นานๆ ทีจะเขียนบล็อกเรื่องอาหารกับเค้าสักครั้ง เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งมีโอกาสได้ไปร้าน Rabbit in The Kitchen มาค่ะ เป็นร้านอาหารที่ดูโปร่ง สบาย และที่สำคัญคือทุกอย่างของร้านมีที่มา และที่ไปเสมอ ไม่เว้นแม้แต่สัญลักษณ์ของร้านแบบนี้
ด้วยความสงสัยก็เลยแอบถามกับพนักงานว่า ทำไมสัญลักษณ์ร้านต้องเป็นเหมือนเครื่องหมายตกใจ 2 อัน คือจริงๆ แล้วไม่ใช่เครื่องหมายตกใจหรอก แต่เป็นรูปหูกระต่าย ตามชื่อร้าน และทำไมต้องกระต่าย พนักงานก็เล่าให้ฟังเพิ่มอีกว่า เป็นเพราะ สมัยก่อนคนไทยโบราณจะต้องมี “กระต่าย” ติดบ้านไว้ทุกครัว “กระต่าย” ที่ว่านี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะคะ แต่เป็นเครื่องขูดมะพร้าว และทางร้านเองก็อยากให้คนที่มาทานอาหารที่ร้าน Rabbit in The Kitchen นั้นรู้สึกสบาย เหมือนกับว่าได้ทานอาหารอยู่ที่บ้านตัวเองค่ะ
นอกจากชื่อร้านและสัญลักษณ์แล้ว เมนูอาหารของร้าน Rabbit in The Kitchen ก็ล้วนมีที่มาที่ไป และมีเรื่องเล่าทั้งหมด บางเมนูก็เป็นเมนูอาหารโบราณ ขนาดว่าเราเป็นคนสนใจและชอบเรื่องเก่าๆ โบราณๆ แล้ว บางชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ อย่าง “ส้มฉุน” “ส้มซ่า” “แกงรัญจวน” “เห่าดง” “ยำญวน” ฯลฯ ซึ่งแต่ละเมนูจะมีเรื่องราวความเป็นมาเขียนกำกับไว้ที่เมนูค่ะ แต่ถ้าอยากรู้มากขึ้น พนักงานที่ร้านก็สามารถเล่าเรื่องราวของอาหารได้นะคะ
อย่างเมนู “น้ำพริกลงเรือ” เนี่ย พนักงานก็เล่าให้เราฟังว่าสมัยก่อนเวลาเจ้านายในวังเสด็จไปไหนก็ต้องอาศัยเรือ และต้องมีการตระเตรียมอาหารลงเรือไปด้วย น้ำพริกดูจะเป็นเมนูที่พื้นฐานที่สุดก็เลยนำน้ำพริกมาคลุกกับข้าว แล้วก็เอาติดเป็นเสบียงอาหารยามนั่งเรือไปไหนมาไหน ก็เลยเรียกชื่อว่า “ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือ” นั่นเองค่ะ ฟังไปก็เพลินดีเหมือนกันได้ความรู้เยอะมากเลยทีเดียว
เมนูอาหารเด็ดๆ ของที่ร้านนี้ที่เป็นอาหารไทยก็จะมี ยำเนื้อย่างเสด็จ (ถ้าใครไม่ทานเนื้อ จะเปลี่ยนเป็นหมูก็ได้นะคะ) , แกงรัญจวน หมูกรอบท่านสมุห์ , ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือ, ส้มฉุน เมนูที่เอาใจคนต่างชาติก็จะมี กุ้งสิงคโปร์ , แกงส้มแก่นคูน ไข่เจียวกากหมู, นีซวสสลัด
ส่วนเมนูอาหารที่เราเลือกก็จะมีดังนี้ค่ะ
1. ยำหมูย่างเสด็จ
เป็นเนื้อหมูที่ไม่เหนียวเลย แถมเนื้อหมูยังมีรสชาติจากการหมักมาอย่างดี มีรสชาติเผ็ดนิดๆ ทานแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทานหมูร้องไห้ หรือเสือร้องไห้ แต่อร่อยกว่านั้นค่ะ
2. ข้าวขยำปู
