Leaning tower of Pisa
จากโรม ครูจินก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) โดย Blablacar ซึ่งก็เสียค่าเดินทาง 12 ยูโร เท่านั้น ที่ฟลอเรนซ์ มี host เหมือนกัน host ชื่อ Andrew มีร้านขายแซนด์วิชกลางเมืองฟลอเรนซ์ชื่อ The Oil Shoppe ถ้าใครไปแถวนั้นอาจจะไปทักทาย และถามเค้าได้ว่ารู้จัก Jin from Thailand ป่าว อิอิ แต่ก็นะ จะถามไปทำไมเนอะ ><” ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากเตร็ดเตร่ในโรมอยู่หลายวัน พอถึงฟลอเรนซ์ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับพิพิธภัณฑ์มีชื่อของเค้าสักเท่าไหร่ วันแรกก็ไปนั่งเล่นที่ร้านแซนวิช และวันที่สองก็ขึ้นรถไฟไปเมืองปีซ่า เพื่อที่จะไปดู หอเอนเมืองปีซ่า หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Leaning tower of Pisa นั่นเอง
การเดินทางจากฟลอเรนซ์ไปปีซ่า
เนื่องจากมีเวลาแค่ 1 วัน ไปดูหอเอน และนัด host เพื่อไปดูการทำน้ำมันมะกอกตอน 4 โมง เลยต้องรีบไปรีบกลับ และไม่มีเวลาเช็ค Blablacar และวิธีที่เร็วที่สุดก็คือ รถไฟนั่นเอง จากฟลอเรนซ์ ต้องไปขึ้นรถไปที่สถานี Florence S.M. Novella เพื่อไป Pisa Centrale ราคาตั๋วไป 8.9 ยูโร กลับอีก 8.9 ยูโร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง พอถึงที่ Pisa Centrale ต้องไปซื้อตั๋วรถเมล์ที่ร้านขายของชำตรงสถานี อีก 1.5 ยูโร เพื่อไปดูหอเอน
ทั้งนี้ทั้งนั้นการเดินทางจากฟลอเรนซ์ไปปีซ่า สามารถไปได้โดยรถเมล์ แต่มันจะไปจอดตรงสนามบินของปีซ่า และใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่ค่าตั๋วไปกลับประมาณ 10 ยูโร ถูกกว่าเยอะเลย ถ้าไม่รีบนะ
ประวัติของหอเอนเมืองปีซ่า เค้าว่ากันว่า สมัยก่อนนั้นชาวเมืองปีซ่า ต้องการให้ผู้คนรู้จักเมืองตัวเอง เลยร่วมกันสร้าง The Square of Miracles ซึ่งในจัตุรัสนี้ ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้าง 4 อย่าง คือ The Cathedral of Pisa (โบสถ์), The Baptistery (ที่สำหรับทำพิธีศีลจุ่ม), The Cemetery (สุสาน), และ The Bell tower (หอระฆัง) ซึ่งก็คือ หอเอนเมืองปีซ่านั่นเอง ดังนั้นหอเอนเมืองปีซ่าถูกสร้างให้เป็นหอระฆังของ The Cathedral of Pisa นอกจากนี้ เพื่อความขลัง วัสดุบางส่วนก็ถูกสั่งมาจากเมืองเยรูซาเล็มอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น เค้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเอนนะ เนื่องจากปีซ่าเป็นเมืองท่า และดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวผสมเปลือกหอย ทำให้สิ่งก่อสร้างทรุดตัวได้ง่าย และความรู้ใหม่ของครูจินเมื่อตอนไปถึงที่นั่นก็คือ ไม่ใช่แต่ The bell tower ที่เอน แต่ว่าสิ่งก่อสร้างอีก 3 อย่างใกล้ ๆ มันนั้นก็เอน แต่อาจจะเห็นไม่ชัดเท่า The bell tower แต่ดูไปก็เห็นชัดนะ แต่อาจจะเพราะไม่สูงผอมเท่าหอเอนเมืองปีซ่าเท่านั้นเอง และหอเอน (the bell tower) มันเริ่มเอนตั้งแต่การก่อสร้างชั้นที่ 2 และเค้าก็พยายามสร้างจนเสร็จ ถึงแม้ว่ามันจะเอนก็ตาม และก็มีหอระฆังของโบถส์อีก 2 แห่งในเมืองปีซ่าที่ก็เอนเหมือนกัน คือที่ San Nicola (The Campanile of San Nicola) และที่ San Michele Degli Scalzi (The Campanile of San Michele degli Scalzi)
