สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
แปลกนะ
ที่บอกว่าห้ามดัดแปลงไม่งั้นจะไม่หลงเหลือต้นฉบับให้ดู
แต่เอาเข้าจริง พวกที่ให้ดัดแปลงนี่แหละ โคตรจะมีต้นฉบับให้ดูเพียบ
ดนตรีตะวันตกทั้งหลายที่มีดัดแปลงจนทุกแนวไปกระทั่งบูชาปีศาจ
ก็ยังหลงเหลือต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัด แถมต้นฉบับเองแหละที่เรียกว่าเลิศหรูอลังการณ์ คนมีรสนิยมสูงกะคนมีตังค์เท่านั้นถึงจะดูได้
แต่ของที่ไม่ยอมให้ดัดแปลงต่างหาก ที่กำลังจะตายลงทุกวัน
บางทีการยอมให้ดัดแปลงนั่นแหละมันจะทำให้ผู้คนมาสนใจ
และเมื่อผู้คนมาสนใจ ก็จะแสวงหาต้นกำเนิดของมันเอง
แต่การไม่ยอมให้แตะ ไม่ยอมให้ดัดแปลง ก็เลยไม่มีความน่าดึงดูดความน่าสนใจเพราะดูที่ไหนก็เหมือนกัน จะเข้าไปศึกษาเผยแพร่ก็ยาก มันเลยตายไปในที่สุด
ที่บอกว่าห้ามดัดแปลงไม่งั้นจะไม่หลงเหลือต้นฉบับให้ดู
แต่เอาเข้าจริง พวกที่ให้ดัดแปลงนี่แหละ โคตรจะมีต้นฉบับให้ดูเพียบ
ดนตรีตะวันตกทั้งหลายที่มีดัดแปลงจนทุกแนวไปกระทั่งบูชาปีศาจ
ก็ยังหลงเหลือต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัด แถมต้นฉบับเองแหละที่เรียกว่าเลิศหรูอลังการณ์ คนมีรสนิยมสูงกะคนมีตังค์เท่านั้นถึงจะดูได้
แต่ของที่ไม่ยอมให้ดัดแปลงต่างหาก ที่กำลังจะตายลงทุกวัน
บางทีการยอมให้ดัดแปลงนั่นแหละมันจะทำให้ผู้คนมาสนใจ
และเมื่อผู้คนมาสนใจ ก็จะแสวงหาต้นกำเนิดของมันเอง
แต่การไม่ยอมให้แตะ ไม่ยอมให้ดัดแปลง ก็เลยไม่มีความน่าดึงดูดความน่าสนใจเพราะดูที่ไหนก็เหมือนกัน จะเข้าไปศึกษาเผยแพร่ก็ยาก มันเลยตายไปในที่สุด
ความคิดเห็นที่ 47
เราเป็นคนนึงที่เรียนนาฏศิลป์ตั้งแต่เด็กจนถึงป.ตรี อยากจะบอกว่า นาฏศิลป์ไม่ได้มีความน่ากลัวเลยสักนิด นาฏศิลป์เป็นศิลปะวัฒนธรรมชั้นสูงของไทยเรามาตั้งแต่สมัยโบราณ มีจารีตประเพณี ความเชื่อเคล็ดลางที่ยึดถือปฏบัติมานานมากแล้ว บางสิ่งบางอย่างก็ยังใช้กันอยุ่ แต่บางอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไป หรือสูญหายไปตามกาลเวลา ตั้งแต่แรกเริ่มฝึกหัด จะมีการแสดงความเคารพบูชาอาจารย์ก่อนเสมอ และในเวลาการแสดงก็จะมาการขอขมาลาโทษกัน จารีตประเพณีที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติก็จะมีการตั้งเตียง ตั้งโรง การใช้เพลงหน้าพาทย์ในการแสดง
ส่วนจารีตที่เป็นข้อห้าม เช่นห้ามวางหัวยักษ์ซ้อนหัวลิง เพราะเคยมีเรื่องเล่าว่า ที่วังจันทรเกษมที่ตั้งกรมมหรสพเดิมในสมัยร.6 ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากแสดงเสร็จมีคนนำหัวยักษ์ไปซ้อนหัวลิงและวางกันไม่เป็นระเบียบ พอรุ่งเช้าก็พบว่าตู้ที่ใส่หัวโขนแตกละเอียด หัวโขนตกลงมาฉีกขาด คนที่อยู่ใกล้เคียงบอกว่ากลางคืนได้ยินเสียงดังคล้ายต่อสู้กัน จากเหตุการณ์นี้ ต่อมาจึงห้ามมิให้วางรวมกันอีก ถ้าจะวางต้องมีศีรษะเทพเจ้าหรือฤาษีวางคั่นกลางเสมอ แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่มีหลักฐานแต่ก็ทำให้การจัดวางเป็นระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายของครูที่ต้องการให้วางหัวโขนแบ่งแยกให้เป็นระเบียบง่ายต่อการเก็บ
