แท้จริงเธอเป็นเยี่ยงไรและมีศักยภาพในการพูดสื่อสารเพียงแค่ไหน ซึ่งหากใครได้ยินที่เธอกล่าวปาฐกถาที่ร้อนแรงด้วยแล้วอาจพาลไปนึกว่าวิญญาณนช.ทักษิณ เข้าสิงพูดกล่อมสาวกคนเสื้อแดงเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว
ทั้งนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์ คำพูดสาระที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ สื่อสารออกไปก็จะเห็นชัดเจนว่า เธอพุ่งเป้าที่ไปเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 โดยกล่าวหาว่าเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โค่นล่มรัฐบาลนช.ทักษิณ แถมยังปล่อยหมัดฮุก จุกกันถ้วนหน้า ทั้งศาล ทหาร สว.สรรหา ยันองค์กรอิสระกันเลยทีเดียว
ประโยคเด็ดประโยคหนึ่งของเธออยู่ตรงที่ว่า “เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหารแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2549 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ตนพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของตน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่าเธอจะบ่นไปทำไม เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”
เรียกว่าชัดแจ้งแจ่มแจ๋วกับบทดรามาที่เหมือนถูกออกแบบมาฟอกผิดชุบตัวให้ นช.ทักษิณว่า ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เลวร้ายอยู่จนทำให้นช.ทักษิณต้องมีสภาพเฉกเช่นในปัจจุบัน โดยเลือกที่จะไม่กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงเกิดการรัฐประหารขึ้น ไม่กล่าวถึงต้นเหตุของทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์อันมาจากความขัดแย้งการเมืองรุนแรง จากการที่ประชาชน เสื่อมศรัทธา นช.ทักษิณ ซึ่งใช้อำนาจควบคุมกลไกราชการ แทรกแซงองค์กรอิสระอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำลายกลไกตรวจสอบ ระบบรัฐสภาง่อยเปลี้ยเสียขา ใช้เงินซื้ออำนาจใช้อำนาจมาต่อเงิน มอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมจนอ่อนแอ ไม่สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชาติ ใช้ทุนของประเทศสร้างกำไรให้กับตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบาน เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเจอกับการรัฐประหาร จนต้องระเห็จหนีเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีบินวนเวียนทำร้ายประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่องค์การอิสระที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวหาและใส่ร้ายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรที่ยังไม่ถูกระบอบทักษิณกินรวบไปได้นั้นเองและยังไม่สามารถสั่งหันซ้ายหันขวาได้เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่ถูกครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ
เช่นเดียวกับความมั่วในการอ้างตัวเลขผู้เสียชีวิต 91 ศพในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่ถูก “นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวย้อนเกล็ดเอาไว้อย่างเจ็บแสบว่า “การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้าและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ไม่ควรถูกนำไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิต 91 ศพในบริบทของสุนทรพจน์ที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อชาวโลกที่มองโกเลีย เพราะเหตุผลและเจตนารมณ์ต่างกัน ทั้งนี้ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเป็นภาษาอังกฤษถึงที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย มองโกเลีย เพื่อชี้แจงความจริง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม สามีไปปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยมีประชาธิปไตยอยู่แล้ว พร้อมยกรายงาน คอป.ที่ยืนยันมีชายชุดดำติดอาวุธโจมตีทหาร โดยคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.....”
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว แน่นอนหลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมที่พูดได้ไม่กี่ประโยคในการบริหารประเทศ ถึงได้อาจหาญ เปิดหน้าชกเอาประเทศไทยมุมที่ทำให้พี่ชายเธอเสียประโยชน์มาประจานต่อหน้าชาวโลกแบบนี้
“ก่อนหน้านี้เนื้อหาไม่ใช่แบบนี้ เพราะก่อนเดินทางจะมีการประชุมเตรียมการก่อนไปเยือน และกระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายในการจัดทำร่างปาฐกถาของนายกฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สอบถามนายกฯว่าจะพูดเรื่องอะไร โดยนายกฯบอกว่าจะพูดเรื่องประชาธิปไตยในไทยและเรื่องการศึกษา ซึ่งนายกฯก็พูดแค่นั้น และหลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ส่งร่างปาฐกถามาที่ตึกไทยคู่ฟ้าจำนวนเนื้อหาประมาณ 6-7 หน้าเอสี่ และหลังจากนั้นคณะทำงานด้านการจัดทำสคริปต์ให้นายกฯ นำโดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีการปรับเนื้อหาให้กระชับขึ้นแล้วส่งให้นายกฯ ดู จนมาถึงวันที่ 27 เม.ย.”