เมนูนี้น่าจะเหมาะกับเด็กหรือคนที่ไม่ชอบทานรสจัด เหมือนข้าวสวยคลุกกับเนื้อปูที่เป็นชิ้นๆ ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดอีกหน่อย อร่อยเลย
3. สปาเก็ตตี้ไส้อั่ว
เป็นเมนูสปาเก็ตตี้ที่ทานแล้วไม่เลี่ยน คำแรกที่ทานเข้าไปกลิ่นหอมของไส้อั่วย่างหอมมาก เหมาะกับคนที่ชอบรสจัดนิดหน่อย เมนูนี้น่าจะถูกปากคนไทย และผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดทานอาหารฝรั่งเท่าไหร่ อย่างดี ถ้าพาคุณผู้ใหญ่ไป ลองสั่งเมนูนี้ดูนะคะ เราว่าน่าจะชื่นชอบ
4. กุ้งสิงคโปร์
ปลื้มกับความสด และความใหญ่ของกุ้ง อร่อยมาก ทั้งเนื้อกุ้งเต็มๆ และซอสที่ราดมา ไม่หวานอย่างที่คิดไว้ มีส่วนผสมของเหล้าจีนนิดหน่อย แค่พอให้มีกลิ่น ไม่มากถึงขนาดทำให้เมาได้นะคะ
5. แกงรัญจวน
เมนูนี้ชอบมากที่สุด รสชาติออกเปรี้ยวหน่อย กึ่งๆ ต้มยำ กับ ต้มแซ่บผสมกัน หอมกลิ่นกะปิ และ ใบสาระแหน่ ทานง่าย คล่องคอ ทานแล้วติดใจมากๆ
6. ส้มฉุน
มาทานร้านนี้ก็เพิ่งรู้ว่า คนโบราณเรียกลิ้นจี่ว่า ส้มฉุน เป็นของหวานทานง่าย และสดชื่นมากค่ะ หลักๆ ก็มีลิ้นจี ลำไย ขนุน มะม่วง แล้วราดน้ำเชื่อม น้ำแข็ง โรยหน้าด้วยหอมเจียวทอด ถ้าใครไม่ชอบหอมเจียวอย่าเพิ่งปฎิเสธไปนะคะ ขอให้ลองก่อน เพราะกลิ่นไม่แรงอย่างที่คิด แถมพอทานคู่กับผลไม้และน้ำเชื่อมแล้ว อร่อย สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ของหวานนี้เหมาะกับ Summer มากจริงๆ
7.Rabbit Mess
อันนี้เป็นของหวานที่เราชอบที่สุด ภายใต้วิปครีมข้างล่างจะเต็มไปด้วยผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ เช่น เม็ดเสาวรส แตงโม มะม่วง กีวี ฯลฯ เวลาทานแล้วตักลงไปข้างล่างจะสนุกกับการทายว่า สิ่งที่เราตักได้และทานอยู่คือผลไม้อะไร กับ เม็ดของเสาวรสที่แตกอยู่ในปาก เป็นเมนูที่อร่อยและสนุกสนานดีค่ะ
8. ลิ้นจีมาการิต้า
เป็นเครื่องดื่มแบบ ม็อกเทล คือทำเลียนแบบเหมือน ค็อกเทลเลย แต่ไม่ผสมแอลกอฮอล์เท่านั้นเองค่ะ หอมกลิ่นลิ้นจี่มาก ดื่มแล้วสดชื่นดี
9. ชาไทย เฉาก๊วย
หวานตามแบบฉบับชาไทยโบราณ แต่ที่ชอบอยู่อย่างนึงของเครื่องดื่มนี้คือ เฉาก๊วยที่ขูดเป็นเส้น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครขูดเฉาก๊วยเป็นเส้นแล้วนะคะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม
ทั้งหมดนี้ทานกัน 2 คน แหะๆ ก็เมนูน่าทานทั้งนั้นเลย แถมใช้พลังงานไปกับการเดินช้อปปิ้งมาทั้งวัน เลยขอจัดเต็มสักหน่อย