ส่วนเรื่องสิ่งลี้ลับ จากการที่เราได้อยุ่ในรั้วนาฏศิลป์นี้ ตัวเราเองยังไม่เคยเจอจริงๆสักที ก็มีบ้างที่เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมา แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าคนที่เจอจริงๆก็เป็นเพราะไปลบหลู่ กระทำไม่ดี บางครั้งก็ได้รับการตักเตือน ซึ่งเราเป็นคนที่กลัวสิ่งลี้ลับเหมือนกัน แต่เราคิดอย่างเดียวว่าเราอยู่ในรั้วนี้เสมือนเป็นลูกๆของท่าน ถ้าเราทำดี ท่านจะปกปักรักษาเรา ท่านจะช่วยคุ้มครองเราด้วยซ้ำค่ะ
ส่วนเรื่องการดัดแปลง นาฏศิลปของไทยเราในปัจจุบันมีทั้งการอนุรักษ์และการสร้างสรรค์อยู่เสมอ และอยากจะบอกว่าตั้งแต่บรมครู ครูอาจารย์ทั้งหลายไม่มีใครที่หวงวิชาค่ะ จะหวงไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคนไทยทุกคน เมื่อเวลามีคนมาขอความรู้ขอถ่ายทอด จากที่เราเจอกับตัวเอง ไม่มีครูท่านไหนเลยที่บ่ายเบี่ยง ท่านพร้อมจะให้คำแนะนำเสมอ สอนหมดบอกหมดไม่มีกั๊กไว้ บางท่านอายุมากแล้วยังมาสอน ร่างกายไม่ไหวแล้วก็มี แต่ยังมาสอนเด็กๆ บางท่านอยู่ที่โรงพยาบาลยังให้คำปรึกษาได้ ครูผู้ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญทุกคน พวกเราเรียกว่าพ่อแม่เสมอค่ะ
ปล.เราอยากให้คนไทยที่มีความเชื่อผิดๆกับวัฒนธรรมไทยได้กลับคิดเสียใหม่นะคะ ในตอนนี้เราถือว่าเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์แล้ว เราอยากให้ทุกคนเข้าใจวัฒนธรรมไทยของตนเองให้ลึกซึ้ง ลองมองสิ่งที่เรามีอยู่ ก่อนที่จะไม่เหลืออยู่ให้รุ่นลูกรุ่นหลานนะคะ
ส่วนจารีตที่เป็นข้อห้าม เช่นห้ามวางหัวยักษ์ซ้อนหัวลิง เพราะเคยมีเรื่องเล่าว่า ที่วังจันทรเกษมที่ตั้งกรมมหรสพเดิมในสมัยร.6 ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากแสดงเสร็จมีคนนำหัวยักษ์ไปซ้อนหัวลิงและวางกันไม่เป็นระเบียบ พอรุ่งเช้าก็พบว่าตู้ที่ใส่หัวโขนแตกละเอียด หัวโขนตกลงมาฉีกขาด คนที่อยู่ใกล้เคียงบอกว่ากลางคืนได้ยินเสียงดังคล้ายต่อสู้กัน จากเหตุการณ์นี้ ต่อมาจึงห้ามมิให้วางรวมกันอีก ถ้าจะวางต้องมีศีรษะเทพเจ้าหรือฤาษีวางคั่นกลางเสมอ แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่มีหลักฐานแต่ก็ทำให้การจัดวางเป็นระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นกุศโลบายของครูที่ต้องการให้วางหัวโขนแบ่งแยกให้เป็นระเบียบง่ายต่อการเก็บ