หอเอนเมืองปีซ่า สูง 8 ชั้น มีบันได 297 ชั้น ใช้เวลาสร้าง 226 ปี อาจจะเป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในยุโรป ด้านบนสุดของหอเอน ณ ปัจจุบันเอนหนีตำแหน่งเดิมเกือบ 5 เมตร และมีแนวโน้มที่จะเอียงอีกเรื่อย ๆ แต่เค้าก็ยังเปิดให้ผู้คนเข้าชมข้างในของหอ ตั๋วเข้าชมประมาณ 22 ยูโร กำหนดจำนวนคนที่จะเข้าชมต่อวัน (จำไม่ได้ว่ากี่คน) แต่ครูจินไม่ได้เข้าไป เพราะต้องใช้เงินแบบประหยัด และคิดว่าเข้าไปดูด้านในคงไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ และไม่ได้มีความต้องการขนาดนั้น เลยขอประหยัด 22 ยูโรไว้ก่อน (ประมาณ 1,000 บาทอ่า)
เค้าสำรวจมาแล้วว่า ชาวเมืองปีซ่า อยากให้มันเอียงจนล้ม มากกว่าจะหาทางดึงให้มันกลับมาตรงเหมือนเดิม ก็นะ ถ้ามันตรง มันก็คงจะเป็นหอเอนอีกต่อไปไม่ได้ อิอิ
ทั้งนี้คิดว่า Pisa เป็นเมืองที่สวยและน่าเที่ยวอยู่เหมือนกัน คงไม่ได้มีแต่หอเอนที่น่าไปดู แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เลยไม่มีเวลาเดินดูเมือง ถ้าใครมีเวลาได้ไป แนะนำให้เตร็ดเตร่ในเมืองปีซ่าสัก 2 วัน น่าจะดีไม่น้อย
ชื่อสินค้า: หอเอนเมืองปีซ่า
[CR] แบกเป้เที่ยว 61 ประเทศ กับครูจิน ตอนที่ 7 หอเอนเมืองปีซ่า (The leaning tower of Pisa)
จากโรม ครูจินก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) โดย Blablacar ซึ่งก็เสียค่าเดินทาง 12 ยูโร เท่านั้น ที่ฟลอเรนซ์ มี host เหมือนกัน host ชื่อ Andrew มีร้านขายแซนด์วิชกลางเมืองฟลอเรนซ์ชื่อ The Oil Shoppe ถ้าใครไปแถวนั้นอาจจะไปทักทาย และถามเค้าได้ว่ารู้จัก Jin from Thailand ป่าว อิอิ แต่ก็นะ จะถามไปทำไมเนอะ ><” ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากเตร็ดเตร่ในโรมอยู่หลายวัน พอถึงฟลอเรนซ์ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับพิพิธภัณฑ์มีชื่อของเค้าสักเท่าไหร่ วันแรกก็ไปนั่งเล่นที่ร้านแซนวิช และวันที่สองก็ขึ้นรถไฟไปเมืองปีซ่า เพื่อที่จะไปดู หอเอนเมืองปีซ่า หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Leaning tower of Pisa นั่นเอง
การเดินทางจากฟลอเรนซ์ไปปีซ่า
เนื่องจากมีเวลาแค่ 1 วัน ไปดูหอเอน และนัด host เพื่อไปดูการทำน้ำมันมะกอกตอน 4 โมง เลยต้องรีบไปรีบกลับ และไม่มีเวลาเช็ค Blablacar และวิธีที่เร็วที่สุดก็คือ รถไฟนั่นเอง จากฟลอเรนซ์ ต้องไปขึ้นรถไปที่สถานี Florence S.M. Novella เพื่อไป Pisa Centrale ราคาตั๋วไป 8.9 ยูโร กลับอีก 8.9 ยูโร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง พอถึงที่ Pisa Centrale ต้องไปซื้อตั๋วรถเมล์ที่ร้านขายของชำตรงสถานี อีก 1.5 ยูโร เพื่อไปดูหอเอน