สรุปเรื่องความชอบของเมนูอาหาร : ส่วนตัวแล้ว เมนูที่รู้สึกว่าชอบมากที่สุดก็จะมี แกงรัญจวน ยำหมูย่างเสด็จ กุ้งสิงคโปร์ (เมนูนี้แน่นอน เพราะเป็นคนชอบกินกุ้งมาก) ส่วนของหวานเราชอบ Rabbit Mess เป็นเหมือนผลไม้ตามฤดูกาล หลายๆ ชนิดมารวมกัน บางอย่างก็เปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง ถ้าใครชอบเสาวรสขอบอกว่าเมนูของหวานนี้ห้ามพลาดเพราะหอมกลิ่นเสาวรสมาก แถมตักไปก้นๆ ถ้วยจะมีเม็ดของเสาวรสอยู่เต็มเลย ทานแล้วเพลิน สดชื่นมากๆ ด้วยค่ะ
สนนค่าเสียหายของอาหารมื้อนี้ รวมแล้วก็ตามบิลที่เห็นค่ะ แต่ต้องยอมรับร้าน Rabbit in The Kitchen ค่อนข้างเลือกใช้วัตถุดิบในการปรุงอาหารอย่างดีมากๆ พิถีพิถันจริงๆ เมื่อทานแล้วจะรู้เลยว่าเลือกแต่ของดีๆ มาประกอบอาหาร แถมด้วยบริการที่ดีเยี่ยม เราว่าร้านนี้โอเคเลยค่ะ ดูมีอะไรหลายอย่างที่มากกว่าแค่ร้านอาหาร
ถ้าหากใครมีโอกาสได้แวะมาทาน แล้วอยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติม สามารถสอบถามกับพนักงานที่ร้านได้เลยนะคะ เค้ายินจะดีบอกเล่าให้ฟังด้วยความเต็มใจค่ะ Rabbit in The Kitchen อยู่ที่สยาม ซอย 11 เดินทางง่าย หาง่ายค่ะ อยู่ถนนเลนส์ฝั่งตรงข้ามกับศูนย์หนังสือจุฬานะคะ หาไม่ยาก ร้านนี้เราว่าเหมาะกับการพาคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่มาทาน รับรองว่าท่านประทับใจแน่ๆ และ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หากไปทานอาหารที่ร้าน แล้ว Check in , ถ่ายรูปพร้อมใส่ #rabbitinthekitchen จะได้รับส่วนลด 10% ด้วยนะคะ วันนี้จบเรื่องราวแห่งการกินเพียงเท่านี้ Enjoy Eating ทุกคนค่ะ ^_^
[CR] รีวิว ร้านอาหาร Rabbit in The Kitchen อาหารอร่อย..มักมีที่มา
ด้วยความสงสัยก็เลยแอบถามกับพนักงานว่า ทำไมสัญลักษณ์ร้านต้องเป็นเหมือนเครื่องหมายตกใจ 2 อัน คือจริงๆ แล้วไม่ใช่เครื่องหมายตกใจหรอก แต่เป็นรูปหูกระต่าย ตามชื่อร้าน และทำไมต้องกระต่าย พนักงานก็เล่าให้ฟังเพิ่มอีกว่า เป็นเพราะ สมัยก่อนคนไทยโบราณจะต้องมี “กระต่าย” ติดบ้านไว้ทุกครัว “กระต่าย” ที่ว่านี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะคะ แต่เป็นเครื่องขูดมะพร้าว และทางร้านเองก็อยากให้คนที่มาทานอาหารที่ร้าน Rabbit in The Kitchen นั้นรู้สึกสบาย เหมือนกับว่าได้ทานอาหารอยู่ที่บ้านตัวเองค่ะ
นอกจากชื่อร้านและสัญลักษณ์แล้ว เมนูอาหารของร้าน Rabbit in The Kitchen ก็ล้วนมีที่มาที่ไป และมีเรื่องเล่าทั้งหมด บางเมนูก็เป็นเมนูอาหารโบราณ ขนาดว่าเราเป็นคนสนใจและชอบเรื่องเก่าๆ โบราณๆ แล้ว บางชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ อย่าง “ส้มฉุน” “ส้มซ่า” “แกงรัญจวน” “เห่าดง” “ยำญวน” ฯลฯ ซึ่งแต่ละเมนูจะมีเรื่องราวความเป็นมาเขียนกำกับไว้ที่เมนูค่ะ แต่ถ้าอยากรู้มากขึ้น พนักงานที่ร้านก็สามารถเล่าเรื่องราวของอาหารได้นะคะ
