สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 26
ตามคำถามพอร์ทโต1000%ใน10ปี ไม่ขายเลย ไม่ซื้อเพิ่มเลย ทำได้ไหม? ทำได้ถ้าคุณโชคดีมากๆ และมีโอกาสน้อยมากๆครับ การลงทุนใช้เวลา 10ปีนั้นยาวพอสมควรก็จริง แต่เป้าหมาย1ล้านบาทในเวลา10ปีด้วยเงินต้น1แสนนั้นยากครับ แต่ถ้าคุณเติมทุกปีจะง่ายขึ้น อย่าเข้าตลาดด้วยความคาดหวังสูงขนาดนี้ครับ เดี๋ยวจะเสียมากกว่าได้ ผมอยากให้คุณทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง การลงทุนเหมือนต่อเลโก้ เราต่อทีละชิ้นจนได้ปราสาท บางคนเริ่มจากบล็อกเล็ก บางคนเริ่มจากบล็อกใหญ่ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องต่อไปเรื่อยๆ
ผมขออนุญาติไม่พูดถึงผลตอบแทนที่คุณต้องการนะครับ แต่จะตอบคำถามหัวกระทู้ที่ว่า "คนที่ถือหุ้นแบบซื้อแล้วไม่ขายเลย รวยได้ยังไง ??"
แน่นอนว่าทุกคนลงทุนเพราะอยากรวย แต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ารวยคืออะไรถึงจะรู้ว่าลงทุนเพื่ออะไร
เพื่อให้มีเงินมากๆ หรือเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง? สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งเท่านั้น
คนส่วนหนึ่งมองว่า ความรวย=เงินมากๆ ดังนั้นพวกเค้าเข้าตลาดเพื่อทำเงินให้มากขึ้น ความเข้าใจพื้นฐานจึงอยู่ราวๆซื้อมาขายทำกำไร หรือถือรอปันผล ราคาขึ้นเกินเป้าก็ขาย ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าวีไอหรือไม่ มันเป็นเพียงมุมมองของความรวยเท่านั้น
คำถามจากกระทู้นี้ผมคิดว่าเกิดจากการมองความรวยในมุมนี้ ด้วยเป้าหมายที่เงินหนึ่งล้านบาท ซึ่งไม่ได้ผิด ทุกคนมองต่างกันและควรลงทุนด้วยปรัชญาที่เข้ากับตัวเอง ถ้าเรามองความรวยด้วยมุมนี้แล้ว เราจะมองราคาหุ้นเป็นเป้ารอวันออกจากการลงทุนในนั้นเพื่อจะได้ทำกำไร และมีเงินมากขึ้น เราจึงรวยขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเราอาจมองไม่เห็นว่าคนที่ถือไว้ไม่ขายจะรวยได้ยังไง? เพราะมันมีขึ้นมีลง ถ้ามันลงล่ะ?
