ในบรรดามือถือเรือธงปีนี้ OPPO ได้เรียกเสียงฮือฮาด้วยข่าวหลุดเรื่องกล้องความละเอียด 50 ล้าน ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในกลุ่ม
และเมื่อ OPPO ประกาศราคา Find 7 และ 7a ก็เรียกเสียงฮือฮาได้อีกครั้งด้วยราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง ทำให้เป็นอีกรุ่นที่หลายคนสนใจ
สเป็ก OPPO Find 7a
- CPU Snapdragon 801
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB (ใส่ Micro SD ได้ถึง 128 GB)
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว 1920*1080 Full HD (403 PPI)
- กล้อง 13 ล้าน F 2.0 อัดคลิป 4K ได้
- กล้องหน้า 5 ล้าน
- น้ำหนัก 170 กรัม
- แบต 2800 mAh
- รองรับ LTE, ถ่ายรูปความละเอียดสูงสุด 50 ล้าน, Fast Charging
- ราคา 15,990 บาท
จะเห็นว่าสเป็กใกล้เคียงกับเรือธงเจ้าอื่น แต่มีราคาถูกกว่าราว 8,000 บาท
รูปร่างหน้าตา
มีการจัดวางคล้ายรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง OPPO Find 5 แต่มีขนาดที่ใหญ่และบางกว่า
ปุ่มเปิด-ปิด ถูกวางไว้ด้านซ้าย ส่วนปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านขวา
ไฟแจ้งเตือนรุ่นนี้เป็นแถบอยู่ด้านล่าง สวยดีครับ
ปุ่มด้านล่างจะมองเห็นเฉพาะเวลาใช้งาน
การเปิดฝาหลังต้องจิ้มที่ปุ่มก่อน แต่ข้อดีคือขนาดของปุ่มใหญ่พอที่จะใช้ปากกาจิ้มได้ ไม่ต้องลำบากหาเข็มมาจิ้ม
พื้นผิวฝาหลังเป็นลอนๆ ทำให้เปื้อนฝุ่นได้ง่าย
ส่วนที่คนไม่ค่อยสังเกตคือ ที่ฝาหลังของรุ่นนี้จะเป็นแผง NFC ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
ColorOS
OPPO ได้ดัน ColorOS เป็นระบบหลักซึ่งอยู่บนพื้นฐานของแอนดรอย ที่ปรับแต่งใส่ลูกเล่นเพิ่ม
สิ่งที่ผมชอบคือธีมเดิมๆ ที่ติดมากับเครื่อง ให้ความรู้สึกเรียบ สวย และเบา แต่ถ้าไม่ชอบธีมนี้ ก็โหลดเปลี่ยนได้ตามชอบ
สามารถเปลี่ยนแอพบน dock และวางได้สูงสุด 5 icon
ถ้าปัดมาด้านขวาสุดจะเจอกับ Exclusive space ซึ่งมันก็เปรียบเสมือน widget ขนาดเต็มหน้าจอสำหรับถ่ายรูปเรียงตามเวลาสวยๆ และเล่นเพลงด้วยการเลื่อนหัวอ่านไปวางที่แผ่นเสียง
แถบแจ้งเตือนมี Quick Settings ให้ปรับได้ครอบคลุม และด้านล่างมีบอกปริมาณเนทที่ใช้
ถ้าลากแถบแจ้งเตือนจากมุมบนซ้าย จะเป็นการเข้า Gesture panel สำหรับวาดรูปแทนคำสั่งต่างๆ ตามที่เราตั้งไว้ เช่น เปิดแอพ แต่ถ้าไม่ชอบ Gesture panel ก็สามารถปิดได้ครับ
Gesture & motion
อีกจุดเด่นของ ColorOS ก็คือเรื่องของการควบคุมด้วยท่าทาง ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดจอ
- กดปุ่ม home 2 ครั้งเพื่อปิดจอ
- คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง
- ยกแนบหูเพื่อรับสาย
- ปัดมือผ่านหน้าจอเพื่อรับสายแบบเปิดลำโพง
- เลื่อน 2 นิ้วขึ้น-ลงเพื่อปรับเสียง
- เลื่อน 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเปิดกล้อง
คำสั่งระหว่างปิดหน้าจอ เช่น วาด O เพื่อเปิดกล้อง หรือรูปอื่นๆ ที่สามารถตั้งค่าเองได้
