ความพร้อมสำหรับการสอบเข้าเตรียมทหาร

คือว่ามีหลานกำลังจะขึ้นชั้น ม.1 ครับ  ตอนนี้เด็กยังไม่ทราบว่าในอนาคตอยากจะเรียนอะไร ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วๆไปคือ ไปเรียน เล่นเกมส์ เตะบอล
ทำการบ้าน(อันนี้ทำบ้างไม่ทำบ้าง) กิน นอน ไปวันๆ ไม่ค่อยมีระเบียบวินัยไม่มีความรับผิดชอบเท่าไหร่ ดูๆแล้วจบ ม.3 ก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ ผมก็เลยคิดว่า
ถ้าเข้าเรียนเตรียมทหารได้ก็คงจะดี เพราะจะได้ฝึกหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน ทั้งการเรียน ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้นำ..........................
ผมจึงตั้งกระทู้ถามนี้ขึ้นมาเพื่อขอคำชี้แนะจากผู้รู้หลายๆท่านได้ให้คำแนะนำด้วยครับ เพื่อตัวผมเองจะได้เอาความรู้นี้ไว้แนะแนวให้หลานต่อไป เผื่อหลาน
จะสนใจจะได้เตรียมตัวทัน เพราะผมทราบมาว่าเดี๋ยวนี้เค้ารับเด็กจบ ม.3 เวลานี้หลานจะขึ้น ม.1 ใช้เวลาเตรียมตัว3ปีกำลังดี อีกเหตุผลหนึ่งนะครับที่ผม
อยากให้หลานเข้าเรียนเตรียมทหารคือ พ่อแม่ของหลานเป็นผู้มีฐานะไม่ค่อยจะดีไม่มีเงินส่งเรียนครับเพราะแม่ทำงานคนเดียวเป็นสาวโรงงานค่าแรงวันละ 300 บาท(พ่อป่วยถาวรปัจจุบันทำงานไม่ได้) แถมมีลูก 2 คนวัยกำลังเรียนทั้งคู่ ถ้าเข้าเตรียมทหารได้จะได้แบ่งเบาภาระได้บ้างเพราะช่วงที่เรียนมีเงินเดือน
ด้วย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทางโรงเรียนก็ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด มีที่อยู่หลับนอนพร้อมอาหารการกินครบถ้วน และจบออกมาก็มีงานรองรับแน่นอนเป็น
นายทหารติดดาวเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ได้อีก จึงขอความกรุณาผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ ถ้ามีพี่ๆเตรียมทหารทั้งศิษเก่าและศิษปัจจุบันกำลังอ่านกระทู้นี้อยู่ก็ขอความกรุณาช่วยชี้แนะด้วยครับ
ป.ล. ผมเองไม่ได้บังคับให้หลานเข้าเตรียมทหารนะครับ แต่จะเอาข้อมูลไว้แนะนำเท่านั้น เผื่อๆไว้ว่าหลานจะสนใจ ถึงเวลาเรียนจบ ม.3 แล้วเค้าอยากเรียน
อะไรก็ปล่อยเค้าไป ตามใจหลานครับ
คำถามแบ่งออกเป็นสองส่วนนะครับ
ส่วนแรกเป็นคำถามเตรียมสอบเข้า ส่วนที่สองเป็นคำถามหลังจากสอบเข้าได้แล้ว
ขอเริ่มคำถามเลยนะครับ

ส่วนแรก
1.จำเป็นต้องเรียนกวดวิชามั๊ยครับ เห็นเปิดสอนเยอะมาก คู่แข่งเยอะมากหรือไม่
2.ต้องฟิตร่างกายใช่หรือไม่เพราะมีสอบวิชาพละ
3.ข้อสอบที่ออกเป็นความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 ไช่หรือไม่
4.เน้นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์หรือป่าว หรือเน้นวิชาอะไรเป็นพิเศษ

