ฝรั่งออกหนังสืออ้าง MH370 ถูกบินรบไทย-สหรัฐฯ ยิงตก!!! ขณะฝึกร่วม!!! มาเลเซียแอร์ไลน์สย่ำแย่ต่อเนื่อง!!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2557
เอเจนซีส์ – พ็อกเกตบุ๊กเชิงข่าวสอบสวน “ไฟลต์ MH370” ของ ไนเจล คาวธอร์น(Nigel Cawthorne) ได้เสนอทฤษฎีสมคบคิดล่าสุด ของสาเหตุการหายไปของ MH370 ว่า อาจเกิดจากความผิดพลาดในระหว่างการฝึกผสมร่วมระหว่างกองทัพไทยและกองทัพสหรัฐฯ ที่เครื่องบินรบของทั้ง 2 ชาติบังเอิญยิง MH370 ตก และทีมการค้นหาช่วยปกปิดร่องรอย ด้านสถานการณ์ของบริษัทสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สยังย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง หลังจากการหายไปของโบอิ้ง 777
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (18) ว่า ญาติของผู้โดยสารเที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญต่างวิจารณ์ถึงจังหวะช่วงเวลาที่หนังสือพ็อกเกตบุ๊กเชิงข่าวสอบสวน “ไฟลต์ MH370” ของไนเจล คาวธอร์น (Nigel Cawthorne) ที่อ้างว่า MH370ถูกเครื่องบินรบของกองทัพไทยและสหรัฐฯยิงตกในระหว่างการซ้อมรบ และทีมค้นหาที่นำโดยออสเตรเลียช่วยปกปิดร่องรอย
ครอบครัวของ ร็อด เบอร์โรว์ส ชาวบริสเบน ที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารชาวออสเตรเลียในเที่ยวบิน MH370 เผยว่ายังคงเจ็บปวดที่ต้องทำความเข้าใจในการสูญหายของ MH370 ที่ยาวนานกว่า 71 วัน ที่มีการค้นหาจากทีมนานาชาติที่มีออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ แต่ยังไม่มีการทราบสาเหตุของการสูญหายที่แท้จริง และหนังสือ “ไฟลท์ MH370”ที่อ้างถึงสาเหตุการหายไปของโบอิ้ง 777 กำลังจะวางแผงในไม่ช้า
โดยพบว่าคาวธอร์นผู้แต่งไฟลต์ MH370อ้างว่า MH370 ถูกยิงตกโดยเครื่องบินรบของกองทัพไทยและสหรัฐฯในการฝึกผสมร่วม ที่ถือเป็นความผิดพลาดในระหว่างการฝึกขั้นร้ายแรง และยังอ้างต่อไปว่าทีมค้นหามีจุดประสงค์เพื่อปกปิดร่องรอยความผิดโดยการนำไปสำรวจในสถานที่ห่างไกลจากจุดตกที่แท้จริง
ไอรีน เบอร์โรว์ส แม่ของร็อด เบอร์โรว์สได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อดิซัน เฮอรอล ว่า พ็อกเกตบุ๊กเล่มนี้ถูกเผยแพร่เร็วเกินไป แต่ถึงจะเป็นการคาดการณ์แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนในเรื่องนี้
“ไม่มีคำตอบแน่นอน มันเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับครอบครัวผู้โดยสารที่พรุ่งนี้ก็จะครบรอบ 10 สัปดาห์ของการสูญหาย แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เบอร์โรว์ส กล่าว และกล่าวเสริมว่า ทั้งตัวเธอและสามีจอร์จ ต่างพยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหนังสือที่เต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิดมากมายในสาเหตุการหายไปของโบอิ้ง 777 ได้เปิดตัวออกมาหลังจาก 71 วันของการหายไปของ MH370 ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดในการสูญเสียบุตรชายของคนทั้งคู่บรรเทาลง
แต่อาจจะไม่มีคำตอบที่ชัดเจน “ไฟลต์ MH370” กล่าว ทั้งนี้ คาวธอร์นผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ได้ตั้งคำถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับร็อด เบอร์โรว์สและคนอื่นๆบนโบอิ้ง 777 ว่า เกือบจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องประสบอะไรบ้างในช่วงเกิดเหตุในวันที่ 8 มีนาคม 2014