ซึ่งการใช้งานจริง ผมชอบเรื่องการเคาะหน้าจอ 2 ครั้ง และกดปุ่ม home 2 ครั้ง สำหรับเปิด-ปิดหน้าจอ และก็การลาก 3 นิ้วเพื่อจับภาพหน้าจอ
สั่งงานด้วยเสียง แม้ปิดหน้าจอ
เราสามารถเรียกใช้งาน Google Now ได้แม้ปิดหน้าจอ ด้วยคำสั่ง "Hey, snapdragon" ซึ่งการใช้จริงยังไม่เหมาะกับคนไทยเท่าไร
3 ปุ่มล่างที่เปลี่ยนไป
นอกจากปุ่ม home ที่สามารถแตะ 2 ครั้งเพื่อปิดหน้าจอได้แล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ใหม่ตามนี้
- ปุ่ม menu กด 1 ครั้งเข้าเมนู กดค้างเรียกแอพล่าสุด
- ปุ่ม home กด 1 ครั้งกลับหน้าหลัก กด 2 ครั้งปิดหน้าจอ กดค้างเข้า Google Now
พื้นที่ยังคงเป็นปัญหาหลัก
การจัดสรรพื้นที่ภายในของ OPPO แบ่งไว้ค่อนข้างแปลกคือ เก็บตัว ColorOS ราว 3 GB แล้วแบ่งไว้ให้ติดตั้งแอพราว 3 GB นอกนั้นเอาไว้เก็บข้อมูลทั่วไป อาจเป็นปัญหาสำหรับคนที่ติดตั้งแอพเยอะๆ
แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งการติดตั้งแอพไปไว้ที่ Phone storage ก็จะเก็บแอพได้มากขึ้น
รองรับ OTG
นอกจากจะใส่ Micro SD ได้สูงถึง 128 GB แล้ว OPPO Find 7a ยังรองรับการใช้งาน USB OTG ด้วย
การโทรและข้อความ
มีมาให้ครบทั้งการบล็อกเบอร์ โทรด่วน โทรซ้ำ สั่นเมื่อปลายทางรับสาย เก็บสถิติการโทร
ส่วนของข้อความก็มี emoticon รวมทั้งเลือกแนบไฟล์ได้หลายแบบ
แป้นพิมพ์
รุ่นนี้ใช้แป้นพิมพ์ของ Swype ที่ใส่ธีมของ OPPO มาให้ ข้อดีคือมันลากนิ้วผ่านแต่ละตัวอักษรแทนการพิมพ์ได้ สามารถ sync ศัพท์ข้ามเครื่องได้ แต่ข้อเสียคือรูปแบบภาษาไทยค่อนข้างแปลก
และเนื่องจาก Google voice รองรับภาษาไทยแล้ว ทำให้สามารถพูดภาษาไทยแล้วแปลงเป็นตัวอักษรได้
Benchmark
คะแนนขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วเลย
ระบบรักษาความปลอดภัย
ยังเหมือนกับ OPPO รุ่นก่อนๆ คือ
- Guest mode
- Application encryption
- Holiday mode
- Notification center
- Data saving
- Permission monitor
ส่วนที่น่าสนใจจริงๆ คือ Guest mode สำหรับตั้งค่าเครื่องในกรณีที่คนยืมเครื่องไปเล่น จะได้ไม่ยุ่งกับข้อมูลส่วนตัวเรา และ Application encryption สำหรับใส่รหัสล็อกเฉพาะแอพ
ดูหนังฟังเพลง
แอพเล่นหนังใส่ความสามารถหลักๆ มาครบ
- ปัดจอด้านขวาเพื่อปรับเสียง
- ปัดจอด้านซ้ายเพื่อปรับแสง
- ล็อกหน้าจอป้องกันมือโดน
- ย่อเป็นหน้าต่างเล็ก
ส่วนแอพฟังเพลงก็ตั้งเวลาปิดเพลงได้ นอกจากนี้ยังใช้ระบบเสียง MAXX Audio ด้วย
ระบบ fast charging (VOOC)
พูดง่ายๆ ว่ามันคือระบบที่ทำให้ชาร์จเร็วขึ้น 4 เท่า โดยไม่อันตราย
กล้องที่น่าประทับใจ
สามารถปิดเสียงชัตเตอร์ได้ มีระบบ Smart scene และมีโหมดให้ใช้งานดังนี้
- Normal
- HDR
- Panorama
- Beautify
- Slow shutter
- HD picture
- Audio photo
- GIF
- RAW
แฟลชก็เลือกได้ 4 แบบคือ
- ปิด
- เปิด
- อัตโนมัติ
- เปิดตลอดเวลา
ส่วนของการอัดคลิปนอกจากความละเอียดสูงสุด 4K แล้วยังมีโหมด Slow motion
และสามารถถ่ายภาพนิ่งระหว่างอัดคลิป รวมทั้งสามารถ pause หยุดชั่วคราวระหว่างอัดคลิปได้ด้วย
