สวัสดีพี่น้องชาวพันทิปทุกท่าน
ก่อนหน้านี้ผมตามหา bluetooth headset ดี ๆ ซักอัน อ่านรีวิวนอกจนมึน
user review ในไทยก็น้อย ตัวเลือกในไทยก็มีไม่เยอะนัก ( จริง ๆ คนซื้อ bluetooth headset ดี ๆ แพง ๆ ในไทยก็เยอะนะครับ แต่เค้าไม่ค่อยมารีวิวกัน )
ตามที่กล่าวมา ไหน ๆ ก็ได้ใช้ Jawbone ERA มาซักระยะหนึ่ง และได้มีโอกาสไปลองตัวท็อปของอีกค่ายคือ Plantronics Voyager Edge
ก็เลยอยากมาแชร์ข้อมูลเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่กำลังมองหา bluetooth headset ระดับท็อปมาใช้งาน
Jawbone ERA ( 2014 )
ที่ต้องวงเล็บปีไว้เพราะ Jawbone เคยทำรุ่น ERA มาก่อนแล้ว เป็นตัวท็อปของบรรดา bluetooth headset ภายใต้แบรนด์ Jawbone
มาปีนี้ก็ออกรุ่นใหม่รุ่นเดียว ดีไซน์ใหม่ รวมข้อดีของทุกรุ่นที่เคยมีมาแล้ว ทั้งฟังก์ชั่นตัดเสียงแบบจัดเต็ม ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ดีไซน์สวย ( ด้อยลงจาก ERA รุ่นเก่าแค่อย่างเดียวคือ battery )
สเปคคร่าว ๆ เท่าที่ควรรู้
- ขนาด 4.6 x 2.1 x 1.3 cm
- น้ำหนัก 6g ( บร๊ะ!!!! )
- Wideband Audio ( HD Voice ) Compatible ( แต่เดิมเป็นจุดขายของ Plantronics แต่ Jawbone เพิ่งจะใส่มาในรุ่นนี้ )
- คุยได้ 4 ชม.
- ถ้าใช้ charging case ด้วย จะใช้ได้ 10 ชม.
- ดูแบตเตอรี่ด้วย Jawbone App ในมือถือได้
- ระยะทำการ 10 m ( ลองใช้จริงได้น้อยกว่านี้นิดหน่อย แต่ก็ดีที่สัญญาณทะลุประตู เพดาน ผนังได้พอสมควร )
- support EDR
อ่านผ่าน ๆ ไม่ต้องจำ จุดสำคัญอยู่ที่ talk time ที่ค่อนข้างจะน้อย สำหรับคนที่คุยต่อเนื่องแบบยาวมาก ๆ มี charging case ก็ไม่มีประโยชน์
ดีไซน์
อ่ะ มาดูหน้าตากันก่อน
มีวางขาย 4 สี คือ ดำ เงิน แดง บรอนซ์
ถ้าจะซื้อพร้อม charging case มีสองสีคือ สีดำ และสีเงิน ( ในไทยเห็นมีขายแต่สีเงิน )
ดีไซน์โดดเด่น งานประกอบ วัสดุดูดี น้ำหนักเบา และเล็กมากกกกก
เทียบกับมือ
เทียบกับแมว
หัวข้อนี้ ให้คะแนน 8.5/10 ( สวยดีนะ แต่ดูเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า )
การสอดใส่...เอ้ย สวมใส่
ซิลิโคน หรือ ที่เรียกกันบ้าน ๆ ว่า จุกหูฟัง ทำออกมาได้กิ๊บเก๋ แต่ค่อนข้างใหญ่สำหรับหูคนไทย
ผมใช้ไซส์เล็กสุด สำหรับหูขวา ( ในแพคเกจจะมีไซส์เล็กหูซ้าย และ ไซส์ใหญ่ซ้าย-ขวา แถมมาให้ด้วย )
