ผมมีโอกาสได้ชมหนังเรื่องนี้ที่อังกฤษ (ไม่รู้จะได้เข้าฉายที่ไทยรึป่าว) จึงขอ review สักหน่อย (เป็น review หนังเรื่องแรกเลยครับ แล้วก็เป็นสมาชิกใหม่ด้วย ถ้าเกิดตั้งกระทู้ผิดประเภทก็ขอโทษด้วยนะครับ
)
-----------------------------------------------------------------
หนังเปิดเรื่อง ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ปี 1962 คู่สามีภรรยาชาวอเมริกันได้พบกับชายแปลกหน้าที่ทำทีเข้ามาตีสนิทด้วย แรกเริ่มนั้นชายแปลกหน้าหวังต้มตุ๋นหลอกเอาเงินจากทั้งสอง แต่ยิ่งรู้จักกันชายแปลกหน้าก็ยิ่งตกหลุมรักฝ่ายหญิงมากขึ้น ต่อมาฝ่ายสามีได้ "บังเอิญ" ฆ่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ทั้ง 3 จึงจับพลัดจับผลูร่วมกันหลบหนีออกนอกประเทศกรีซ และนี่คือเรื่องราวที่หนังดำเนินต่อไป... ผ่านบรรยากาศของกรีซยุค '60
หากใครเคยประทับใจเรื่อง In Bruges มาแล้ว เรื่องนี้ก็ใช้สถานที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็น In Bruges เวอร์ชันที่ตัดมุขตลกออกไป แล้วใส่ความดราม่าบวกกับสไตล์สืบสวนลุ้นระทึกเข้ามาแทน โดยยังคงบรรยากาศสวย ๆ กับดนตรีไพเราะเอาไว้ หนังเน้นไปที่พัฒนาการของตัวละครทั้ง 3 และความสัมพันธ์ระหว่างกันในขณะที่พวกเขาต้องปกปิดตัวตนจากการตามจับกุมของทางการ เราจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วทั้ง 3 ไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่ยิ่งดูกลับยิ่งรู้สึกเอาใจช่วยให้ทั้งหมดหนีออกจากประเทศให้ได้ หนังประสบความสำเร็จมาก ๆ ในจุดนี้ บางครั้งกลับรู้สึกว่าเราเอาใจช่วยพวกเขามากกว่าเอาใจช่วยคนดีในหนังบางเรื่องซะอีก
ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ได้เน้นย้ำความเป็นโลกสีเทาอยู่ไม่น้อย เมื่อเราได้เห็นสามี (ที่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน) รักภรรยาของเขามากแค่ไหน และกลัวแค่ไหนหากต้องสูญเสียเธอไป ในบทนี้ได้ Viggo Mortensen มาแสดง ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางสีหน้าและแววตาได้อย่างดีเยี่ยม ดูแล้วเชื่อจริง ๆ ว่าภายใต้ใบหน้า "คนเลว" ที่หนังพยายามสื่อผ่านคำบอกเล่าของตัวละครตัวอื่น เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่รักและหวงแหนภรรยาของตนเอง และยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ
ในส่วนของชายแปลกหน้าที่ได้ Oscar Isaac มารับบทนั้นก็ทำหน้าที่ได้ไม่แพ้กัน หนังพยายามวางโครงเรื่องให้เราเห็นว่าชายคนนี้เป็นแก๊งต้มตุ๋น ทำทุกอย่างเพื่อเงิน แต่เมื่อเขาได้ตัดสินใจช่วยคู่สามีภรรยาหนีออกนอกประเทศ การแสดงออกและการกระทำทั้งหมดของตัวละครตัวนี้ บางครั้งก็ทำให้พลอยคิดไปว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าตัวหนังเองจะปูเรื่องในอดีตว่าเขาเป็นคนยังไงก็ตาม The Two Faces of January จึงไม่ได้ดำเนินเรื่องสไตล์รักสามเส้าเหมือนหนังทั่วไป ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีการครอบครอง มีแค่คนธรรมดาที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง และพยายามทำดีที่สุดกับคนที่เรารัก ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองก็ตาม