ส่วนเรื่องสิ่งลี้ลับ จากการที่เราได้อยุ่ในรั้วนาฏศิลป์นี้ ตัวเราเองยังไม่เคยเจอจริงๆสักที ก็มีบ้างที่เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมา แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าคนที่เจอจริงๆก็เป็นเพราะไปลบหลู่ กระทำไม่ดี บางครั้งก็ได้รับการตักเตือน ซึ่งเราเป็นคนที่กลัวสิ่งลี้ลับเหมือนกัน แต่เราคิดอย่างเดียวว่าเราอยู่ในรั้วนี้เสมือนเป็นลูกๆของท่าน ถ้าเราทำดี ท่านจะปกปักรักษาเรา ท่านจะช่วยคุ้มครองเราด้วยซ้ำค่ะ
ส่วนเรื่องการดัดแปลง นาฏศิลปของไทยเราในปัจจุบันมีทั้งการอนุรักษ์และการสร้างสรรค์อยู่เสมอ และอยากจะบอกว่าตั้งแต่บรมครู ครูอาจารย์ทั้งหลายไม่มีใครที่หวงวิชาค่ะ จะหวงไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคนไทยทุกคน เมื่อเวลามีคนมาขอความรู้ขอถ่ายทอด จากที่เราเจอกับตัวเอง ไม่มีครูท่านไหนเลยที่บ่ายเบี่ยง ท่านพร้อมจะให้คำแนะนำเสมอ สอนหมดบอกหมดไม่มีกั๊กไว้ บางท่านอายุมากแล้วยังมาสอน ร่างกายไม่ไหวแล้วก็มี แต่ยังมาสอนเด็กๆ บางท่านอยู่ที่โรงพยาบาลยังให้คำปรึกษาได้ ครูผู้ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญทุกคน พวกเราเรียกว่าพ่อแม่เสมอค่ะ
ปล.เราอยากให้คนไทยที่มีความเชื่อผิดๆกับวัฒนธรรมไทยได้กลับคิดเสียใหม่นะคะ ในตอนนี้เราถือว่าเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์แล้ว เราอยากให้ทุกคนเข้าใจวัฒนธรรมไทยของตนเองให้ลึกซึ้ง ลองมองสิ่งที่เรามีอยู่ ก่อนที่จะไม่เหลืออยู่ให้รุ่นลูกรุ่นหลานนะคะ
ความคิดเห็นที่ 74
“วิถีแบบไทยๆ” กับคำตอบว่าทำไมความคิดใหม่ๆ ถึงเกิดขึ้นได้ยากบนแผ่นดินนี้
ข้อความข้างต้นฟังดูแล้วอาจแทงใจดำ แต่นี่คือความจริงที่คนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ (และไม่มีใครกล้าที่จะออกมาบอก)
หัวข้อนี้ผมได้มาจากการไปฟังเสวนา “Very Thai: Cultural Filter” โดย Philip Cornwel-Smith ผู้เขียน “Very Thai” หนังสือที่ว่าด้วยวัฒนธรรม “แบบไทยๆ” ที่เราเองก็ไม่เคยสงสัย หาความหมาย หรือ ตั้งคำถามกับพวกมันมาก่อน เช่น การเอาทิชชู่สีชมพูมาห่อช้อนส้อม หรือ ทำไมไฮโซต้องตีกระบัง
จากความรู้ที่ได้รับตลอดเกือบสองชั่วโมงจากหนึ่งในคนที่มองสังคมไทยแบบถึงกึ๋นที่สุด
ประโยคที่ผมฟังแล้วถึงกับต้องหยิบสมุดมาจดในทันที (และเป็นที่มาของ blog นี้) คือ
Foreign Designers of ‘Thai Style’ were more Freedom
นักออกแบบชาวต่างชาติมีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
และ ตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่คนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยทั้งสิ้น เช่น
จิม ทอมป์สัน เจ้าพ่อแห่งไหมไทย หรือ จิโร เอนโดะ ศิลปินเลือดปลาดิบที่กำลังมาแรง เป็นต้น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะเขาเป็นคนต่างชาติ? เพราะเขารู้จักคนมากกว่า? เพราะเขาดังอยู่แล้ว? ฯลฯ
จริงๆ แล้ว คำตอบที่เราค้นหาอยู่ในสไลด์แผ่นที่อยู่ก่อนหน้านี้
แผ่นนี้
Deconstruct = Discrete?