ขนาดว่าตัวใหญ่หูใหญ่แล้ว ยังรู้สึกว่าเจ็บหูพอสมควรในช่วงแรก ๆ
แต่ใช้มาสองอาทิตย์ เริ่มจะไม่เจ็บแล้ว
พอหายเจ็บก็เริ่มเห็นข้อดี ด้วยรูปทรงของซิลิโคน และความเบาของมัน ทำให้มันไม่เลื่อนหลุด แม้จะไม่มีขาเกี่ยว ไม่เกะกะ บางทีลืมไปเลยว่าใส่ไว้ที่หู
ให้คะแนน 7/10
การใช้งานและการเชื่อมต่อ
ERA เด่นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้งานมาก ๆ แม้จะมีปุ่มให้กดอยู่ปุ่มเดียว แต่ฟังก์ชันก็หลากหลายมาก แล้วแต่การกด ( ในเว็บเรียก Single multi-function button )
การ pair กับมือถือก็ง่ายและเร็วมาก ถ้าเคยจับคู่ไว้แล้ว กดปุ่มทีเดียวมันก็จะ scan หามือถือเราทันที
ถ้า pair แล้วกดปุ่ม ก็จะมีเสียงแจ้ง talk time remaining บอกเราว่าแบตอยู่ได้อีกกี่ชั่วโมง
สิ่งที่ผมชอบที่สุดในการใช้งาน ERA คือ เสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ ทั้งเปิดเครื่อง รับสาย redial ปิดเครื่อง มีแจ้งตลอด และสามารถเปลี่ยนได้เยอะมาก
อยากได้เสียงน่ารัก ๆ เสียงสาวเซ็กซี่ เสียงหนุ่มหล่อ มาเฟีย ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งเสียงเกม 8บิท ก็สามารถเปลี่ยนได้ แค่ลงไดรเวอร์แล้วเชื่อมต่อกับ PC
ขณะใช้งานก็ไม่มีแฮงก์หรือหลุด
หัวข้อนี้ ให้ 9.5/10 เลย ฟังก์ชั่นมาเต็ม มีอะไรให้ปรับแต่งเพื่อเพิ่มอรรถรสในการใช้งาน
เสียงสนทนาและระบบตัดเสียงรบกวน
ฝั่งผู้ใช้ ERA ได้ยินเสียงดังฟังชัดไม่มีปัญหา
แต่ฝั่งปลายสาย แฟนผมชอบบ่นว่าเสียงมันเหมือนอยู่ไกล ๆ
ผมเองเคยลองอยู่ปลายสายก็พบว่ามันก็ชัดเจนดี ไม่ต่างกับ Plantronics Voyager Edge ( เสียงมาแนวเดียวกัน โทนเดียวกันเป๊ะ )
ระบบตัดเสียง NoiseAssassin 4.0 ก็เป็นอะไรที่เทพมาก ปลายสายแทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนเลย
คำอธิบายในเว็บของ Jawbone ก็ประมาณนี้
WHAT IS NOISEASSASSIN 4.0?
NoiseAssassin 4.0 allows the ERA to differentiate between speech and background noise,
with the help of the Voice Activity Sensor, located on the the headset.
NoiseAssassin 4.0 suppresses background noise and focuses on the user's voice,
allowing the headset to automatically adjust the inbound audio volume when
the background noise is louder.