แต่มีคนอีกกลุ่มมองความรวยในทางที่ต่างออกไป เขามองว่า รวย=ความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นเพียงมูลค่าของสินทรัพย์ทุกอย่างที่ถือไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง
สินทรัพย์นี้มีหลายประเภท หลายความเสี่ยงและหลายผลตอบแทน เขาจะถือสินทรัพย์ทั้งหลายนี้ด้วยอัตราส่วนต่างกันไป ให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีที่สุดในระดับความเสี่ยงที่เขารับได้ เงินคือสิ่งที่เสี่ยงน้อยที่สุดและผลตอบแทนน้อยที่สุด คือ =ติดลบอัตราเงินเฟ้อ เงินคือสิ่งที่เค้าถือน้อยในสภาพตลาดปกติ
การมองความรวยในมุมนี้ จึงจำเป็นต้องถือการลงทุนบางอย่างตลอดเวลาเพื่อให้มันสะสมความมั่งคั่งต่อไป เพราะหากขายทำกำไรหมด เขาจะถือเงินจนกว่าจะเจอการลงทุนใหม่ ซึ่งถ้าสมมติว่าคนนี้รับความเสี่ยงได้มากกว่าระดับของเงิน การถือเงินเป็นทางเลือกที่แย่เพราะไม่ได้ maximize return
ถามว่าคนที่มองความรวยแบบนี้ ไม่ขายเลยเหรอ? คำตอบคือขาย แต่ขายด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป ไม่ได้ขายเพื่อทำกำไรเป็นหลัก หลักของการบริหารพอร์ทคือให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวมากที่สุดในระดับความเสี่ยงที่รับได้ มองเห็นรึยังครับว่าเค้าขายเมื่อไหร่? เมื่อราคาสินทรัพย์ในพอร์ทเปลี่ยนจนความเสี่ยงของพอร์ทเปลี่ยนไปด้วยตามอัตราที่ถือ จึงขายเพื่อปรับสภาพความเสี่ยง
สมมติว่าเฮียปอถือเงิน 10% บอนด์ 20% หุ้น 70% วันดีคืนดีหุ้นขึ้นจนมูลค่าในพอร์ทมันเพิ่มกลายเป็น 90% ถ้าเฮียคิดว่ามันเสี่ยงเกินไปแล้ว ก็จะขายบางส่วนออกไปซื้อบอนด์เพิ่มเพื่อคงอัตราส่วน(ความเสี่ยง)เดิมเอาไว้ กลับกันถ้ามันลงไปเหลือ 50% ก็จะปรับโดยการขายบอนด์ออก และซื้อหุ้นเพิ่มให้อัตราส่วนกลับมาเท่าเดิม ทั้งนี้ก็ไม่ได้ปรับกันบ่อยๆ ในสภาพตลาดปกติพอร์ทเล็กๆก็ประมาณปีละครั้ง
สิ่งหนึ่งที่ผมพบคือแม้ว่าจะไม่ได้ขายเพื่อทำกำไรเป็นหลัก แต่เวลาขายมันได้กำไรนะ เพราะเราขายสินทรัพย์ที่โตออกบางส่วนเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่ตกเพิ่มโดยธรรมชาติของการปรับพอร์ทแบบนี้ เวลาซื้อเพิ่มระหว่างปีก็ซื้อโดยพยายามรักษาอัตราส่วนเอาไว้ด้วย คือถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นมากเกิน เราก็เติมบอนด์ หุ้นลงเราก็เติมหุ้น กลไกของมันเอื้อต่อการโตของพอร์ทในระยะยาวอยู่แล้ว ขายตอนแพงซื้อตอนถูก
ย้ำอีกทีว่าตามสภาพความเสี่ยงที่เรารับได้ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ทำให้บอนด์เป็นอะไรที่ยากถ้าจะเก็งกำไร แต่บอนด์ยังเป็นที่หลบความเสี่ยงจากหุ้นในพอร์ทได้อยู่ มีข้อแม้ว่าต้องถือจน mature หรือถ้าซื้อผ่านกองก็ต้องถือหน่วยนานเท่ากับ average duration เป็นอย่างน้อย จึงได้yield ตามวันที่ซื้อ
นี่คือมุมของคนที่มองการลงทุนเป็นการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ถ้าเราลงทุนแบบนี้มันไม่ใช่อะไรที่จะเริ่มแล้วปล่อยไว้ไม่ยุ่งกับมัน สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องคอมมิต เริ่มสร้างแล้ว ต้องสร้างไปตลอดจึงจะเห็นผลในระยะยาว
จะเห็นว่ามันเป็นการมองที่ต่างกัน และใช้เหตุผลต่างกัน ซึ่งไม่มีอันไหนผิดหรือถูก ขออนุญาติหยุดแค่ระดับ asset class ไม่ลงลึกไปกว่านี้เดี๋ยวจะยาวเกินไป หวังว่าจะเข้าใจเรื่องเหตุผลของการขายนะครับ
ผมขออนุญาติไม่พูดถึงผลตอบแทนที่คุณต้องการนะครับ แต่จะตอบคำถามหัวกระทู้ที่ว่า "คนที่ถือหุ้นแบบซื้อแล้วไม่ขายเลย รวยได้ยังไง ??"