ทั้งนี้ทั้งนั้นการเดินทางจากฟลอเรนซ์ไปปีซ่า สามารถไปได้โดยรถเมล์ แต่มันจะไปจอดตรงสนามบินของปีซ่า และใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่ค่าตั๋วไปกลับประมาณ 10 ยูโร ถูกกว่าเยอะเลย ถ้าไม่รีบนะ
ประวัติของหอเอนเมืองปีซ่า เค้าว่ากันว่า สมัยก่อนนั้นชาวเมืองปีซ่า ต้องการให้ผู้คนรู้จักเมืองตัวเอง เลยร่วมกันสร้าง The Square of Miracles ซึ่งในจัตุรัสนี้ ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้าง 4 อย่าง คือ The Cathedral of Pisa (โบสถ์), The Baptistery (ที่สำหรับทำพิธีศีลจุ่ม), The Cemetery (สุสาน), และ The Bell tower (หอระฆัง) ซึ่งก็คือ หอเอนเมืองปีซ่านั่นเอง ดังนั้นหอเอนเมืองปีซ่าถูกสร้างให้เป็นหอระฆังของ The Cathedral of Pisa นอกจากนี้ เพื่อความขลัง วัสดุบางส่วนก็ถูกสั่งมาจากเมืองเยรูซาเล็มอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น เค้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเอนนะ เนื่องจากปีซ่าเป็นเมืองท่า และดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวผสมเปลือกหอย ทำให้สิ่งก่อสร้างทรุดตัวได้ง่าย และความรู้ใหม่ของครูจินเมื่อตอนไปถึงที่นั่นก็คือ ไม่ใช่แต่ The bell tower ที่เอน แต่ว่าสิ่งก่อสร้างอีก 3 อย่างใกล้ ๆ มันนั้นก็เอน แต่อาจจะเห็นไม่ชัดเท่า The bell tower แต่ดูไปก็เห็นชัดนะ แต่อาจจะเพราะไม่สูงผอมเท่าหอเอนเมืองปีซ่าเท่านั้นเอง และหอเอน (the bell tower) มันเริ่มเอนตั้งแต่การก่อสร้างชั้นที่ 2 และเค้าก็พยายามสร้างจนเสร็จ ถึงแม้ว่ามันจะเอนก็ตาม และก็มีหอระฆังของโบถส์อีก 2 แห่งในเมืองปีซ่าที่ก็เอนเหมือนกัน คือที่ San Nicola (The Campanile of San Nicola) และที่ San Michele Degli Scalzi (The Campanile of San Michele degli Scalzi)
หอเอนเมืองปีซ่า สูง 8 ชั้น มีบันได 297 ชั้น ใช้เวลาสร้าง 226 ปี อาจจะเป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในยุโรป ด้านบนสุดของหอเอน ณ ปัจจุบันเอนหนีตำแหน่งเดิมเกือบ 5 เมตร และมีแนวโน้มที่จะเอียงอีกเรื่อย ๆ แต่เค้าก็ยังเปิดให้ผู้คนเข้าชมข้างในของหอ ตั๋วเข้าชมประมาณ 22 ยูโร กำหนดจำนวนคนที่จะเข้าชมต่อวัน (จำไม่ได้ว่ากี่คน) แต่ครูจินไม่ได้เข้าไป เพราะต้องใช้เงินแบบประหยัด และคิดว่าเข้าไปดูด้านในคงไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ และไม่ได้มีความต้องการขนาดนั้น เลยขอประหยัด 22 ยูโรไว้ก่อน (ประมาณ 1,000 บาทอ่า)
เค้าสำรวจมาแล้วว่า ชาวเมืองปีซ่า อยากให้มันเอียงจนล้ม มากกว่าจะหาทางดึงให้มันกลับมาตรงเหมือนเดิม ก็นะ ถ้ามันตรง มันก็คงจะเป็นหอเอนอีกต่อไปไม่ได้ อิอิ
ทั้งนี้คิดว่า Pisa เป็นเมืองที่สวยและน่าเที่ยวอยู่เหมือนกัน คงไม่ได้มีแต่หอเอนที่น่าไปดู แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เลยไม่มีเวลาเดินดูเมือง ถ้าใครมีเวลาได้ไป แนะนำให้เตร็ดเตร่ในเมืองปีซ่าสัก 2 วัน น่าจะดีไม่น้อย
20 พฤษภาคม 2557 เวลา 15:59 น.