และคาวธอร์นยังตั้งคำถามต่อว่า คนทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องได้เสียชีวิตอย่างไม่ทรมานโดยที่ไม่ทราบถึงชะตากรรมของพวกเขาข้างหน้า หรือคนเหล่านั้นเสียชีวิตท่ามกลางเพลิงที่ลุกโหม โดยที่เครื่องบินตกลงจากฟากฟ้าโดยน้ำมือของกลุ่มคนบ้า
นอกจากนี้ ผู้แต่งยังได้เสริมข้อมูลได้อย่างน่าเหลือเชื่อว่า MH370 นั้น แท้จริงแล้วถูกยิงตกอย่างไม่คาดหมายในทะเลจีนใต้โดยฝีมือของกองกำลังฝึกผสมร่วมระหว่างไทย-สหรัฐฯ และทีมค้นหาถูกส่งออกไปส่วนหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนโดยการนำไปค้นหาให้ผิดทิศทาง
และคาวธอร์นยังได้อ้างพยานพบเห็นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือว่า มีพนักงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลที่ทำงานอยู่ในช่วงทรานสปอนเดอร์ของ MH370ดับไป สังเกตเห็นเครื่องบินเกิดเฟลิงลุกไหม้กลางอากาศ และอยู่ไม่ห่างจากจุดการฝึกซ้อมรบของกองกำลังผสมชาติต่างๆ
ทั้งนี้ ผู้แต่งได้อ้างว่า ประเทศที่มีส่วนร่วมในการฝึกได้ส่งตัวแทนไปร่วมทีมค้นหา และพยายามจะทำให้ไขว้เขวโดยการนำไปสำรวจผิดที่ “หลังสำรวจแล้ว ไม่พบซากชิ้นส่วนใดในมหาสมุทรอินเดียใต้ ซึ่งมันก็น่าสงสัยอยู่แล้ว และยังไม่นับถึงการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ MH370 มากมายก็น่าเคลือบแคลงที่สุด” คาวโทรนกล่าว
นอกจากนี้ คาวธอร์นยังเปิดเผยว่า ร่องรอยของ MH370 นั้นคงแกะได้ไม่ยากหากซอฟต์แวร์การค้นหาได้รับการอัปเกรดที่มีค่าใช้จ่ายราว 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบิน ทั้งนี้ ผู้แต่งหนังสือไฟลต์ MH370 ย้ำว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER มีดาต้าแพ็กเกจที่ส่งเฉพาะข้อมูลพื้นฐานการบินเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดึงข้อมูล GPSได้ และ 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวในการอัพเกรด ทางเจ้าหน้าที่สามารถได้ข้อมูลภายใน 30 นาทีว่า MH370 ได้บินไปที่ใดบ้าง แหล่งข่าวเผยกับสื่อ
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ได้ร้องให้มีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยโดยให้มีเรียลไทม์สแทรคกิงการค้นหาเครื่องบิน และการปรับปรุงระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อป้องกันเหตุโศกนาฏกรรม MH370 ที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง
ในวอลล์สตรีทเจอร์นัลที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (14) นาจิบได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงมาตรการป้องกันให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์หายไปของเครื่องบินอย่างง่ายดายซ้ำสอง และร้องให้เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม
“สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือเครื่องบินที่ใหญ่ขนาดนั้นสามารถสูญหายเกือบจะไร้ร่องรอยได้ ในยุคสมัยของการสื่อสารไร้สายที่มีทั้งโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เนตเคลื่อนที่ การค้นหาแบบเรียลไทม์สของสายการบินพาณิชย์นั้น ควรมีนานแล้ว” นอกจากนี้ นาจิบยังรัยกร้องให้อุตสาหกรรมการบินโลกปรับปรุงระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบถูกปิดไปกลางอากาศ ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียกล่าวว่า มีคนปิดระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินอย่างจงใจ