ส่วนสอง
1.เมื่อเข้าเรียนได้แล้วเราจะต้องแยกเหล่าเลยหรือไม่ หรือแยกตั้งแต่ตอนสอบคัดเลือกเลย
2.ทราบมาว่าเราจะต้องเรียนวิชาชีพเฉพาะควบคู่ไปกับวิชาด้านการทหารด้วย เช่น วิศวะ วิทยาศาสตร์ กฏหมาย บริหาร รัฐศาสตร์ เราสามารถเลือกเรียน
อะไรก็ได้หรือว่าต้องดูผลสอบ เช่นอยากเรียนวิศวะก็ต้องสอบวัดผลก่อนถึงจะมีโอกาสเรียนได้(เหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย)
3.ต่อเนื่องจากข้อ 2 เรียนสายไหนมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในสายงานมากที่สุดครับ
4.ต่อเนื่องจากข้อ 3 อีกที เมื่อจบแล้วเราต้องไปทำงานในหน่วยที่เราเรียนมาโดยตรงไช่ไหมครับ เช่นจบรัฐศาสตร์ไปทำงานฝ่ายบริหาร

ขอบคุณมากๆสำหรับทุกๆคำตอบนะครับ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เรียน จขกท ครับ โรงเรียนเตรียมทหาร แม้วิชาการจะไม่เป็นเลิศเท่าโรงเรียนมัธยมระดับต้นๆ ของประเทศก็ตาม แต่ส่วนใหญ่นี่จะเป็นเด็กเรียนเก่งของต่างจังหวัดนะครับ ก็ประมาณพวก สอบได้อันดับต้นๆ เลย แม้บางทีจะไม่ใช่ที่ 1,2,3 ก็ตาม

และเมื่อมองเหตุผลของ จขกท แล้ว ก็ไม่ได้มีข้อความอธิบายให้เห็นความชัดเจนใดๆ ว่าเขาจะสามารถสอบแข่งขันในอัตรา 100-150 คน เอา 1 คน ได้สักเท่าใด

จึงขออนุญาตให้ จขกท ลองไปประเมินหลานของท่านก่อนครับว่า การเรียนของเขาพอจะมีแววหรือไม่ อันนี้คือ ความจริงที่สุดเลย  เพราะถ้าไม่มีแววเสียแล้ว ไปเรียนกวดวิชายังไง ก็เสมือนเสียเงินไปเปล่าประโยชน์ ได้เพียงประสบการณ์ส่วนหนึ่งของชีวิตที่ได้มาเรียนกวดวิชาเท่านั้น

ส่วนสิ่งที่จะหมายถึงว่า มีแวว หรือไม่ ก็คือ การมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจ ในวิชาเนื้อหาที่เรียนระดับนั้นๆ หรือไม่  ข้อสอบเตรียมทหารจะเป็นเนื้อหา ม.3 เป็นหลัก  และเนื้อหา ม.3 ส่วนใหญ่มันก็มาจากการต่อยอดของ ม.2 และเนื้อหา ม.2 ส่วนใหญ่มันก็มาจากการต่อยอดของ ม.1 ดังนั้น  ตอนที่เรียน ม.1 มีความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนดีพอหรือไม่วิชาหลักอย่าง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ต้องแข็งพอ ต้องเข้าใจเนื้อหาดีพอ  ส่วนพวกวิชาสังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อันนี้ก็ต้องมีหลักอยู่บ้าง ยังพอมาอ่านเอา ทบทวนได้ ไม่เน้นหนักเท่าคณิต และวิทย์  และสิ่งที่พอจะสะท้อนออกมาได้ดี นั่นก็คือผลการเรียนปลายเทอม

และหากไม่มั่นใจก็ลองไปถามคุณครูประจำชั้นของเด็กนักเรียนคนนั้น ก็ได้ครับว่า หลานเรามีความรู้ มีสติปัญญา มีความเข้าใจในเนื้อหาการเรียนในวิชาต่างๆ เป็นอย่างไร มีความเข้าใจเนื้อหา มากน้อยเพียงใด ถ้าคุณครูบอกประมาณว่า เก่ง หัวไว เรียนรู้เร็ว แม้จะขี้เกียจส่งงาน ขี้เกียจทำการบ้านก็ตาม แต่แบบนี้พอไปได้แน่

โดยสรุปแล้วคือ ก็ไม่ต้องเอาว่าเรียนเก่งดีเลิศครับ แค่เอาแบบมีแววแน่ ระดับ 75% ขึ้นไป ถือว่าโอเคเลยครับ แต่ถ้าน้อยกว่านี้ก็จะยากขึ้นละ

