โซนี่รายงานผลประกอบการประจำปีการเงิน 2013 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2014 ขาดทุนสุทธิ 128,400 ล้านเยน หรือราว 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยกลับไปขาดทุนหนักอีกครั้งเมื่อเทียบกับ
ปีก่อนที่ยังมีกำไร 4,300 ล้านเยน ส่วนยอดขายรวมในปีที่ผ่านอยู่ที่ 7.767 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 14.3%
ผลขาดทุนนี้ทำให้ 10 ปีย้อนหลัง โซนี่มีผลประกอบการขาดทุนรวมมากกว่า 700,000 ล้านเยนแล้ว และถือว่าหนักกว่าที่บริษัทออกมา
ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการ
ขายธุรกิจพีซี (VAIO) จนทำให้เฉพาะส่วนธุรกิจนี้ขาดทุนถึง 91,700 ล้านเยน
ธุรกิจอื่นของโซนี่เองแม้มียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากแต่ก็ล้วนขาดทุน ทั้งกลุ่มโทรศัพท์มือถือ, เกม, โทรทัศน์ มีเพียงธุรกิจภาพยนตร์และเพลงที่ยังทำกำไรได้เพิ่มมากขึ้น
//ส่วน ธุรกิจกล้องและเซ็นเซอร์กล้อง ยังมีกำไรอยู่ครับ (
จากคุณ arjin)
ซีอีโอ Kazuo Hirai และผู้บริหารระดับสูงอีกราว 40 คน ประกาศความรับผิดชอบต่อผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยจะคืนเงินโบนัสของปีนี้ที่ได้รับทั้งหมด รวมทั้งปรับลดเงินเดือนลง 40-50%
ที่มา:
โซนี่,
The Washington Post และ
Bloomberg ผ่าน
Blognone
ผลประกอบการประจำปี Sony กลับมาขาดทุนกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์ หนักกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้มาก
โซนี่รายงานผลประกอบการประจำปีการเงิน 2013 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2014 ขาดทุนสุทธิ 128,400 ล้านเยน หรือราว 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยกลับไปขาดทุนหนักอีกครั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ยังมีกำไร 4,300 ล้านเยน ส่วนยอดขายรวมในปีที่ผ่านอยู่ที่ 7.767 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 14.3%
ผลขาดทุนนี้ทำให้ 10 ปีย้อนหลัง โซนี่มีผลประกอบการขาดทุนรวมมากกว่า 700,000 ล้านเยนแล้ว และถือว่าหนักกว่าที่บริษัทออกมาประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายธุรกิจพีซี (VAIO) จนทำให้เฉพาะส่วนธุรกิจนี้ขาดทุนถึง 91,700 ล้านเยน
ธุรกิจอื่นของโซนี่เองแม้มียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากแต่ก็ล้วนขาดทุน ทั้งกลุ่มโทรศัพท์มือถือ, เกม, โทรทัศน์ มีเพียงธุรกิจภาพยนตร์และเพลงที่ยังทำกำไรได้เพิ่มมากขึ้น
//ส่วน ธุรกิจกล้องและเซ็นเซอร์กล้อง ยังมีกำไรอยู่ครับ (จากคุณ arjin)
ซีอีโอ Kazuo Hirai และผู้บริหารระดับสูงอีกราว 40 คน ประกาศความรับผิดชอบต่อผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยจะคืนเงินโบนัสของปีนี้ที่ได้รับทั้งหมด รวมทั้งปรับลดเงินเดือนลง 40-50%
ที่มา: โซนี่, The Washington Post และ Bloomberg ผ่าน Blognone