ที่ขาดไม่ได้คือบทบาทของ Kirsten Dunst ในฐานะภรรยา ซึ่งคนดูคงหลงรักเธอได้ไม่ยาก หนังไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าในอดีตเธอร่วมทำผิดกับสามีรึป่าว แต่เธอรู้ทุกอย่างที่สามีทำ และอยู่เคียงข้างเขา ให้อภัยเขามาตลอด ตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป เธอเสมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง และคนดูก็เสมือนกำลังนั่งชมความสัมพันธ์ของคนทั้ง 3 ค่อย ๆ ล่มสลายลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางข้ามเมืองเพื่อหลบหนีออกนอกประเทศ
น่าแปลก... การได้เห็นคนเลวในหนังเรื่องนี้ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ ต้องทนทุกข์ ชดใช้กับสิ่งที่พวกเขาก่อ กลับทำให้รู้สึกเศร้าได้
หรือบางทีนี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีใครเลวและดี 100% บางสถานการณ์คนดีก็อาจทำเรื่องแย่ ๆ ได้ และคนเลวก็อาจทำเรื่องดี ๆ ได้เช่นกัน หนังเรื่องนี้คงสอนให้เรารักษาสถานะความเป็นสีเทา ๆ ไม่ให้ค่อนไปทางดำจนเกินไป เพราะสีดำจะอยู่ติดตัวเราไปตลอด และเวลาก็ย้อนคืนกลับมาไม่ได้
The Two Faces of January ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกัน หนังจึงมีเรื่องราวมากมายให้กล่าวถึงภายใต้ความยาว 90 กว่านาที จนบางช่วงอาจดำเนินเรื่องเร็วไปหน่อย แต่หนังก็ทำให้ลุ้นไปกับตัวละครในการหลบหนีออกจากประเทศกรีซ แถมยังได้เพลิดเพลินดื่มด่ำไปกับฉากหลังอันงดงามของซากปรักหักพัง โดยรวมแล้วผมให้ 8/10 ครับ นี่เป็นหนังที่ผม "อยาก" ให้จบแบบ Happy Ending ที่สุด
[review] The Two Faces of January (2014): สองโฉมหน้าแห่งเดือนมกราคม [ไม่สปอยล์]
-----------------------------------------------------------------
หนังเปิดเรื่อง ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ปี 1962 คู่สามีภรรยาชาวอเมริกันได้พบกับชายแปลกหน้าที่ทำทีเข้ามาตีสนิทด้วย แรกเริ่มนั้นชายแปลกหน้าหวังต้มตุ๋นหลอกเอาเงินจากทั้งสอง แต่ยิ่งรู้จักกันชายแปลกหน้าก็ยิ่งตกหลุมรักฝ่ายหญิงมากขึ้น ต่อมาฝ่ายสามีได้ "บังเอิญ" ฆ่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ทั้ง 3 จึงจับพลัดจับผลูร่วมกันหลบหนีออกนอกประเทศกรีซ และนี่คือเรื่องราวที่หนังดำเนินต่อไป... ผ่านบรรยากาศของกรีซยุค '60
หากใครเคยประทับใจเรื่อง In Bruges มาแล้ว เรื่องนี้ก็ใช้สถานที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็น In Bruges เวอร์ชันที่ตัดมุขตลกออกไป แล้วใส่ความดราม่าบวกกับสไตล์สืบสวนลุ้นระทึกเข้ามาแทน โดยยังคงบรรยากาศสวย ๆ กับดนตรีไพเราะเอาไว้ หนังเน้นไปที่พัฒนาการของตัวละครทั้ง 3 และความสัมพันธ์ระหว่างกันในขณะที่พวกเขาต้องปกปิดตัวตนจากการตามจับกุมของทางการ เราจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วทั้ง 3 ไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่ยิ่งดูกลับยิ่งรู้สึกเอาใจช่วยให้ทั้งหมดหนีออกจากประเทศให้ได้ หนังประสบความสำเร็จมาก ๆ ในจุดนี้ บางครั้งกลับรู้สึกว่าเราเอาใจช่วยพวกเขามากกว่าเอาใจช่วยคนดีในหนังบางเรื่องซะอีก
ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ได้เน้นย้ำความเป็นโลกสีเทาอยู่ไม่น้อย เมื่อเราได้เห็นสามี (ที่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน) รักภรรยาของเขามากแค่ไหน และกลัวแค่ไหนหากต้องสูญเสียเธอไป ในบทนี้ได้ Viggo Mortensen มาแสดง ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางสีหน้าและแววตาได้อย่างดีเยี่ยม ดูแล้วเชื่อจริง ๆ ว่าภายใต้ใบหน้า "คนเลว" ที่หนังพยายามสื่อผ่านคำบอกเล่าของตัวละครตัวอื่น เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่รักและหวงแหนภรรยาของตนเอง และยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ
ในส่วนของชายแปลกหน้าที่ได้ Oscar Isaac มารับบทนั้นก็ทำหน้าที่ได้ไม่แพ้กัน หนังพยายามวางโครงเรื่องให้เราเห็นว่าชายคนนี้เป็นแก๊งต้มตุ๋น ทำทุกอย่างเพื่อเงิน แต่เมื่อเขาได้ตัดสินใจช่วยคู่สามีภรรยาหนีออกนอกประเทศ การแสดงออกและการกระทำทั้งหมดของตัวละครตัวนี้ บางครั้งก็ทำให้พลอยคิดไปว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าตัวหนังเองจะปูเรื่องในอดีตว่าเขาเป็นคนยังไงก็ตาม The Two Faces of January จึงไม่ได้ดำเนินเรื่องสไตล์รักสามเส้าเหมือนหนังทั่วไป ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีการครอบครอง มีแค่คนธรรมดาที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง และพยายามทำดีที่สุดกับคนที่เรารัก ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองก็ตาม
ที่ขาดไม่ได้คือบทบาทของ Kirsten Dunst ในฐานะภรรยา ซึ่งคนดูคงหลงรักเธอได้ไม่ยาก หนังไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าในอดีตเธอร่วมทำผิดกับสามีรึป่าว แต่เธอรู้ทุกอย่างที่สามีทำ และอยู่เคียงข้างเขา ให้อภัยเขามาตลอด ตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป เธอเสมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง และคนดูก็เสมือนกำลังนั่งชมความสัมพันธ์ของคนทั้ง 3 ค่อย ๆ ล่มสลายลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางข้ามเมืองเพื่อหลบหนีออกนอกประเทศ
น่าแปลก... การได้เห็นคนเลวในหนังเรื่องนี้ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ ต้องทนทุกข์ ชดใช้กับสิ่งที่พวกเขาก่อ กลับทำให้รู้สึกเศร้าได้
หรือบางทีนี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีใครเลวและดี 100% บางสถานการณ์คนดีก็อาจทำเรื่องแย่ ๆ ได้ และคนเลวก็อาจทำเรื่องดี ๆ ได้เช่นกัน หนังเรื่องนี้คงสอนให้เรารักษาสถานะความเป็นสีเทา ๆ ไม่ให้ค่อนไปทางดำจนเกินไป เพราะสีดำจะอยู่ติดตัวเราไปตลอด และเวลาก็ย้อนคืนกลับมาไม่ได้
The Two Faces of January ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกัน หนังจึงมีเรื่องราวมากมายให้กล่าวถึงภายใต้ความยาว 90 กว่านาที จนบางช่วงอาจดำเนินเรื่องเร็วไปหน่อย แต่หนังก็ทำให้ลุ้นไปกับตัวละครในการหลบหนีออกจากประเทศกรีซ แถมยังได้เพลิดเพลินดื่มด่ำไปกับฉากหลังอันงดงามของซากปรักหักพัง โดยรวมแล้วผมให้ 8/10 ครับ นี่เป็นหนังที่ผม "อยาก" ให้จบแบบ Happy Ending ที่สุด