และถ้าพอมีลุ้นบ้างแล้ว ก็ค่อยว่ากันต่อไป ในเรื่องที่ว่า จะให้ติวดีไหม อย่างไร ติวที่ไหน อย่างไร อันนี้ไม่สำคัญเท่าที่ว่า เราจะมีโอกาสไปดูแลให้กำลังใจเขาได้มากน้อยแค่ไหน ความรักความห่วงใย สนใจเขา สำคัญมากครับ ติวที่ไหนก็ไม่ต่างกันมากนัก ถ้าคนไปติวมีพื้นฐานความรู้ดี หรือที่เรียกว่ามี แวว อยู่แล้ว

ส่วนเรื่องการออกกำลังกาย ฟิตร่างกายนั้น สำคัญสุด คือต้องว่ายน้ำให้เป็น และว่ายในระยะทางไกลๆ ระดับ 50 เมตร ให้ได้ก่อนก็พอ ส่วนการวิ่ง หรืออื่นๆ นั้น ถ้าสามารถออกกำลังกายได้เสมอๆ เช่นว่า เตะบอลกับเพื่อนอยู่ประจำๆ หรือไปเล่นกีฬา อย่างอื่นบ่อยๆ อยู่แล้ว อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงครับ

และเหนือสิ่งอื่นใดเลยคือ  ถ้าคิดว่า หลานของท่านพอจะมีแววจริงๆ ให้เขาเลือกตัดสินใจเอาเองเถอะครับ ว่าเขาอยากเป็นอะไร  ถ้าเขาไม่ได้อยากเป็นทหาร ตำรวจ ก็อย่าไปบังคับเลย อนาคตเขาอาจจะก้าวไกลกว่าการเป็นทหาร ตำรวจ ก็ว่าได้

ส่วนเรื่องความไม่มีระเบียบวินัยในตัวเอง  ความขี้เกียจ เล่นแต่เกมส์ การบ้านไม่ค่อยส่ง อะไรแบบนี้ อันนี้มองว่า เป็นเรื่องธรรมดาครับ อิอิ

..........................

มีเพื่อนที่เรียนมัธยมมาด้วยกันหลายคน ซึ่งไม่ค่อยจะมีแววเลย แต่ก็ยังไปเรียนติวด้วยกัน เพราะพ่อแม่ให้ไปเรียน แต่ก็มาสอบทุกปีและสอบไม่ติดทุกรอบ จนหมดโอกาส แต่ทุกวันนี้เจอกัน เพื่อนประกอบธุรกิจส่วนตัวด้วยความขยัน มุมานะ ทำหากินโดยสุจริต จนร่ำรวย ได้ดิบได้ดีไปหลายคนเลย ทั้งที่บางคนก็ไม่ได้เริ่มมาจากคนมีฐานะเลย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ขอตอบในฐานะคนสอบติดแล้วนะครับ ผมมองว่าการเตรียมกวดวิชาถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผมสอบติด 4 เหล่า เพราะหลายวิชาที่ทางรร.ติวให้ เป็นประโยชน์มากในตอนทำข้อสอบ การฝึกร่างกาย บุคลิกภาพ และวินัยต่าง ๆ อยู่ในการควบคุมของรร. ช่วยให้เราไม่เขวในระหว่างเรียนแน่นอน ของผมเรียนที่ cadet tutor เน้นทั้งหมด 5 วิชาหลัก คณิต, วิทย์, อังกฤษ, ไทยและสังคม ไปจนถึงวิชาพลศึกษา ถ้าได้เข้ารร.ประจำที่นี่ ทุกวันคือเป้าหมายเดียว นั่นคือการสอบให้ติดและทำตามความฝัน มันทำให้ผมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เข้ารร.มาก่อน หลายคนที่สอบติดเข้าไปก็หน้าเดิมที่เคยอยู่รร.ติวมาด้วยกัน ดังนั้นผมเชื่อว่ารร.กวดวิชาสำคัญมากครับ อย่างน้อยในช่วงเวลานึงเราก็มีประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาล่วงหน้า เหมือนเป็นการปูพื้นก่อนลงสนามจริง ความรู้ความมั่นใจที่พกไปก่อนสอบก็มีสูงกว่าเตรียมตัวเองแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่