การล้มแนวคิดเดิมแล้วสร้างใหม่ = การลบหลู่?
และตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่เป็น “ความเป็นไทยแท้” ที่ทำให้ไอเดีย แนวคิด หรือผลงานบางอย่างในไทยไม่อาจเกิดได้ (หรือตายไปด้วยความน่าเสียดาย)
ทีนี้เราลองมาดูกันทีละหัวข้อกัน
1. ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ – ไม่เชื่อไม่ว่าแต่อย่ามายุ่ง
ผี / ขอหวย / ไสยศาสตร์ / น้ำมนต์ / เกจิ / GT200 / ฯลฯ
คนที่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ต่างก็เชื่ออย่างสุดใจ และพร้อมเป็นกำแพงที่คอยกั้นคนที่อยากจะเข้าไปพิสูจน์อย่างสุดชีวิต
ทั้งๆ ที่ทำในความเป็นจริง (และที่ทำกันอยู่ทั่วโลก) คือการ “ไม่เชื่อต้องลบหลู่”
เพื่อที่จะได้เห็นกันชัดๆ ว่า แนวคิดที่มีอยู่แต่เดิมนี้มีข้อบกพร่องตรงไหน หรือ สามารถนำมาต่อยอด ตีความใหม่ หรือ แตกย่อยออกมาเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง
2. ไม่มีการกระตุ้นให้ตั้งคำถาม (โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในขั้นเหนือกว่า)
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีเด็กไทยคนหนึ่งยกมือถามครูในวิชาสังคมว่า
“ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร แล้วที่ไทยแพ้พม่านี่นับไหมครับ?”
แล้วห้องเรียนจะเป็นอย่างไร (และ ชะตากรรมของเด็กคนนี้จะเป็นแบบไหน)
ผมคิดว่าคำถามที่สร้างสรรค์มีคุณค่ามากกว่าคำตอบตามตำราอยู่หลายเท่านัก
เพราะการตั้งคำถามที่ดีจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ถาม และ ผู้ถูกถาม อย่างเอนกอนันต์
แต่บรรยากาศเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นด้วยแนวคิดแปลกๆ ทำนองว่า จะรู้ไปทำไม / น่ารำคาญ / เด็กอวดฉลาด / ปีนเกลียว และอื่นๆ อีกมากมายจากคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า
ระบบแบบนี้ทำให้เด็กไทยเริ่มขี้เกียจที่จะถาม ขี้เกียจที่จะกล้าคิดแหวกแนว
เพราะไม่อยากแส่หาเรื่องให้เป็นที่เหม็นขี้หน้าของอาจารย์ (และผู้รู้ในแขนงอื่นๆ ) เสียเปล่าๆ
และแน่นอนว่า ไอเดียดีๆ ก็อาจจะตายไปพร้อมกับใจอันห่อเหี่ยวของคนๆ นั้น
3. ความอาวุโสเป็นใหญ่เหนือกว่าความสวยงามและวิธีการ
รู้จัก พิเชษฐ กลั่นชื่น ไหมครับ?