อย่างเมนู “น้ำพริกลงเรือ” เนี่ย พนักงานก็เล่าให้เราฟังว่าสมัยก่อนเวลาเจ้านายในวังเสด็จไปไหนก็ต้องอาศัยเรือ และต้องมีการตระเตรียมอาหารลงเรือไปด้วย น้ำพริกดูจะเป็นเมนูที่พื้นฐานที่สุดก็เลยนำน้ำพริกมาคลุกกับข้าว แล้วก็เอาติดเป็นเสบียงอาหารยามนั่งเรือไปไหนมาไหน ก็เลยเรียกชื่อว่า “ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือ” นั่นเองค่ะ ฟังไปก็เพลินดีเหมือนกันได้ความรู้เยอะมากเลยทีเดียว
เมนูอาหารเด็ดๆ ของที่ร้านนี้ที่เป็นอาหารไทยก็จะมี ยำเนื้อย่างเสด็จ (ถ้าใครไม่ทานเนื้อ จะเปลี่ยนเป็นหมูก็ได้นะคะ) , แกงรัญจวน หมูกรอบท่านสมุห์ , ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือ, ส้มฉุน เมนูที่เอาใจคนต่างชาติก็จะมี กุ้งสิงคโปร์ , แกงส้มแก่นคูน ไข่เจียวกากหมู, นีซวสสลัด
ส่วนเมนูอาหารที่เราเลือกก็จะมีดังนี้ค่ะ
1. ยำหมูย่างเสด็จ
เป็นเนื้อหมูที่ไม่เหนียวเลย แถมเนื้อหมูยังมีรสชาติจากการหมักมาอย่างดี มีรสชาติเผ็ดนิดๆ ทานแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทานหมูร้องไห้ หรือเสือร้องไห้ แต่อร่อยกว่านั้นค่ะ
2. ข้าวขยำปู
เมนูนี้น่าจะเหมาะกับเด็กหรือคนที่ไม่ชอบทานรสจัด เหมือนข้าวสวยคลุกกับเนื้อปูที่เป็นชิ้นๆ ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดอีกหน่อย อร่อยเลย
3. สปาเก็ตตี้ไส้อั่ว
เป็นเมนูสปาเก็ตตี้ที่ทานแล้วไม่เลี่ยน คำแรกที่ทานเข้าไปกลิ่นหอมของไส้อั่วย่างหอมมาก เหมาะกับคนที่ชอบรสจัดนิดหน่อย เมนูนี้น่าจะถูกปากคนไทย และผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดทานอาหารฝรั่งเท่าไหร่ อย่างดี ถ้าพาคุณผู้ใหญ่ไป ลองสั่งเมนูนี้ดูนะคะ เราว่าน่าจะชื่นชอบ
4. กุ้งสิงคโปร์
ปลื้มกับความสด และความใหญ่ของกุ้ง อร่อยมาก ทั้งเนื้อกุ้งเต็มๆ และซอสที่ราดมา ไม่หวานอย่างที่คิดไว้ มีส่วนผสมของเหล้าจีนนิดหน่อย แค่พอให้มีกลิ่น ไม่มากถึงขนาดทำให้เมาได้นะคะ
5. แกงรัญจวน
เมนูนี้ชอบมากที่สุด รสชาติออกเปรี้ยวหน่อย กึ่งๆ ต้มยำ กับ ต้มแซ่บผสมกัน หอมกลิ่นกะปิ และ ใบสาระแหน่ ทานง่าย คล่องคอ ทานแล้วติดใจมากๆ
6. ส้มฉุน
มาทานร้านนี้ก็เพิ่งรู้ว่า คนโบราณเรียกลิ้นจี่ว่า ส้มฉุน เป็นของหวานทานง่าย และสดชื่นมากค่ะ หลักๆ ก็มีลิ้นจี ลำไย ขนุน มะม่วง แล้วราดน้ำเชื่อม น้ำแข็ง โรยหน้าด้วยหอมเจียวทอด ถ้าใครไม่ชอบหอมเจียวอย่าเพิ่งปฎิเสธไปนะคะ ขอให้ลองก่อน เพราะกลิ่นไม่แรงอย่างที่คิด แถมพอทานคู่กับผลไม้และน้ำเชื่อมแล้ว อร่อย สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ของหวานนี้เหมาะกับ Summer มากจริงๆ
7.Rabbit Mess