“วันเดินทางเนื้อหาในปาฐกถาก็ยังไม่นิ่ง เห็นว่านายกฯคุยกับคณะทำงานและนายสุรนันทน์บนเครื่องบินระหว่างบินไปมองโกเลีย นายกฯบอกให้แก้ไข อยากให้พูดให้เขียนให้ชัดเจน ตรงๆไปเลย ใส่ชื่อพี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปเลย รวมทั้งอยากให้พูดถึงคนที่ติดคุกจำนวนมากด้วยซ้ำแต่ก็ถูกตัดออก ระหว่างการเดินทาง 5 ชั่วโมงบนเครื่องบินมีการแก้ไข แล้วก็ปริ๊นด้วยเครื่องปริ๊นไร้สาย (Portable) ปริ๊นแล้วก็แก้ ปริ๊นแล้วก็แก้ ในที่สุดจนได้เนื้อหาตามที่นายกฯ ต้องการ คือไม่ใช่ภาษาทางการทูตและภาษาที่สวยงามของกระทรวงการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว
คำถามที่ตามมาก็คือเธออยู่ในสภาวะกดดันอะไรอย่างไรหรือไม่ ทำไมเธอถึงต้องฉีกบทนายกฯหุ่นเชิดใสซื่ออย่างที่เป็นอยู่
แต่เมื่อพิจารณาเหตุและปัจจัยโดยรอบด้านแล้วก็จะเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่สั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็คงจะว่าได้ โดยสัญญาณที่เด่นชัดที่สุดที่เห็นก็คือการกลับเข้ามาสู่วงจรอำนาจของเจ๊แดง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่สามารถกลับมาเป็น ส.ส. ได้สำเร็จ และขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีสำรองของระบอบทักษิณในฉับพลับทันที หากนายกฯ นกแก้วประสบอุบัติเหตุทางการเมืองหรือดึงดันที่จะไม่เล่นตามเกมของโคลนนิ่งผู้พี่
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า นช.ทักษิณอาจบีบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ต้องเลิกเล่นบทนายกใสซื่อ เลิกเล่นบทตีกรรเชียงได้อีกต่อไป เปลี่ยนมาเป็นบทแรงๆ อย่างที่ประกาศต่อหน้าชาวโลก เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่กำลังเร่งเกมรุกแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้มศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายองค์กรอิสระ และฟอกความผิดของตนเองอย่าง “สุดซอย” และเต็มอัตราศึกอยู่ในขณะนี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณสไกป์เข้ามายังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ขณะที่คนเสื้อแดงก็สู้ตายถวายหัวด้วยการประกาศระดมพลนับแสนเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญตามคำบัญชาของนายใหญ่
ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า ปาฐกถาของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียคือเกมที่ “พี่ชาย” กำหนดไว้ให้น้องสาวปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมีเป้าหมายเพื่อปักหมุดเริ่มต้นแห่งสัญญาณการท้ารบกับทุกสถาบันอันมีเป
แสดงความคิดเห็น
แต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ..
คือมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย มันคืออะไรหรอครับ หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมอายุน้อยเกิดไม่ทัน รบกวน ผู้มีความรู้ ให้ความรู้ เป็นทานแก่เด็กน้อยคนนี้ด้วยครับ
แทก ราชดำเนิน เห็นว่ามันเกี่ยวกับการเมืองด้วยนิสนึง (เช่นเพจ มิตรสหายท่านหนึ่งเห็นเยอะมากๆ)
ชานเรือน เห็นว่ามี ผู้อาวุทโสเยอะ ความรู้พวกคุณลุง คุณป้า คงมีพอสั่งสอนผมได้ โปรดช่วยสั่งสอน เด็กน้อย ตาดำๆ คนนี้ด้วยครับ ♥