ERA ยังมีบั๊กนิดหน่อย ตรงที่คู่สนทนาจะได้ยินเสียงตัวเองแบบ echo แปบนึง หลังจากรับสาย ( เห็นบ่นกันทั่วโลก น่าจะเป็นกันทุกตัว คงต้องรอ firmware update
หัวข้อนี้ให้ไปเลย 9 คะแนน ตัดคะแนนในเรื่องบั๊ก
ฟังเพลง
ลองใช้ฟังเพลงแล้ว เสียงดีกว่าที่คิด แยกเสียงย่านต่าง ๆ ได้ดี
เรื่องมิติของเสียงนี่หายห่วง...แบนราบ
ก็หูข้างเดียวนี่นา-*-
ผมใช้ฟังเพลงครั้งเดียวแล้วก็ไม่ใช้อีกเลยครับ
ให้ 3/10
ถ้าอยากฟังเพลงผ่านบลูทูธ แนะนำให้ไปซื้อ SONY MDR-1RBT มาใช้นะครับ เสียงดีจริง คอนเฟิร์ม
ราคา
3490 บาท สำหรับ หูฟังชิ้นเดียว
4290 บาท สำหรับชุดแฮปปี้มีล หูฟัง + charging case
สรุปข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- เสียงสนทนาชัดเจน ทั้งฝั่งปลายสายและฝั่ง ERA
- ระบบตัดเสียงรบกวนขั้นเทพ
- น้ำหนักเบามาก
- ดีไซน์สวย มีเอกลักษณ์
- ฟังก์ชั่นต่าง ๆ มาเต็ม
- charging case ช่วยให้พกพาง่าย เก็บง่าย และชาร์จแบตได้ในตัว
ข้อเสีย
- talk time ค่อนข้างน้อย ( 4 ชั่วโมงเองอ่ะ น้อยเกิ๊นนนน )
- ใช้แล้วเจ็บหูในตอนแรก ไม่เหมาะกับคนรูหูเล็ก
- มีบั๊ก เสียง echo ทางฝั่งปลายสาย
- ราคาค่อนข้างสูง
สรุปของสรุปอีกที
ถ้าใครชอบใช้ bluetooth headset ในการคุยโทรศัพท์ อยากได้อุปกรณ์ที่ครบเครื่อง ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชั่น การใช้งาน ไม่เน้นฟังเพลง และพร้อมจะจ่ายแพงเพื่อสิ่งเหล่านี้
ERA นี่แหละ ใช่เลยครับ
*แถมท้าย
ก่อนซื้อก็เก็บข้อมูลมาว่า Plantronics Voyager Edge ก็เป็นรุ่นท็อปของอีกค่ายที่ออกมาแข่งกัน
ทีแรกก็กะจะซื้อ Plantronics นี่แหละ เพราะ feedback คนที่ซื้อไปค่อนข้างดีกว่า Jawbone
เคยใช้ Jawbone Icon โคตรจะไม่ประทับใจ แบตไม่อึดอย่างแรง การเชื่อมต่อก็สะดุดบ่อย
แต่ Plantronics Voyager Edge ดันเอาเข้ามาขายช้ากว่า เลยจำใจต้องซื้อ ERA มาแทน
หลังจากซื้อ ERA ได้ประมาณสองอาทิตย์ ก็มีโอกาสได้ลองเจ้า Edge ที่ Jaymart @Central ลาดพร้าว
ไปที่ร้านแล้ว ไม่เห็นมีตัวลอง พนักงานก็ใจดีมาก แกะมาให้ลองสด ๆ เลยอันนึง
*ได้ลอง Edge แค่ประมาณ 15 นาที ใน Jaymart นะครับ อาจแตกต่างไปจากการใช้งานจริง ๆ ในสถานที่อื่น ๆ *
ลองเทียบกันแล้ว ประมาณนี้
ดีไซน์ - ให้เสมอกัน ERA จะออกแนวแฟชั่นหรู ๆ ส่วน Edge จะออกแนวเท่ ๆ แต่ charging case ของ Plantronics ทำมาสวยกว่า
การสวมใส่ : Edge ใส่สบายกว่า
เสียงสนทนา : ได้ยินเสียงดังชัดเจนทั้งคู่ แถมโทนเสียงเดียวกันอีก
ระบบตัดเสียงรบกวน : ERA ดีกว่า ไม่ได้ยินเสียงบรรยากาศรอบ ๆ เลยครับ ส่วน Edge จะได้ยินเบา ๆ
แบตเตอรี่ :