ในสายตาชาวโลก เขาคือศิลปิน นักเต้นโขนที่คนทั่วโลกปรบมือชื่นชม
ในสายตาของกรมศิลปากรและคนโขนของไทย เขาคือคนทำลายศิลปะโขน และ ไม่มีใครยอมรับเป็นพวก
เพราะ พิเชษฐนำโขนที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยมาแยกส่วนและตีความใหม่
เช่น การแสดงโขนขาวดำ หรือ การแสดงโขนที่ตัดทอนความสวยงามของชุดเพื่อเน้นที่ท่วงท่าการรำโดยการสวมแค่หัวโขน และ กางเกงใน!
พิเชษฐ เป็นหนึ่งในคนที่ Philips ยกตัวอย่างในการเสวนาครั้งนี้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในแวดวงศิลปะ (และอีกหลากหลายวงการ) ของบ้านเรา คือ
‘ความงดงามหรือคุณค่าในชิ้นงาน คือ สิ่งที่ศิลปินอาวุโสเห็นชอบแล้วว่าดี’
แทนที่เราจะอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยการนำลงมาต่อยอดและให้ทุกคนเข้าถึง
แต่เรากลับเลือกการนำมันไปเก็บไว้บนหิ้ง เพราะแปะป้ายว่า “ห้ามจับโดยเด็ดขาด”
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่หลายๆ คนจึงเลือกช่องทางเผยแพร่ผลงานของตัวเองโดย “การส่งไปเมืองนอก” เป็นตัวเลือกแรก เพราะมั่นใจว่า ถ้าโลกยอมรับ คนในประเทศไทยถึงจะยอมรับ (แม้ว่าตอนแรกจะด่าซะสาดเสียเทเสียก็ตาม)
4. ‘เรื่องบางเรื่อง’ คนธรรมดาห้ามแตะ
เคยเห็นภาพนี้ไหมครับ
“ภิกษุสันดานกา” ภาพนี้เคยเป็นข่าวโด่งดัง มีพระสงฆ์หลายรูปออกมาต่อต้านให้นำภาพนี้ออกจากการแสดงโชว์ เพราะ ทำให้หมิ่นศาสนาพุทธ ดูหมิ่นสถาบันสงฆ์ เป็นการบอกว่าพระสงฆ์มีพฤติกรรมลุ่มหลงในไสยศาสตร์ดั่งพฤติกรรมของพระในภาพ
ทั้งๆ ที่ภาพนี้ชนะเลิศอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม จากการประกวดผลงานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 53 ประจำปี 2550 และ ที่มาของภาพนี้ก็ยกมาจากในพระไตรปิฎกเองด้วยซ้ำ!
บ้านเรายกเรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ห้ามแตะต้อง
ถ้าใครเข้าไปวิพากย์วิจารณ์(แม้ว่าจะเป็นเจตนาดี) ก็จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนชั่ว คนบาป คนไร้ศาสนาโดยทันที
ทั้งๆ ที่เราต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่าตอนนี้หนึ่งในสถาบันของประเทศเรานั้นเละตุ้มเป๊ะกันมากขนาดไหน
‘ข้อห้าม’ ประมาณนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ ในประเทศนี้เช่นกัน
(ตัวอย่างที่น่าสนใจในหัวข้อนี้ที่ Philips ยกมา คือ
การเปรียบเทียบระหว่าง พระพุทธรูปบนชุดว่ายน้ำของฝรั่ง กับ หุ่นฮิตเลอร์ในร้านขายเสื้อยืดของไทย – เรื่องบางอย่างที่เราเห็นว่าธรรมดา อาจจะเป็นเรื่องที่เซ็นสิทีฟกับอีกคนหนึ่ง)
พอฟังสไลด์หน้านี้จบ ผมก็ได้แต่ขำแห้งๆ ในใจ
เพราะผมเอง เป็นคนไทยที่มานั่งฟังฝรั่งมาอธิบายเรื่องวัฒนธรรมไทยๆ
โดยไม่โดนคนรอบข้างถากถางว่า “จะอยากรู้ไปทำไม” หรือ “บ้าหรือเปล่า” หรือ “ลบหลู่ความเชื่อทำไม”
เพราะว่าเขาไม่ได้ติดอยู่ในบ่วงสี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้น