“อุตสาหกรรมการบินโลกต้องไม่แค่เรียนรู้กรณี MH370 แต่ต้องปรับปรุงด้วย” ราจิบ กล่าว และย้ำว่า MH370 ถือเป็นความลึกลับอย่างหนี่งในแวดวงการบิน “ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีใครทราบสาเหตุ และไม่มีใครบอกได้ว่าตอนนี้ MH370 อยู่ที่ไหน” นาจิบ กล่าวและยอมรับในความผิดพลาดในช่วงแรกของการเกิดวิกฤต และเผยว่าการสอบสวนอิสระกำลังดำเนินงานอยู่ และรัฐบาลมาเลเซียจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตาม นาจิบได้ให้สัญญากับญาติผู้โดยสารว่าการค้นหา MH370 จะยังดำเนินต่อไป
ด้านออสเตรเลียที่เป็นผู้นำการค้นหาซึ่งกำลังจะเข้าสู่เฟสที่ 2 ของภาระการค้นหา ที่มีบริษัทเอกชนจะร่วมการค้นหาใต้น้ำบริเวณพื้นผิวมหาสมุทรด้วยเครื่องค้นหาโซนาร์ในสัญญาระยะเวลา 1 ปี
โดยในวันอังคาร (13) เรือออสเตรเลียกลับไปยังจุดที่เคยจับสัญญาณปิงได้ในช่วงเดือนเมษายนที่เป็นสัญญาณความถี่เดียวที่ออกมาจากกล่องดำ MH370 ศูนย์การค้นหาเผย ทั้งนี้ เรือออสเตรเลียได้เดินทางกลับเข้าฝั่งในระยะเวลาอันสั้นเพื่อเติมเสบียงและน้ำมัน
นอกจากนี้ บีบีซีรายงานว่า บริษัทสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สได้ขาดทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การสูญหายของ MH370 ที่ขาดทุนไปแล้วถึง 59% หรือ 443 ล้านริงกิต (138 ล้านดอลลาร์) ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2014 ทำให้เป็นการขาดทุนในไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันของสายการบินอายุ 76 ปีแห่งนี้
พบว่ามูลหุ้นของมาเลเซียแอร์ไลน์สเพิ่มขึ้นถึง 2.4% ท่ามกลางวิกฤตการบริหารและข่าวร้าย แต่มีเพียงหุ้นแค่ 30% ของบริษัทที่สามารถซื้อขายได้อิสระผ่านตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ในขณะที่หุ้นที่เหลือทั้งหมดถือไว้โดยบริษัทลงทุน คาซานาห์ แนชันแนล (Khazanah Nasional) ที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นเจ้าของ
แต่กระนั้นพบว่าหุ้นเกือบจะทั้งหมด 30% นั้นถือโดยกองทุนเกษียณของรัฐบาลมาเลเซียและสถาบันอื่นๆ และมีอีกสัดส่วนหุ้นอีกเล็กน้อยเหลือให้นักลงทุนเอกชนเป็นผู้ถือ
จากทั้งหมดสรุปได้ว่า มาเลเซียแอร์ไลนส์ได้ขาดทุนไปกว่า 40% ของมูลค่าตลาดในปี 2014 และในวันพฤหัสบดี (15) กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ประกาศว่า รัฐบาลมาเลเซียไม่มีแผนให้เงินอุ้มบริษัทมาเลเซียแอร์ไลนส์ ที่ตลอด 3ปีล่าสุดขาดทุนไปสูงกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์
ด้านมาเลเซียแอร์ไลน์สเปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของ MH370 บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทว่าสถานะบริษัทที่ยังขาดทุนอาจส่งผลให้มาเลเซียแอร์ไลน์สต้องประกาศล้มละลายหรือขาดทุนทั้งๆที่เจ้าของสายการบินคือรัฐบาลมาเลเซีย
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000054977