ตามสเปค Edge น่าจะอึดกว่า แต่กดเช็ค talk time ดูแล้ว ก็ได้ 4 ชั่วโมงเท่ากัน พนักงานที่เคยลองใช้ก็บอกว่าแบตอยู่ได้เท่า ๆ กัน มีความเห็นจากผู้ใช้จริงบอกว่า Edge มันได้ 6 ชั่วโมง ครับ ขอแก้ตามนั้น
ราคา : Edge แพงกว่านิดหน่อยที่ 4590 บาท พร้อม charging case ( ไม่มีขายแยก )
เปรียบเทียบกัน รวม ๆ ผมว่า ERA ดีกว่านะครับ ยกเว้นเรื่องใส่สบาย กับดีไซน์ที่ผมว่าเหมาะกับผู้ชายมากกว่า
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เลือกซื้ออยู่นะครับ สวัสดีครับ
[CR] [CR]==>รีวิว Jawbone ERA แบบบ้าน ๆ <==
ก่อนหน้านี้ผมตามหา bluetooth headset ดี ๆ ซักอัน อ่านรีวิวนอกจนมึน
user review ในไทยก็น้อย ตัวเลือกในไทยก็มีไม่เยอะนัก ( จริง ๆ คนซื้อ bluetooth headset ดี ๆ แพง ๆ ในไทยก็เยอะนะครับ แต่เค้าไม่ค่อยมารีวิวกัน )
ตามที่กล่าวมา ไหน ๆ ก็ได้ใช้ Jawbone ERA มาซักระยะหนึ่ง และได้มีโอกาสไปลองตัวท็อปของอีกค่ายคือ Plantronics Voyager Edge
ก็เลยอยากมาแชร์ข้อมูลเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่กำลังมองหา bluetooth headset ระดับท็อปมาใช้งาน
Jawbone ERA ( 2014 )
ที่ต้องวงเล็บปีไว้เพราะ Jawbone เคยทำรุ่น ERA มาก่อนแล้ว เป็นตัวท็อปของบรรดา bluetooth headset ภายใต้แบรนด์ Jawbone
มาปีนี้ก็ออกรุ่นใหม่รุ่นเดียว ดีไซน์ใหม่ รวมข้อดีของทุกรุ่นที่เคยมีมาแล้ว ทั้งฟังก์ชั่นตัดเสียงแบบจัดเต็ม ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ดีไซน์สวย ( ด้อยลงจาก ERA รุ่นเก่าแค่อย่างเดียวคือ battery )
สเปคคร่าว ๆ เท่าที่ควรรู้
- ขนาด 4.6 x 2.1 x 1.3 cm
- น้ำหนัก 6g ( บร๊ะ!!!! )
- Wideband Audio ( HD Voice ) Compatible ( แต่เดิมเป็นจุดขายของ Plantronics แต่ Jawbone เพิ่งจะใส่มาในรุ่นนี้ )
- คุยได้ 4 ชม.
- ถ้าใช้ charging case ด้วย จะใช้ได้ 10 ชม.
- ดูแบตเตอรี่ด้วย Jawbone App ในมือถือได้
- ระยะทำการ 10 m ( ลองใช้จริงได้น้อยกว่านี้นิดหน่อย แต่ก็ดีที่สัญญาณทะลุประตู เพดาน ผนังได้พอสมควร )
- support EDR
อ่านผ่าน ๆ ไม่ต้องจำ จุดสำคัญอยู่ที่ talk time ที่ค่อนข้างจะน้อย สำหรับคนที่คุยต่อเนื่องแบบยาวมาก ๆ มี charging case ก็ไม่มีประโยชน์
ดีไซน์
อ่ะ มาดูหน้าตากันก่อน
มีวางขาย 4 สี คือ ดำ เงิน แดง บรอนซ์
ถ้าจะซื้อพร้อม charging case มีสองสีคือ สีดำ และสีเงิน ( ในไทยเห็นมีขายแต่สีเงิน )
ดีไซน์โดดเด่น งานประกอบ วัสดุดูดี น้ำหนักเบา และเล็กมากกกกก
เทียบกับมือ
เทียบกับแมว
หัวข้อนี้ ให้คะแนน 8.5/10 ( สวยดีนะ แต่ดูเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า )
