ฆาตกรรมของคาร์ล แม็คคาร์ทนีย์



คุณหมอเบเนดิกต์กำลังก้าวลงมาจากรถม้า   รองเท้าหนังที่สวมอยู่เปียกโชก   เพราะสายฝนที่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว   บ่าวรับใช้รีบพาเขาเข้ามายังโถงทางเดินภายในคฤหาสน์   ทันทีที่คุณหมอเบเนดิกต์ก้าวเข้ามาภายในตัวโถงแห่งนี้   แวบหนึ่งเขาอดคิดถึงห้องของผู้ป่วยตัวเองไม่ได้
มันมืด และมีกลิ่นอับ  เหมือนกับไม่ได้เปิดหน้าต่างรับแสงแดดมานานแล้ว   มันชวนหดหู่และไม่สบายใจ   สิ่งที่ทำให้มันดูไม่เป็นคฤหาสน์ร้าง ก็คือเครื่องเรือนที่ยังแวววาว   และบรรดาคนรับใช้ที่แต่งกายเรียบร้อย  มีมารยาทและรู้หน้าที่เป็นอย่างดี

พวกเขานำเสื้อคลุมตัวใหม่มายื่นให้  พร้อมกับบรั่นดี

แต่คุณหมอเบเนดิกต์ตอบรับแค่เพียงเสื้อคลุมเท่านั้น   เขามีนิสัยไม่ดื่มอะไร ตราบใดที่เขาต้องมาในหน้าที่ของ ‘คุณหมอ’

โดยแทบไม่ต้องรอ  ชายคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นที่บันไดกลางโถง   ร่างสูงใหญ่นั้นแต่งกายดูภูมิฐาน    ท่าทางเขาดูนับเวลาถอยหลัง รอการมาของหมอเบเนดิกต์อยู่นานแล้ว   ชายคนนั้นจับปลายซิการ์ออกจากปาก   ปล่อยควันสีเทาให้ล่องลอยไปมา   ดวงตาฉายแววไม่สบายใจอย่างชัดเจน

“คุณหมอเบเนดิกต์   กำลังรอคุณอยู่เลยครับ”   เสียงทุ้มใหญ่พูดกับเขา   “ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง   ที่ต้องทำให้คุณลำบาก  เดินทางมาท่ามกลางฝนที่ตกหนักเช่นนี้”

“ด้วยความยินดีครับ   เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”  หมอตอบ   ขณะที่จับมือกัน

ชายคนนี้  ดูมีอายุห้าสิบกว่าปี  แต่ยังมีร่างกายแข็งแรง และดูสง่า   ทุกอย่างที่เป็นเขา ล้วนบ่งบอกว่าเป็นคนในแวดวงชั้นสูง   ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง  การสูบซิการ์  หรือเสื้อคลุมผ้าเนื้อดี   --  แต่คุณหมอเบเนดิกต์ก็สังเกตเห็นได้ว่า  ชายตรงหน้าไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อย    หน้าผากเขามีเส้นเลือดปูดออกมา   และดวงตาก็มีรอยคล้ำเหมือนอดหลับอดนอนมาหลายคืน

“เขาอยู่ไหนครับ”   หมอกระซิบถาม  

ชายร่างใหญ่เหลือบมองบรรดาคนใช้เล็กน้อย   ดูไม่พอใจที่เห็นว่าพวกเขามีอาการอยากรู้อยากเห็น

“ทางนี้ครับ”   แล้วเขาก็นำหมอไปตามบันไดใหญ่   ตัดทะลุโถงทางเดินที่กว้างขวาง  ในที่สุดก็หยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง

กุญแจดอกเล็กถูกส่งให้หมอเบเนดิกต์

“เราต้องลั่นกุญแจทุกครั้งที่เข้าออก  เพราะไม่กล้าปล่อยให้เขาเดินไปไหนมาไหน ตามลำพังครับ”  เขาบอกหมอ  “คืออย่างนี้ครับ  หมอ -- ”
หมอดูชายตรงหน้าถอนหายใจ  รอฟังอย่างไม่เร่งรัด  ให้เวลาเขาเรียบเรียงคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง   แต่สุดท้าย  คำพูดที่เอ่ยออกมา กลับเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ   “-- ไม่มีอะไรครับ --  ขอบคุณจริงๆที่หมอช่วยมา”

แล้วภายในห้องนั้นเอง   หมอเบเนดิกต์ก็พบกับชายคนหนึ่ง  เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่สุดกลางห้อง   

เขามีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม  ปากที่มีหนวดเครา กำลังดื่มไวน์แดงจากแก้วทรงสูงในมือ   ใบหน้าอันหล่อเหลาดูเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา

“พวกเขาบอกผมว่า  วันนี้จะมีคนมาพบผม”   เขาพูดด้วยน้ำเสียงไร้ชีวิตชีวา

“ผมชื่อ เบเนดิกต์ ครับ”   หมอแนะนำตัวสั้นๆ   จากประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่า การแนะนำตัวยืดยาว ไม่เกิดผลดีเสมอไป

“ผมรู้ว่าหมอมาทำอะไร”   เขาจ้องหน้าหมอนิ่ง   “แล้วผมก็รู้ว่าหมอกำลังคิดอะไรอยู่   ผมรู้ว่าสายตาที่หมอมองมานั้นมันหมายถึงอะไร   -- ก็เหมือนกับอีกหลายๆคนในบ้านหลังนี้   --  --  ผมจะบอกอะไรหมอให้น่ะ   คนแบบพวกนั้น… คนแบบหมอ  มันก็ไร้สาระทั้งเพ -- ไม่มีค่าอะไร”

“ด้วยความสัตย์จริง   ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย”  หมอตอบอย่างสุภาพ

“อย่างนั้นหรือ”   เขาพูดเยาะๆ  “หมอไม่ได้คิดว่า ผู้ชายตรงหน้าหมอเป็นคนเสียสติ หรือไง”

“อันที่จริง --  ผมกำลังคิดว่า ทำไมคุณต้องสวมถุงมือด้วย”   

คำตอบที่ได้กลับมา  ทำให้อีกฝ่ายวางแก้วลงบนโต๊ะ   เขาผายมือเชื้อเชิญให้แขกนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตรงข้าม   มีเพียงโต๊ะเล็กๆเท่านั้นที่กั้นระหว่างพวกเขา   คราวนี้ท่าทีเขาเปลี่ยนไป   ราวกับกำลังประเมินหมออยู่ในใจ

“หมออยากรู้ว่าทำไมผมสวมถุงมือ”  เขาทวนประโยคช้าๆ   น้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย

หมอเบเนดิกต์ยักไหล่   “ก็เหมือนกับที่คุณสงสัย  เวลาที่มีใครสักคนสวมหมวก ไปสวดมนตร์ในโบสถ์”

“ผมไม่สงสัย เวลาที่เห็นใครสวมหมวกเข้าไปในโบสถ์  เข้าร้านอาหาร  หรือแม้แต่เข้าบ้านของตัวเอง”

“ครับ   คุณอาจไม่สงสัย”

“ไม่ใช่แค่ อาจ -- แต่ผมจะไม่สงสัย อะไรเลย”   น้ำเสียงฟังดูกร้าวขึ้นเล็กน้อย  “หรืออีกนัยน์หนึ่งก็คือ  ผมไม่สนใจ ในเรื่องของคนอื่น”

หมอเบเนดิกต์ยกมือยอมแพ้   ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  ดูไม่เดือดร้อนอะไรกับความ-ดันที่ได้รับ

“นั้นเป็นสิ่งที่พวกหมอชอบทำกันหรือ”   เขาเอ่ยปากถาม   ดื่มไวน์ในแก้วอีกครั้ง

“ทำอะไรครับ”

“สังเกตมือของคนอื่น”

“ไม่ครับ คุณแม็คคาร์ทนีย์ -- --”  

“อย่า !”  เสียงเขาตวาดลั่นห้อง   ดูคล้ายว่าเสียการควบคุมตนเองไปชั่วขณะ  “อย่าเรียกผมชื่อนั้น -- ไม่ใช่ด้วยนามสกุล --  เรียกผมว่า คาร์ล”

“ขออภัยด้วย -- ได้ครับ  คุณคาร์ล --  ผมจะเรียกคุณตามนี้”

“แล้วนั้น --”  คาร์ลพยักเพยิดไปทางหน้าต่างห้องที่มืดสลัว   ร่างหญิงสาวอีกคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้พวกเขา   ใบหน้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  ไม่สนใจการสนทนาที่เกิดขึ้นภายในห้อง  “-- นั้นคือ อีฟวอน”

หมอเบเนดิกต์มองตาม   จ้องมองหญิงสาวที่ชื่ออีฟวอนอยู่แวบหนึ่ง  ก่อนจะจัดท่านั่งใหม่  แผ่นหลังเหยียดตรงขึ้น  ประสานมือที่ปลายคาง

“เธอมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหรือ”  เขาถามน้ำเสียงสุภาพ