แน่นอนว่าทุกคนลงทุนเพราะอยากรวย แต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ารวยคืออะไรถึงจะรู้ว่าลงทุนเพื่ออะไร
เพื่อให้มีเงินมากๆ หรือเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง? สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งเท่านั้น
คนส่วนหนึ่งมองว่า ความรวย=เงินมากๆ ดังนั้นพวกเค้าเข้าตลาดเพื่อทำเงินให้มากขึ้น ความเข้าใจพื้นฐานจึงอยู่ราวๆซื้อมาขายทำกำไร หรือถือรอปันผล ราคาขึ้นเกินเป้าก็ขาย ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าวีไอหรือไม่ มันเป็นเพียงมุมมองของความรวยเท่านั้น
คำถามจากกระทู้นี้ผมคิดว่าเกิดจากการมองความรวยในมุมนี้ ด้วยเป้าหมายที่เงินหนึ่งล้านบาท ซึ่งไม่ได้ผิด ทุกคนมองต่างกันและควรลงทุนด้วยปรัชญาที่เข้ากับตัวเอง ถ้าเรามองความรวยด้วยมุมนี้แล้ว เราจะมองราคาหุ้นเป็นเป้ารอวันออกจากการลงทุนในนั้นเพื่อจะได้ทำกำไร และมีเงินมากขึ้น เราจึงรวยขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเราอาจมองไม่เห็นว่าคนที่ถือไว้ไม่ขายจะรวยได้ยังไง? เพราะมันมีขึ้นมีลง ถ้ามันลงล่ะ?
แต่มีคนอีกกลุ่มมองความรวยในทางที่ต่างออกไป เขามองว่า รวย=ความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นเพียงมูลค่าของสินทรัพย์ทุกอย่างที่ถือไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง
สินทรัพย์นี้มีหลายประเภท หลายความเสี่ยงและหลายผลตอบแทน เขาจะถือสินทรัพย์ทั้งหลายนี้ด้วยอัตราส่วนต่างกันไป ให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีที่สุดในระดับความเสี่ยงที่เขารับได้ เงินคือสิ่งที่เสี่ยงน้อยที่สุดและผลตอบแทนน้อยที่สุด คือ =ติดลบอัตราเงินเฟ้อ เงินคือสิ่งที่เค้าถือน้อยในสภาพตลาดปกติ
การมองความรวยในมุมนี้ จึงจำเป็นต้องถือการลงทุนบางอย่างตลอดเวลาเพื่อให้มันสะสมความมั่งคั่งต่อไป เพราะหากขายทำกำไรหมด เขาจะถือเงินจนกว่าจะเจอการลงทุนใหม่ ซึ่งถ้าสมมติว่าคนนี้รับความเสี่ยงได้มากกว่าระดับของเงิน การถือเงินเป็นทางเลือกที่แย่เพราะไม่ได้ maximize return
ถามว่าคนที่มองความรวยแบบนี้ ไม่ขายเลยเหรอ? คำตอบคือขาย แต่ขายด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป ไม่ได้ขายเพื่อทำกำไรเป็นหลัก หลักของการบริหารพอร์ทคือให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวมากที่สุดในระดับความเสี่ยงที่รับได้ มองเห็นรึยังครับว่าเค้าขายเมื่อไหร่? เมื่อราคาสินทรัพย์ในพอร์ทเปลี่ยนจนความเสี่ยงของพอร์ทเปลี่ยนไปด้วยตามอัตราที่ถือ จึงขายเพื่อปรับสภาพความเสี่ยง