(ยาว) ฝรั่งออกหนังสืออ้าง MH370 ถูกบินรบไทย-สหรัฐฯ ยิงตก!!! ขณะฝึกร่วม!!! มาเลเซียแอร์ไลน์สย่ำแย่ต่อเนื่อง!!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2557
เอเจนซีส์ – พ็อกเกตบุ๊กเชิงข่าวสอบสวน “ไฟลต์ MH370” ของ ไนเจล คาวธอร์น(Nigel Cawthorne) ได้เสนอทฤษฎีสมคบคิดล่าสุด ของสาเหตุการหายไปของ MH370 ว่า อาจเกิดจากความผิดพลาดในระหว่างการฝึกผสมร่วมระหว่างกองทัพไทยและกองทัพสหรัฐฯ ที่เครื่องบินรบของทั้ง 2 ชาติบังเอิญยิง MH370 ตก และทีมการค้นหาช่วยปกปิดร่องรอย ด้านสถานการณ์ของบริษัทสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สยังย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง หลังจากการหายไปของโบอิ้ง 777
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (18) ว่า ญาติของผู้โดยสารเที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญต่างวิจารณ์ถึงจังหวะช่วงเวลาที่หนังสือพ็อกเกตบุ๊กเชิงข่าวสอบสวน “ไฟลต์ MH370” ของไนเจล คาวธอร์น (Nigel Cawthorne) ที่อ้างว่า MH370ถูกเครื่องบินรบของกองทัพไทยและสหรัฐฯยิงตกในระหว่างการซ้อมรบ และทีมค้นหาที่นำโดยออสเตรเลียช่วยปกปิดร่องรอย
ครอบครัวของ ร็อด เบอร์โรว์ส ชาวบริสเบน ที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารชาวออสเตรเลียในเที่ยวบิน MH370 เผยว่ายังคงเจ็บปวดที่ต้องทำความเข้าใจในการสูญหายของ MH370 ที่ยาวนานกว่า 71 วัน ที่มีการค้นหาจากทีมนานาชาติที่มีออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ แต่ยังไม่มีการทราบสาเหตุของการสูญหายที่แท้จริง และหนังสือ “ไฟลท์ MH370”ที่อ้างถึงสาเหตุการหายไปของโบอิ้ง 777 กำลังจะวางแผงในไม่ช้า
โดยพบว่าคาวธอร์นผู้แต่งไฟลต์ MH370อ้างว่า MH370 ถูกยิงตกโดยเครื่องบินรบของกองทัพไทยและสหรัฐฯในการฝึกผสมร่วม ที่ถือเป็นความผิดพลาดในระหว่างการฝึกขั้นร้ายแรง และยังอ้างต่อไปว่าทีมค้นหามีจุดประสงค์เพื่อปกปิดร่องรอยความผิดโดยการนำไปสำรวจในสถานที่ห่างไกลจากจุดตกที่แท้จริง
ไอรีน เบอร์โรว์ส แม่ของร็อด เบอร์โรว์สได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อดิซัน เฮอรอล ว่า พ็อกเกตบุ๊กเล่มนี้ถูกเผยแพร่เร็วเกินไป แต่ถึงจะเป็นการคาดการณ์แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนในเรื่องนี้
“ไม่มีคำตอบแน่นอน มันเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับครอบครัวผู้โดยสารที่พรุ่งนี้ก็จะครบรอบ 10 สัปดาห์ของการสูญหาย แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เบอร์โรว์ส กล่าว และกล่าวเสริมว่า ทั้งตัวเธอและสามีจอร์จ ต่างพยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหนังสือที่เต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิดมากมายในสาเหตุการหายไปของโบอิ้ง 777 ได้เปิดตัวออกมาหลังจาก 71 วันของการหายไปของ MH370 ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดในการสูญเสียบุตรชายของคนทั้งคู่บรรเทาลง
แต่อาจจะไม่มีคำตอบที่ชัดเจน “ไฟลต์ MH370” กล่าว ทั้งนี้ คาวธอร์นผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ได้ตั้งคำถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับร็อด เบอร์โรว์สและคนอื่นๆบนโบอิ้ง 777 ว่า เกือบจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องประสบอะไรบ้างในช่วงเกิดเหตุในวันที่ 8 มีนาคม 2014