“ผมอยากมีคนอยู่เป็นเพื่อน”  คาร์ลตอบ  “บางครั้งผมก็เป็นคนตัดสินใจเองไม่ค่อยได้  หมอรู้ไหม   ผมต้องการผู้หญิงสักคนมาช่วยผมคิด”

“อีฟวอนมาอยู่นานหรือยังครับ”

อีกครั้งที่คำถามของเขาทำให้คาร์ลดูแข็งกร้าวขึ้นมา   สายตาเขาดูไม่พอใจ เหมือนกำลังถูกล้ำเส้น

“หมอกำลังจะถามผมว่า  อีฟวอนเป็นต้นเหตุหรือไม่  อย่างนั้นหรือเปล่า”  คาร์ลโวย   “คุณเป็นหมอที่แย่มาก   หมอกำลังตั้งแง่กับคนที่หมอแทบไม่รู้จักด้วยซ้ำไป!”

“ใจเย็นครับ  คุณคาร์ล   ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้คุณไม่สบายใจ  หรือก่อปัญหาอะไรให้แก่ใคร  เชื่อผมเถอะครับ  ผมมาที่นี่ด้วยเจตนาอันดี  การทำให้คุณทุกข์ใจ  คือสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะเห็น   ทุกคำถามที่ผมถาม  ผมถามไปตามประสาคนแก่ที่อยากรู้อยากเห็น -- -- มันเป็นนิสัยแย่ๆ ที่หมอแก่ๆมักจะเป็นกัน -- แค่นั้นจริงๆ”

คาร์ลฟังคำพูดนั้นด้วยอาการที่สงบลง   เหลือบมองอีฟวอนเล็กน้อย  “อีฟวอนมาอยู่ก่อนเกิดเหตุประมาณสามวัน”

“เธอช่วยให้คุณสบายใจขึ้นสิน่ะครับ”

คาร์ลไม่ตอบ

“อีฟวอนช่วยคุณคิดอะไรหรือ”

คาร์ลผงะไป   เขาส่งสายตาหวาดระแวงไปยังอีฟวอน  ราวกับกลัวว่าเธอจะได้ยินสิ่งที่เขาถาม    แล้วคาร์ลก็กระซิบปราม ให้เขาลดเสียงลง

“หมอเก็บความลับได้ไหม”   เขาถามแผ่วเบา   ชะโงกหน้ามาแทบจะถึงกลางโต๊ะ   “หมอเก็บความลับผมได้หรือเปล่า   อย่าบอกใครว่าวันเกิดเหตุ อีฟวอนเป็นคนอยู่กับผมตลอดเวลา”

หมอเบเนดิกต์รับคำ

“หมอจะหลุดปากบอกสายตรวจ  บอกเจ้าเมือง  หรือบอกใครไหม”

หมอเบเนดิกต์ยืนยันว่าเขาจะไม่ปริปากบอกใคร

ไม่รู้เป็นเพราะบุคลิกของหมอที่ดูน่าไว้ใจ   หรือเป็นเพราะคาร์ลไม่อาจทนรับความเงียบอันน่าอึดอัดภายในห้องได้อีกต่อไป   เขาจึงตัดสินใจในนาทีนั้นเอง  ว่าเขาจะบอกทุกอย่างแก่หมอคนนี้

เขาเหลือบมองอีฟวอน  แต่อีฟวอนยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม   --  คาร์ลทดลองเรียกชื่อหล่อนดังๆสองสามครั้ง    เมื่ออีกฝ่ายไม่ขานรับกลับมา  เขาจึงดูกล้าที่จะพูดมากขึ้น

“หมอรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วใช่ไหม”   เขากระซิบถาม

“ครับ  ผมทราบแล้ว”  หมอเบเนดิกต์ตอบ   “แต่ผมเป็นคนอายุมากแล้ว   ความจำไม่ค่อยจะดี  จำไม่ได้ว่าข่าวไหนเป็นเรื่องโกหก  หรือเรื่องจริง”

คาร์ลหัวเราะเสียงสูง   “ผมจะบอกหมอให้แน่ะ   ว่าหมอน่ะโกหกไม่เก่งเอาซะเลย   ไม่มีใครลืมข่าวเรื่อง  เจ้าของโรงงานยาสูบ เป็นฆาตกรเลือดเย็น ได้หรอก   ไม่อย่างแน่นอน  ในเมื่อคนที่ผมฆ่าทิ้งก็คือภรรยาของท่านนายพล  -- ผมฆ่าหล่อนไปเสียแล้ว”