โหมดที่คนพูดถึงเยอะคือ HD Picture ที่ทำการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 50 ล้าน ในอัตราส่วน 4:3
และประมาณ 37 ล้าน ในอัตราส่วน 16:9 ซึ่งข้อดีของความละเอียดที่สูงขึ้นคือทำให้ซูมได้มากขึ้น
ถ้าเทียบในระยะที่เท่ากันแล้ว แบบ HD ก็จะมีความคมชัดสูงกว่าแบบปรกติ
ส่วน HDR เมื่อใช้ในที่แสงน้อยก็ทำได้ค่อนข้างดี ช่วยให้ภาพสว่างขึ้นและรายละเอียดยังอยู่ครบถ้วน
และเมื่อใช้ HDR ถ่ายแบบย้อนแสงเต็มๆ ก็น่าประทับใจครับ เรียกว่าสวยมากเลยล่ะ
ทดสอบ white balance ด้วยการถ่ายภายใต้แสงไฟสีเหลืองส้ม สีสันและรายละเอียดค่อนข้างครบถ้วน
เมื่อเทียบกับ LG G2 แล้วทำได้ใกล้เคียงกัน... อันไหนสวยกว่าก็แล้วแต่วิจารณญาณ
การทดสอบที่แสงน้อย ผมขอใช้ LG G2 ในการอ้างอิงนะครับ
ในที่โหมดปรกติ noise เยอะกว่า G2 อย่างเห็นได้ชัด ส่วน Night scene ได้ภาพที่ดีขึ้น และในโหมด HD ให้ความคมชัดและสีสันคล้าย G2 ที่สุด
โหมด Slow shutter นอกจากจะใช้ถ่ายแสงไฟยามค่ำคืนแล้ว ยังช่วยให้ถ่ายภาพนิ่งในที่มืดได้ดีอีกด้วย
ภาพนี้ผมถ่ายตอนราวๆ เที่ยงคืนในห้องที่แทบจะมืดสนิท และอาศัยแสงไฟจากนอกบ้านเท่านั้น
กล้องหน้า 5 ล้าน
กล้องหน้าคมชัดสมกับ 5 ล้าน และมีให้ใช้งาน 3 โหมด
- Normal
- Beautify
- GIF
และรุ่นนี้สามารถใช้ปุ่มปรับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ เพื่อกดถ่ายรูปได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการ selfie
กล้องหน้ามีมุมค่อนข้างกว้าง สำหรับถ่ายภาพหมู่ได้ และจับโฟกัสหลายหน้าพร้อมกันได้ เท่าที่ลอง 3 คนก็จับโฟกัสใบหน้าได้ดีครับ
เอ่อ... คนหลังนั้นเค้าไม่อยากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงน่ะ
นอกจากนี้ยังมีโหมด GIF ให้ถ่ายภาพนิ่งรัวๆ 20 รูปมาเรียงต่อกัน
(
ดูตัวอย่างภาพ GIF)
สรุป
จุดเด่นที่สำคัญของรุ่นนี้คือราคาที่ต่ำกว่าค่ายอื่น ส่วนกล้องก็ใช้จริงได้ง่ายและมีลูกเล่นที่น่าสนใจ ปัญหาเดียวคือเรื่องของสัดส่วนพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพ ที่แบ่งไว้เพียง 3 GB ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิคของค่ายนี้ไปแล้ว แม้จะแก้ได้ด้วยการตั้งค่า แต่ก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร
ถ้าต้องการมือถือสเป็กดี กล้องเด่น ราคาโดนๆ ผมคิดว่านาทีนี้คงไม่มีใครยั่วกิเลสได้เกิน Find 7a อีกแล้ว
อ่านฉบับเต็มและรูปขนาดใหญ่ได้ที่
http://www.bacidea.com/review-oppo-find-7a.html
ถ้าชอบก็ติดตามและพูดคุยกันที่เพจ
http://www.facebook.com/bacidea
[SR] รีวิว OPPO Find 7a by bacidea
ในบรรดามือถือเรือธงปีนี้ OPPO ได้เรียกเสียงฮือฮาด้วยข่าวหลุดเรื่องกล้องความละเอียด 50 ล้าน ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในกลุ่ม
และเมื่อ OPPO ประกาศราคา Find 7 และ 7a ก็เรียกเสียงฮือฮาได้อีกครั้งด้วยราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง ทำให้เป็นอีกรุ่นที่หลายคนสนใจ
สเป็ก OPPO Find 7a
- CPU Snapdragon 801
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB (ใส่ Micro SD ได้ถึง 128 GB)