อันนี้เป็นของหวานที่เราชอบที่สุด ภายใต้วิปครีมข้างล่างจะเต็มไปด้วยผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ เช่น เม็ดเสาวรส แตงโม มะม่วง กีวี ฯลฯ เวลาทานแล้วตักลงไปข้างล่างจะสนุกกับการทายว่า สิ่งที่เราตักได้และทานอยู่คือผลไม้อะไร กับ เม็ดของเสาวรสที่แตกอยู่ในปาก เป็นเมนูที่อร่อยและสนุกสนานดีค่ะ
8. ลิ้นจีมาการิต้า
เป็นเครื่องดื่มแบบ ม็อกเทล คือทำเลียนแบบเหมือน ค็อกเทลเลย แต่ไม่ผสมแอลกอฮอล์เท่านั้นเองค่ะ หอมกลิ่นลิ้นจี่มาก ดื่มแล้วสดชื่นดี
9. ชาไทย เฉาก๊วย
หวานตามแบบฉบับชาไทยโบราณ แต่ที่ชอบอยู่อย่างนึงของเครื่องดื่มนี้คือ เฉาก๊วยที่ขูดเป็นเส้น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครขูดเฉาก๊วยเป็นเส้นแล้วนะคะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม
ทั้งหมดนี้ทานกัน 2 คน แหะๆ ก็เมนูน่าทานทั้งนั้นเลย แถมใช้พลังงานไปกับการเดินช้อปปิ้งมาทั้งวัน เลยขอจัดเต็มสักหน่อย
สรุปเรื่องความชอบของเมนูอาหาร : ส่วนตัวแล้ว เมนูที่รู้สึกว่าชอบมากที่สุดก็จะมี แกงรัญจวน ยำหมูย่างเสด็จ กุ้งสิงคโปร์ (เมนูนี้แน่นอน เพราะเป็นคนชอบกินกุ้งมาก) ส่วนของหวานเราชอบ Rabbit Mess เป็นเหมือนผลไม้ตามฤดูกาล หลายๆ ชนิดมารวมกัน บางอย่างก็เปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง ถ้าใครชอบเสาวรสขอบอกว่าเมนูของหวานนี้ห้ามพลาดเพราะหอมกลิ่นเสาวรสมาก แถมตักไปก้นๆ ถ้วยจะมีเม็ดของเสาวรสอยู่เต็มเลย ทานแล้วเพลิน สดชื่นมากๆ ด้วยค่ะ
สนนค่าเสียหายของอาหารมื้อนี้ รวมแล้วก็ตามบิลที่เห็นค่ะ แต่ต้องยอมรับร้าน Rabbit in The Kitchen ค่อนข้างเลือกใช้วัตถุดิบในการปรุงอาหารอย่างดีมากๆ พิถีพิถันจริงๆ เมื่อทานแล้วจะรู้เลยว่าเลือกแต่ของดีๆ มาประกอบอาหาร แถมด้วยบริการที่ดีเยี่ยม เราว่าร้านนี้โอเคเลยค่ะ ดูมีอะไรหลายอย่างที่มากกว่าแค่ร้านอาหาร
ถ้าหากใครมีโอกาสได้แวะมาทาน แล้วอยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติม สามารถสอบถามกับพนักงานที่ร้านได้เลยนะคะ เค้ายินจะดีบอกเล่าให้ฟังด้วยความเต็มใจค่ะ Rabbit in The Kitchen อยู่ที่สยาม ซอย 11 เดินทางง่าย หาง่ายค่ะ อยู่ถนนเลนส์ฝั่งตรงข้ามกับศูนย์หนังสือจุฬานะคะ หาไม่ยาก ร้านนี้เราว่าเหมาะกับการพาคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่มาทาน รับรองว่าท่านประทับใจแน่ๆ และ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หากไปทานอาหารที่ร้าน แล้ว Check in , ถ่ายรูปพร้อมใส่ #rabbitinthekitchen จะได้รับส่วนลด 10% ด้วยนะคะ วันนี้จบเรื่องราวแห่งการกินเพียงเท่านี้ Enjoy Eating ทุกคนค่ะ ^_^