คำพูดนั้นฟังดูราบเรียบ  ไม่ได้แสดงอาการวิตกจริตออกมาสักนิด  คาร์ลดูสบาย ราวกับว่ากำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศ  ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนตาย

“ทำไมคุณถึงฆ่าเธอล่ะครับ”   หมอเบเนดิกต์จับจ้องไปยังชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา

“มอลลี่ -- เธอเป็นผู้หญิงที่อันตราย”   คาร์ลพูดสุ้มเสียงทุ้มต่ำ   “เหตุผลมันก็แค่นั้นล่ะครับหมอ  แค่เหตุผลนี้เหตุผลเดียว  ก็มากพอให้เธอตาย  ถ้าไม่ใช่เพราะผม ก็ต้องมีคนอื่นฆ่าเธอทิ้งสักวันอยู่ดี”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าเธอดวงสั้นอย่างนั้นล่ะครับ  คุณคาร์ล   คุณไม่ชอบเจ้าหล่อนหรือ”

หมอเบเนดิกต์รู้ดีว่าเจ้าของโรงงานยาสูบผู้นี้ กับหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่ว่า ได้มีสัมพันธ์กันเกินกว่า คนรู้จัก  -- จะเป็นสถานะใดก็สุดแล้วแต่จะนึกคิดกันไป  

“หมออาจจะคิดว่าผมเป็นชู้กับมอลลี่”   คาร์ลพูดช้าๆ   “คนหลายคนก็พูดกันไปปากต่อปาก  พูดในสิ่งที่พวกเขาคิด ไม่ใช่เห็น   แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่  เหตุผลของเรื่องนี้  ก็มีแค่ผมกับมอลลี่เท่านั้น ที่รู้ว่าทำไม”

คาร์ลประสานมือที่ปลายคางเหมือนหมอเบเนดิกต์

“แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะบอกหมอ   สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ  เธอบีบบังคับให้เรื่องมันจบลงแบบนี้   เธอบีบบังคับให้ผมต้องจนตรอก  ต้องขังตัวเองอยู่ในห้องนี้เป็นวันๆ   ….   แล้วอีฟวอนก็มาหาผม”

คาร์ลมองไปยังอีฟวอน  ที่ตอนนี้กำลังเดินมานั่งที่ขอบเก้าอี้เขา   เขายิ้มให้เธอ  มองเธอด้วยสายตาไว้เนื้อเชื่อใจ

“คุณเป็นเพื่อนกับอีฟวอนมานานแล้วหรือ”

“เธอเป็นเพื่อนกับผมมานานแล้ว  -- เธอมาช่วยผมเสมอ ในเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือ   เธอปลอบผมว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร  ผมควรเลิกกังวลเรื่องมอลลี่เสียที”

หมอเบเนดิกต์มองไปยังอีฟวอนที่นั่งข้างๆคาร์ล  ในขณะที่ฟังทุกอย่าง ...มันไม่สำคัญอีกต่อไป ว่าเขาคิดว่าอย่างไร   มันสำคัญที่คาร์ลคิดอะไรต่างหาก

“ผมจำไม่ได้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น   ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า  พบว่าตัวเองผล็อยหลับไปบนเก้าอี้   

แล้วปลายเท้าของผมก็เหยียบลงบนเส้นผมของผู้หญิงคนหนึ่ง   ผมเธอแผ่สยายกองอยู่บนพรม  ทุกอย่างบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงฉาน  -- มอลลี่นอนครวญครางอยู่บนกองเลือด   ร่างของเธออยู่ตรงหน้าผม  ตาของเธอเบิกโพลง  จ้องมองมายังผม  เหมือนขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นเอง  ที่อีฟวอนส่งมีดให้แก่ผม --”

คาร์ลหลับตา  สูดลมหายใจผ่านฝ่ามือที่ประสานกัน

“โอ้ พระเจ้า -- ตอนแรกผมคิดว่าผมจะไม่กล้าทำอะไรมอลลี่   แต่ทันทีที่ผมรับมีดจากอีฟวอน  มันเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นในใจของผม   ใจของผมเต้นเป็นจังหวะที่มั่นคง  เสียงมันดังหนักแน่น จนกลบเสียงครวญของมอลลี่  --
    มีดในมือผมกลายเป็นสิ่งที่มีอำนาจพิพากษายิ่งกว่าคัมภีร์สวดมนตร์
    เพียงเสียงร่ำไห้ร้องขอชีวิตของมอลลี่ ก็ไม่อาจหยุดผมได้ -- เธอหยุดผมไม่ได้อีกแล้ว --  ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่