เพราะว่าเขาเป็น นักออกแบบชาวต่างชาติที่มีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
CR : http://geekjuggler.wordpress.com/2014/03/10/deconstruct-is-descrete
ข้อความข้างต้นฟังดูแล้วอาจแทงใจดำ แต่นี่คือความจริงที่คนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ (และไม่มีใครกล้าที่จะออกมาบอก)
หัวข้อนี้ผมได้มาจากการไปฟังเสวนา “Very Thai: Cultural Filter” โดย Philip Cornwel-Smith ผู้เขียน “Very Thai” หนังสือที่ว่าด้วยวัฒนธรรม “แบบไทยๆ” ที่เราเองก็ไม่เคยสงสัย หาความหมาย หรือ ตั้งคำถามกับพวกมันมาก่อน เช่น การเอาทิชชู่สีชมพูมาห่อช้อนส้อม หรือ ทำไมไฮโซต้องตีกระบัง
จากความรู้ที่ได้รับตลอดเกือบสองชั่วโมงจากหนึ่งในคนที่มองสังคมไทยแบบถึงกึ๋นที่สุด
ประโยคที่ผมฟังแล้วถึงกับต้องหยิบสมุดมาจดในทันที (และเป็นที่มาของ blog นี้) คือ
Foreign Designers of ‘Thai Style’ were more Freedom
นักออกแบบชาวต่างชาติมีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
และ ตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่คนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยทั้งสิ้น เช่น
จิม ทอมป์สัน เจ้าพ่อแห่งไหมไทย หรือ จิโร เอนโดะ ศิลปินเลือดปลาดิบที่กำลังมาแรง เป็นต้น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะเขาเป็นคนต่างชาติ? เพราะเขารู้จักคนมากกว่า? เพราะเขาดังอยู่แล้ว? ฯลฯ
จริงๆ แล้ว คำตอบที่เราค้นหาอยู่ในสไลด์แผ่นที่อยู่ก่อนหน้านี้
แผ่นนี้
Deconstruct = Discrete?
การล้มแนวคิดเดิมแล้วสร้างใหม่ = การลบหลู่?
และตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่เป็น “ความเป็นไทยแท้” ที่ทำให้ไอเดีย แนวคิด หรือผลงานบางอย่างในไทยไม่อาจเกิดได้ (หรือตายไปด้วยความน่าเสียดาย)
ทีนี้เราลองมาดูกันทีละหัวข้อกัน
1. ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ – ไม่เชื่อไม่ว่าแต่อย่ามายุ่ง
ผี / ขอหวย / ไสยศาสตร์ / น้ำมนต์ / เกจิ / GT200 / ฯลฯ
คนที่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ต่างก็เชื่ออย่างสุดใจ และพร้อมเป็นกำแพงที่คอยกั้นคนที่อยากจะเข้าไปพิสูจน์อย่างสุดชีวิต
ทั้งๆ ที่ทำในความเป็นจริง (และที่ทำกันอยู่ทั่วโลก) คือการ “ไม่เชื่อต้องลบหลู่”
เพื่อที่จะได้เห็นกันชัดๆ ว่า แนวคิดที่มีอยู่แต่เดิมนี้มีข้อบกพร่องตรงไหน หรือ สามารถนำมาต่อยอด ตีความใหม่ หรือ แตกย่อยออกมาเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง
2. ไม่มีการกระตุ้นให้ตั้งคำถาม (โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในขั้นเหนือกว่า)
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีเด็กไทยคนหนึ่งยกมือถามครูในวิชาสังคมว่า
“ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร แล้วที่ไทยแพ้พม่านี่นับไหมครับ?”