การสอดใส่...เอ้ย สวมใส่
ซิลิโคน หรือ ที่เรียกกันบ้าน ๆ ว่า จุกหูฟัง ทำออกมาได้กิ๊บเก๋ แต่ค่อนข้างใหญ่สำหรับหูคนไทย
ผมใช้ไซส์เล็กสุด สำหรับหูขวา ( ในแพคเกจจะมีไซส์เล็กหูซ้าย และ ไซส์ใหญ่ซ้าย-ขวา แถมมาให้ด้วย )
ขนาดว่าตัวใหญ่หูใหญ่แล้ว ยังรู้สึกว่าเจ็บหูพอสมควรในช่วงแรก ๆ
แต่ใช้มาสองอาทิตย์ เริ่มจะไม่เจ็บแล้ว
พอหายเจ็บก็เริ่มเห็นข้อดี ด้วยรูปทรงของซิลิโคน และความเบาของมัน ทำให้มันไม่เลื่อนหลุด แม้จะไม่มีขาเกี่ยว ไม่เกะกะ บางทีลืมไปเลยว่าใส่ไว้ที่หู
ให้คะแนน 7/10
การใช้งานและการเชื่อมต่อ
ERA เด่นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้งานมาก ๆ แม้จะมีปุ่มให้กดอยู่ปุ่มเดียว แต่ฟังก์ชันก็หลากหลายมาก แล้วแต่การกด ( ในเว็บเรียก Single multi-function button )
การ pair กับมือถือก็ง่ายและเร็วมาก ถ้าเคยจับคู่ไว้แล้ว กดปุ่มทีเดียวมันก็จะ scan หามือถือเราทันที
ถ้า pair แล้วกดปุ่ม ก็จะมีเสียงแจ้ง talk time remaining บอกเราว่าแบตอยู่ได้อีกกี่ชั่วโมง
สิ่งที่ผมชอบที่สุดในการใช้งาน ERA คือ เสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ ทั้งเปิดเครื่อง รับสาย redial ปิดเครื่อง มีแจ้งตลอด และสามารถเปลี่ยนได้เยอะมาก
อยากได้เสียงน่ารัก ๆ เสียงสาวเซ็กซี่ เสียงหนุ่มหล่อ มาเฟีย ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งเสียงเกม 8บิท ก็สามารถเปลี่ยนได้ แค่ลงไดรเวอร์แล้วเชื่อมต่อกับ PC
ขณะใช้งานก็ไม่มีแฮงก์หรือหลุด
หัวข้อนี้ ให้ 9.5/10 เลย ฟังก์ชั่นมาเต็ม มีอะไรให้ปรับแต่งเพื่อเพิ่มอรรถรสในการใช้งาน
เสียงสนทนาและระบบตัดเสียงรบกวน
ฝั่งผู้ใช้ ERA ได้ยินเสียงดังฟังชัดไม่มีปัญหา
แต่ฝั่งปลายสาย แฟนผมชอบบ่นว่าเสียงมันเหมือนอยู่ไกล ๆ
ผมเองเคยลองอยู่ปลายสายก็พบว่ามันก็ชัดเจนดี ไม่ต่างกับ Plantronics Voyager Edge ( เสียงมาแนวเดียวกัน โทนเดียวกันเป๊ะ )
ระบบตัดเสียง NoiseAssassin 4.0 ก็เป็นอะไรที่เทพมาก ปลายสายแทบจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนเลย
คำอธิบายในเว็บของ Jawbone ก็ประมาณนี้
WHAT IS NOISEASSASSIN 4.0?
NoiseAssassin 4.0 allows the ERA to differentiate between speech and background noise,
with the help of the Voice Activity Sensor, located on the the headset.
NoiseAssassin 4.0 suppresses background noise and focuses on the user's voice,
allowing the headset to automatically adjust the inbound audio volume when
the background noise is louder.