และคาวธอร์นยังตั้งคำถามต่อว่า คนทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องได้เสียชีวิตอย่างไม่ทรมานโดยที่ไม่ทราบถึงชะตากรรมของพวกเขาข้างหน้า หรือคนเหล่านั้นเสียชีวิตท่ามกลางเพลิงที่ลุกโหม โดยที่เครื่องบินตกลงจากฟากฟ้าโดยน้ำมือของกลุ่มคนบ้า
นอกจากนี้ ผู้แต่งยังได้เสริมข้อมูลได้อย่างน่าเหลือเชื่อว่า MH370 นั้น แท้จริงแล้วถูกยิงตกอย่างไม่คาดหมายในทะเลจีนใต้โดยฝีมือของกองกำลังฝึกผสมร่วมระหว่างไทย-สหรัฐฯ และทีมค้นหาถูกส่งออกไปส่วนหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อนโดยการนำไปค้นหาให้ผิดทิศทาง
และคาวธอร์นยังได้อ้างพยานพบเห็นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือว่า มีพนักงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลที่ทำงานอยู่ในช่วงทรานสปอนเดอร์ของ MH370ดับไป สังเกตเห็นเครื่องบินเกิดเฟลิงลุกไหม้กลางอากาศ และอยู่ไม่ห่างจากจุดการฝึกซ้อมรบของกองกำลังผสมชาติต่างๆ
ทั้งนี้ ผู้แต่งได้อ้างว่า ประเทศที่มีส่วนร่วมในการฝึกได้ส่งตัวแทนไปร่วมทีมค้นหา และพยายามจะทำให้ไขว้เขวโดยการนำไปสำรวจผิดที่ “หลังสำรวจแล้ว ไม่พบซากชิ้นส่วนใดในมหาสมุทรอินเดียใต้ ซึ่งมันก็น่าสงสัยอยู่แล้ว และยังไม่นับถึงการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ MH370 มากมายก็น่าเคลือบแคลงที่สุด” คาวโทรนกล่าว
นอกจากนี้ คาวธอร์นยังเปิดเผยว่า ร่องรอยของ MH370 นั้นคงแกะได้ไม่ยากหากซอฟต์แวร์การค้นหาได้รับการอัปเกรดที่มีค่าใช้จ่ายราว 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบิน ทั้งนี้ ผู้แต่งหนังสือไฟลต์ MH370 ย้ำว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER มีดาต้าแพ็กเกจที่ส่งเฉพาะข้อมูลพื้นฐานการบินเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดึงข้อมูล GPSได้ และ 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวในการอัพเกรด ทางเจ้าหน้าที่สามารถได้ข้อมูลภายใน 30 นาทีว่า MH370 ได้บินไปที่ใดบ้าง แหล่งข่าวเผยกับสื่อ
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ได้ร้องให้มีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยโดยให้มีเรียลไทม์สแทรคกิงการค้นหาเครื่องบิน และการปรับปรุงระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อป้องกันเหตุโศกนาฏกรรม MH370 ที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง
ในวอลล์สตรีทเจอร์นัลที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (14) นาจิบได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงมาตรการป้องกันให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์หายไปของเครื่องบินอย่างง่ายดายซ้ำสอง และร้องให้เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม
“สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือเครื่องบินที่ใหญ่ขนาดนั้นสามารถสูญหายเกือบจะไร้ร่องรอยได้ ในยุคสมัยของการสื่อสารไร้สายที่มีทั้งโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เนตเคลื่อนที่ การค้นหาแบบเรียลไทม์สของสายการบินพาณิชย์นั้น ควรมีนานแล้ว” นอกจากนี้ นาจิบยังรัยกร้องให้อุตสาหกรรมการบินโลกปรับปรุงระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบถูกปิดไปกลางอากาศ ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียกล่าวว่า มีคนปิดระบบการสื่อสารของเครื่องบินเพื่อจะเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินอย่างจงใจ