สมมติว่าเฮียปอถือเงิน 10% บอนด์ 20% หุ้น 70% วันดีคืนดีหุ้นขึ้นจนมูลค่าในพอร์ทมันเพิ่มกลายเป็น 90% ถ้าเฮียคิดว่ามันเสี่ยงเกินไปแล้ว ก็จะขายบางส่วนออกไปซื้อบอนด์เพิ่มเพื่อคงอัตราส่วน(ความเสี่ยง)เดิมเอาไว้ กลับกันถ้ามันลงไปเหลือ 50% ก็จะปรับโดยการขายบอนด์ออก และซื้อหุ้นเพิ่มให้อัตราส่วนกลับมาเท่าเดิม ทั้งนี้ก็ไม่ได้ปรับกันบ่อยๆ ในสภาพตลาดปกติพอร์ทเล็กๆก็ประมาณปีละครั้ง
สิ่งหนึ่งที่ผมพบคือแม้ว่าจะไม่ได้ขายเพื่อทำกำไรเป็นหลัก แต่เวลาขายมันได้กำไรนะ เพราะเราขายสินทรัพย์ที่โตออกบางส่วนเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่ตกเพิ่มโดยธรรมชาติของการปรับพอร์ทแบบนี้ เวลาซื้อเพิ่มระหว่างปีก็ซื้อโดยพยายามรักษาอัตราส่วนเอาไว้ด้วย คือถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นมากเกิน เราก็เติมบอนด์ หุ้นลงเราก็เติมหุ้น กลไกของมันเอื้อต่อการโตของพอร์ทในระยะยาวอยู่แล้ว ขายตอนแพงซื้อตอนถูก
ย้ำอีกทีว่าตามสภาพความเสี่ยงที่เรารับได้ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ทำให้บอนด์เป็นอะไรที่ยากถ้าจะเก็งกำไร แต่บอนด์ยังเป็นที่หลบความเสี่ยงจากหุ้นในพอร์ทได้อยู่ มีข้อแม้ว่าต้องถือจน mature หรือถ้าซื้อผ่านกองก็ต้องถือหน่วยนานเท่ากับ average duration เป็นอย่างน้อย จึงได้yield ตามวันที่ซื้อ
นี่คือมุมของคนที่มองการลงทุนเป็นการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ถ้าเราลงทุนแบบนี้มันไม่ใช่อะไรที่จะเริ่มแล้วปล่อยไว้ไม่ยุ่งกับมัน สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องคอมมิต เริ่มสร้างแล้ว ต้องสร้างไปตลอดจึงจะเห็นผลในระยะยาว
จะเห็นว่ามันเป็นการมองที่ต่างกัน และใช้เหตุผลต่างกัน ซึ่งไม่มีอันไหนผิดหรือถูก ขออนุญาติหยุดแค่ระดับ asset class ไม่ลงลึกไปกว่านี้เดี๋ยวจะยาวเกินไป หวังว่าจะเข้าใจเรื่องเหตุผลของการขายนะครับ
แสดงความคิดเห็น
คนที่ถือหุ้นแบบซื้อแล้วไม่ขายเลย รวยได้ยังไง ??
ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี (แต่เพิ่งเข้าตลาดเลือกซื้อหุ้นตอน P/E 10 เท่า P/BV 3 เท่า ปันผล 5 - 6% ต่อปี )
แต่ถ้าต้นทุนคงที่ เช่น มี 1 แสนตายตัวแล้วไม่มีการสะสมเพิ่ม การไม่ขายเพื่อทำกำไรในระหว่าง 10 ปีเลย รอปันผลอย่างเดียวภายใน 10 ปี ถ้าพอร์ตเราโตเฉลี่ยปีละ 6% น่าจะได้ปันผล รวมราคาหุ้นที่สูงขึ้นจากต้นทุน 100,000 บาท ไปเป็นประมาณ 180,000 - 250,000 บาท แล้วแบบนี้การจะมีเงิน 1,000,000 บาท ภายใน 10 ปี โดยไม่ซื้อไม่ขายถืออย่างเดียวจะเป็นไปได้อย่างไรคะ ??
หรือว่ามีวิธีที่ทำได้โดยไม่ขายเกงกำไรระหว่างทางคะ รบกวนช่วยชี้แนะมือใหม่ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ ^^