แล้วห้องเรียนจะเป็นอย่างไร (และ ชะตากรรมของเด็กคนนี้จะเป็นแบบไหน)
ผมคิดว่าคำถามที่สร้างสรรค์มีคุณค่ามากกว่าคำตอบตามตำราอยู่หลายเท่านัก
เพราะการตั้งคำถามที่ดีจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ถาม และ ผู้ถูกถาม อย่างเอนกอนันต์
แต่บรรยากาศเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นด้วยแนวคิดแปลกๆ ทำนองว่า จะรู้ไปทำไม / น่ารำคาญ / เด็กอวดฉลาด / ปีนเกลียว และอื่นๆ อีกมากมายจากคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า
ระบบแบบนี้ทำให้เด็กไทยเริ่มขี้เกียจที่จะถาม ขี้เกียจที่จะกล้าคิดแหวกแนว
เพราะไม่อยากแส่หาเรื่องให้เป็นที่เหม็นขี้หน้าของอาจารย์ (และผู้รู้ในแขนงอื่นๆ ) เสียเปล่าๆ
และแน่นอนว่า ไอเดียดีๆ ก็อาจจะตายไปพร้อมกับใจอันห่อเหี่ยวของคนๆ นั้น
3. ความอาวุโสเป็นใหญ่เหนือกว่าความสวยงามและวิธีการ
รู้จัก พิเชษฐ กลั่นชื่น ไหมครับ?
ในสายตาชาวโลก เขาคือศิลปิน นักเต้นโขนที่คนทั่วโลกปรบมือชื่นชม
ในสายตาของกรมศิลปากรและคนโขนของไทย เขาคือคนทำลายศิลปะโขน และ ไม่มีใครยอมรับเป็นพวก
เพราะ พิเชษฐนำโขนที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยมาแยกส่วนและตีความใหม่
เช่น การแสดงโขนขาวดำ หรือ การแสดงโขนที่ตัดทอนความสวยงามของชุดเพื่อเน้นที่ท่วงท่าการรำโดยการสวมแค่หัวโขน และ กางเกงใน!
พิเชษฐ เป็นหนึ่งในคนที่ Philips ยกตัวอย่างในการเสวนาครั้งนี้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในแวดวงศิลปะ (และอีกหลากหลายวงการ) ของบ้านเรา คือ
‘ความงดงามหรือคุณค่าในชิ้นงาน คือ สิ่งที่ศิลปินอาวุโสเห็นชอบแล้วว่าดี’
แทนที่เราจะอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยการนำลงมาต่อยอดและให้ทุกคนเข้าถึง
แต่เรากลับเลือกการนำมันไปเก็บไว้บนหิ้ง เพราะแปะป้ายว่า “ห้ามจับโดยเด็ดขาด”
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่หลายๆ คนจึงเลือกช่องทางเผยแพร่ผลงานของตัวเองโดย “การส่งไปเมืองนอก” เป็นตัวเลือกแรก เพราะมั่นใจว่า ถ้าโลกยอมรับ คนในประเทศไทยถึงจะยอมรับ (แม้ว่าตอนแรกจะด่าซะสาดเสียเทเสียก็ตาม)
4. ‘เรื่องบางเรื่อง’ คนธรรมดาห้ามแตะ
เคยเห็นภาพนี้ไหมครับ
“ภิกษุสันดานกา” ภาพนี้เคยเป็นข่าวโด่งดัง มีพระสงฆ์หลายรูปออกมาต่อต้านให้นำภาพนี้ออกจากการแสดงโชว์ เพราะ ทำให้หมิ่นศาสนาพุทธ ดูหมิ่นสถาบันสงฆ์ เป็นการบอกว่าพระสงฆ์มีพฤติกรรมลุ่มหลงในไสยศาสตร์ดั่งพฤติกรรมของพระในภาพ
ทั้งๆ ที่ภาพนี้ชนะเลิศอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม จากการประกวดผลงานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 53 ประจำปี 2550 และ ที่มาของภาพนี้ก็ยกมาจากในพระไตรปิฎกเองด้วยซ้ำ!