ERA ยังมีบั๊กนิดหน่อย ตรงที่คู่สนทนาจะได้ยินเสียงตัวเองแบบ echo แปบนึง หลังจากรับสาย ( เห็นบ่นกันทั่วโลก น่าจะเป็นกันทุกตัว คงต้องรอ firmware update
หัวข้อนี้ให้ไปเลย 9 คะแนน ตัดคะแนนในเรื่องบั๊ก
ฟังเพลง
ลองใช้ฟังเพลงแล้ว เสียงดีกว่าที่คิด แยกเสียงย่านต่าง ๆ ได้ดี
เรื่องมิติของเสียงนี่หายห่วง...แบนราบ
ก็หูข้างเดียวนี่นา-*-
ผมใช้ฟังเพลงครั้งเดียวแล้วก็ไม่ใช้อีกเลยครับ
ให้ 3/10
ถ้าอยากฟังเพลงผ่านบลูทูธ แนะนำให้ไปซื้อ SONY MDR-1RBT มาใช้นะครับ เสียงดีจริง คอนเฟิร์ม
ราคา
3490 บาท สำหรับ หูฟังชิ้นเดียว
4290 บาท สำหรับชุดแฮปปี้มีล หูฟัง + charging case
สรุปข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- เสียงสนทนาชัดเจน ทั้งฝั่งปลายสายและฝั่ง ERA
- ระบบตัดเสียงรบกวนขั้นเทพ
- น้ำหนักเบามาก
- ดีไซน์สวย มีเอกลักษณ์
- ฟังก์ชั่นต่าง ๆ มาเต็ม
- charging case ช่วยให้พกพาง่าย เก็บง่าย และชาร์จแบตได้ในตัว
ข้อเสีย
- talk time ค่อนข้างน้อย ( 4 ชั่วโมงเองอ่ะ น้อยเกิ๊นนนน )
- ใช้แล้วเจ็บหูในตอนแรก ไม่เหมาะกับคนรูหูเล็ก
- มีบั๊ก เสียง echo ทางฝั่งปลายสาย
- ราคาค่อนข้างสูง
สรุปของสรุปอีกที
ถ้าใครชอบใช้ bluetooth headset ในการคุยโทรศัพท์ อยากได้อุปกรณ์ที่ครบเครื่อง ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชั่น การใช้งาน ไม่เน้นฟังเพลง และพร้อมจะจ่ายแพงเพื่อสิ่งเหล่านี้
ERA นี่แหละ ใช่เลยครับ
*แถมท้าย
ก่อนซื้อก็เก็บข้อมูลมาว่า Plantronics Voyager Edge ก็เป็นรุ่นท็อปของอีกค่ายที่ออกมาแข่งกัน
ทีแรกก็กะจะซื้อ Plantronics นี่แหละ เพราะ feedback คนที่ซื้อไปค่อนข้างดีกว่า Jawbone
เคยใช้ Jawbone Icon โคตรจะไม่ประทับใจ แบตไม่อึดอย่างแรง การเชื่อมต่อก็สะดุดบ่อย
แต่ Plantronics Voyager Edge ดันเอาเข้ามาขายช้ากว่า เลยจำใจต้องซื้อ ERA มาแทน
หลังจากซื้อ ERA ได้ประมาณสองอาทิตย์ ก็มีโอกาสได้ลองเจ้า Edge ที่ Jaymart @Central ลาดพร้าว
ไปที่ร้านแล้ว ไม่เห็นมีตัวลอง พนักงานก็ใจดีมาก แกะมาให้ลองสด ๆ เลยอันนึง
*ได้ลอง Edge แค่ประมาณ 15 นาที ใน Jaymart นะครับ อาจแตกต่างไปจากการใช้งานจริง ๆ ในสถานที่อื่น ๆ *
ลองเทียบกันแล้ว ประมาณนี้
ดีไซน์ - ให้เสมอกัน ERA จะออกแนวแฟชั่นหรู ๆ ส่วน Edge จะออกแนวเท่ ๆ แต่ charging case ของ Plantronics ทำมาสวยกว่า
การสวมใส่ : Edge ใส่สบายกว่า
เสียงสนทนา : ได้ยินเสียงดังชัดเจนทั้งคู่ แถมโทนเสียงเดียวกันอีก
ระบบตัดเสียงรบกวน : ERA ดีกว่า ไม่ได้ยินเสียงบรรยากาศรอบ ๆ เลยครับ ส่วน Edge จะได้ยินเบา ๆ
แบตเตอรี่ :
ตามสเปค Edge น่าจะอึดกว่า แต่กดเช็ค talk time ดูแล้ว ก็ได้ 4 ชั่วโมงเท่ากัน พนักงานที่เคยลองใช้ก็บอกว่าแบตอยู่ได้เท่า ๆ กันมีความเห็นจากผู้ใช้จริงบอกว่า Edge มันได้ 6 ชั่วโมง ครับ ขอแก้ตามนั้นราคา : Edge แพงกว่านิดหน่อยที่ 4590 บาท พร้อม charging case ( ไม่มีขายแยก )
เปรียบเทียบกัน รวม ๆ ผมว่า ERA ดีกว่านะครับ ยกเว้นเรื่องใส่สบาย กับดีไซน์ที่ผมว่าเหมาะกับผู้ชายมากกว่า
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เลือกซื้ออยู่นะครับ สวัสดีครับ