“อุตสาหกรรมการบินโลกต้องไม่แค่เรียนรู้กรณี MH370 แต่ต้องปรับปรุงด้วย” ราจิบ กล่าว และย้ำว่า MH370 ถือเป็นความลึกลับอย่างหนี่งในแวดวงการบิน “ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีใครทราบสาเหตุ และไม่มีใครบอกได้ว่าตอนนี้ MH370 อยู่ที่ไหน” นาจิบ กล่าวและยอมรับในความผิดพลาดในช่วงแรกของการเกิดวิกฤต และเผยว่าการสอบสวนอิสระกำลังดำเนินงานอยู่ และรัฐบาลมาเลเซียจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตาม นาจิบได้ให้สัญญากับญาติผู้โดยสารว่าการค้นหา MH370 จะยังดำเนินต่อไป
ด้านออสเตรเลียที่เป็นผู้นำการค้นหาซึ่งกำลังจะเข้าสู่เฟสที่ 2 ของภาระการค้นหา ที่มีบริษัทเอกชนจะร่วมการค้นหาใต้น้ำบริเวณพื้นผิวมหาสมุทรด้วยเครื่องค้นหาโซนาร์ในสัญญาระยะเวลา 1 ปี
โดยในวันอังคาร (13) เรือออสเตรเลียกลับไปยังจุดที่เคยจับสัญญาณปิงได้ในช่วงเดือนเมษายนที่เป็นสัญญาณความถี่เดียวที่ออกมาจากกล่องดำ MH370 ศูนย์การค้นหาเผย ทั้งนี้ เรือออสเตรเลียได้เดินทางกลับเข้าฝั่งในระยะเวลาอันสั้นเพื่อเติมเสบียงและน้ำมัน
นอกจากนี้ บีบีซีรายงานว่า บริษัทสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สได้ขาดทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การสูญหายของ MH370 ที่ขาดทุนไปแล้วถึง 59% หรือ 443 ล้านริงกิต (138 ล้านดอลลาร์) ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2014 ทำให้เป็นการขาดทุนในไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันของสายการบินอายุ 76 ปีแห่งนี้
พบว่ามูลหุ้นของมาเลเซียแอร์ไลน์สเพิ่มขึ้นถึง 2.4% ท่ามกลางวิกฤตการบริหารและข่าวร้าย แต่มีเพียงหุ้นแค่ 30% ของบริษัทที่สามารถซื้อขายได้อิสระผ่านตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ในขณะที่หุ้นที่เหลือทั้งหมดถือไว้โดยบริษัทลงทุน คาซานาห์ แนชันแนล (Khazanah Nasional) ที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นเจ้าของ
แต่กระนั้นพบว่าหุ้นเกือบจะทั้งหมด 30% นั้นถือโดยกองทุนเกษียณของรัฐบาลมาเลเซียและสถาบันอื่นๆ และมีอีกสัดส่วนหุ้นอีกเล็กน้อยเหลือให้นักลงทุนเอกชนเป็นผู้ถือ
จากทั้งหมดสรุปได้ว่า มาเลเซียแอร์ไลนส์ได้ขาดทุนไปกว่า 40% ของมูลค่าตลาดในปี 2014 และในวันพฤหัสบดี (15) กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ประกาศว่า รัฐบาลมาเลเซียไม่มีแผนให้เงินอุ้มบริษัทมาเลเซียแอร์ไลนส์ ที่ตลอด 3ปีล่าสุดขาดทุนไปสูงกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์
ด้านมาเลเซียแอร์ไลน์สเปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของ MH370 บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทว่าสถานะบริษัทที่ยังขาดทุนอาจส่งผลให้มาเลเซียแอร์ไลน์สต้องประกาศล้มละลายหรือขาดทุนทั้งๆที่เจ้าของสายการบินคือรัฐบาลมาเลเซีย
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000054977