บ้านเรายกเรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ห้ามแตะต้อง
ถ้าใครเข้าไปวิพากย์วิจารณ์(แม้ว่าจะเป็นเจตนาดี) ก็จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนชั่ว คนบาป คนไร้ศาสนาโดยทันที
ทั้งๆ ที่เราต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่าตอนนี้หนึ่งในสถาบันของประเทศเรานั้นเละตุ้มเป๊ะกันมากขนาดไหน
‘ข้อห้าม’ ประมาณนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ ในประเทศนี้เช่นกัน
(ตัวอย่างที่น่าสนใจในหัวข้อนี้ที่ Philips ยกมา คือ
การเปรียบเทียบระหว่าง พระพุทธรูปบนชุดว่ายน้ำของฝรั่ง กับ หุ่นฮิตเลอร์ในร้านขายเสื้อยืดของไทย – เรื่องบางอย่างที่เราเห็นว่าธรรมดา อาจจะเป็นเรื่องที่เซ็นสิทีฟกับอีกคนหนึ่ง)
พอฟังสไลด์หน้านี้จบ ผมก็ได้แต่ขำแห้งๆ ในใจ
เพราะผมเอง เป็นคนไทยที่มานั่งฟังฝรั่งมาอธิบายเรื่องวัฒนธรรมไทยๆ
โดยไม่โดนคนรอบข้างถากถางว่า “จะอยากรู้ไปทำไม” หรือ “บ้าหรือเปล่า” หรือ “ลบหลู่ความเชื่อทำไม”
เพราะว่าเขาไม่ได้ติดอยู่ในบ่วงสี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้น
เพราะว่าเขาเป็น นักออกแบบชาวต่างชาติที่มีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
CR : http://geekjuggler.wordpress.com/2014/03/10/deconstruct-is-descrete
ความคิดเห็นที่ 7
จริงครับ เห็นด้วยมากๆ คือแบบเห็นญี่ปุ่นเขามีโชว์คาบูกิ โชว์บุนราคุ ฯลฯ กันมหาศาล
บ้านเรานี่ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าใหญ่ๆโชว์กลางกรุงก็ต้องไปหาดูแถวตจว.ที่หาดูยากมาก จะเรียนจะสืบทอดก็ยาก แถมเวลาเด็กหรือนศ.ทำกันเองจะดัดแปลงบ้างเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยสร้างกระแสก็โดนหาว่าลบหลู่บ้างดูหมิ่นบ้าง
คือวันหลังเอ็งเก็บไปโชว์ในพิพิธภัณฑ์อย่างเดียวเลยเหอะ
ที่ดีหน่อยก็พวกลิเกที่ดูจะไม่โดนเรื่องพวกนี้ครอบงำมาก ดูกี่ทีก็สนุกไม่เครียด เห็นแล้วอยากลองไปแสดงมั่ง ฮ่าๆ
บ้านเรานี่ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าใหญ่ๆโชว์กลางกรุงก็ต้องไปหาดูแถวตจว.ที่หาดูยากมาก จะเรียนจะสืบทอดก็ยาก แถมเวลาเด็กหรือนศ.ทำกันเองจะดัดแปลงบ้างเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยสร้างกระแสก็โดนหาว่าลบหลู่บ้างดูหมิ่นบ้าง
คือวันหลังเอ็งเก็บไปโชว์ในพิพิธภัณฑ์อย่างเดียวเลยเหอะ
ที่ดีหน่อยก็พวกลิเกที่ดูจะไม่โดนเรื่องพวกนี้ครอบงำมาก ดูกี่ทีก็สนุกไม่เครียด เห็นแล้วอยากลองไปแสดงมั่ง ฮ่าๆ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมนาฏศิลป์ไทยถึงเต็มไปด้วยความเชื่อ ผี อาถรรพ์ สิ่งลี้ลับ ความน่ากลัว จนไม่น่าเรียน ไม่น่าแตะต้อง น่าบูชามากกว่าเล่น