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว 1920*1080 Full HD (403 PPI)
- กล้อง 13 ล้าน F 2.0 อัดคลิป 4K ได้
- กล้องหน้า 5 ล้าน
- น้ำหนัก 170 กรัม
- แบต 2800 mAh
- รองรับ LTE, ถ่ายรูปความละเอียดสูงสุด 50 ล้าน, Fast Charging
- ราคา 15,990 บาท
จะเห็นว่าสเป็กใกล้เคียงกับเรือธงเจ้าอื่น แต่มีราคาถูกกว่าราว 8,000 บาท
รูปร่างหน้าตา
มีการจัดวางคล้ายรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง OPPO Find 5 แต่มีขนาดที่ใหญ่และบางกว่า
ปุ่มเปิด-ปิด ถูกวางไว้ด้านซ้าย ส่วนปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านขวา
ไฟแจ้งเตือนรุ่นนี้เป็นแถบอยู่ด้านล่าง สวยดีครับ
ปุ่มด้านล่างจะมองเห็นเฉพาะเวลาใช้งาน
การเปิดฝาหลังต้องจิ้มที่ปุ่มก่อน แต่ข้อดีคือขนาดของปุ่มใหญ่พอที่จะใช้ปากกาจิ้มได้ ไม่ต้องลำบากหาเข็มมาจิ้ม
พื้นผิวฝาหลังเป็นลอนๆ ทำให้เปื้อนฝุ่นได้ง่าย
ส่วนที่คนไม่ค่อยสังเกตคือ ที่ฝาหลังของรุ่นนี้จะเป็นแผง NFC ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
ColorOS
OPPO ได้ดัน ColorOS เป็นระบบหลักซึ่งอยู่บนพื้นฐานของแอนดรอย ที่ปรับแต่งใส่ลูกเล่นเพิ่ม
สิ่งที่ผมชอบคือธีมเดิมๆ ที่ติดมากับเครื่อง ให้ความรู้สึกเรียบ สวย และเบา แต่ถ้าไม่ชอบธีมนี้ ก็โหลดเปลี่ยนได้ตามชอบ
สามารถเปลี่ยนแอพบน dock และวางได้สูงสุด 5 icon
ถ้าปัดมาด้านขวาสุดจะเจอกับ Exclusive space ซึ่งมันก็เปรียบเสมือน widget ขนาดเต็มหน้าจอสำหรับถ่ายรูปเรียงตามเวลาสวยๆ และเล่นเพลงด้วยการเลื่อนหัวอ่านไปวางที่แผ่นเสียง
แถบแจ้งเตือนมี Quick Settings ให้ปรับได้ครอบคลุม และด้านล่างมีบอกปริมาณเนทที่ใช้
ถ้าลากแถบแจ้งเตือนจากมุมบนซ้าย จะเป็นการเข้า Gesture panel สำหรับวาดรูปแทนคำสั่งต่างๆ ตามที่เราตั้งไว้ เช่น เปิดแอพ แต่ถ้าไม่ชอบ Gesture panel ก็สามารถปิดได้ครับ
Gesture & motion
อีกจุดเด่นของ ColorOS ก็คือเรื่องของการควบคุมด้วยท่าทาง ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดจอ
- กดปุ่ม home 2 ครั้งเพื่อปิดจอ
- คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง
- ยกแนบหูเพื่อรับสาย
- ปัดมือผ่านหน้าจอเพื่อรับสายแบบเปิดลำโพง
- เลื่อน 2 นิ้วขึ้น-ลงเพื่อปรับเสียง
- เลื่อน 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเปิดกล้อง
คำสั่งระหว่างปิดหน้าจอ เช่น วาด O เพื่อเปิดกล้อง หรือรูปอื่นๆ ที่สามารถตั้งค่าเองได้
ซึ่งการใช้งานจริง ผมชอบเรื่องการเคาะหน้าจอ 2 ครั้ง และกดปุ่ม home 2 ครั้ง สำหรับเปิด-ปิดหน้าจอ และก็การลาก 3 นิ้วเพื่อจับภาพหน้าจอ
สั่งงานด้วยเสียง แม้ปิดหน้าจอ
เราสามารถเรียกใช้งาน Google Now ได้แม้ปิดหน้าจอ ด้วยคำสั่ง "Hey, snapdragon" ซึ่งการใช้จริงยังไม่เหมาะกับคนไทยเท่าไร
3 ปุ่มล่างที่เปลี่ยนไป
นอกจากปุ่ม home ที่สามารถแตะ 2 ครั้งเพื่อปิดหน้าจอได้แล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ใหม่ตามนี้
- ปุ่ม menu กด 1 ครั้งเข้าเมนู กดค้างเรียกแอพล่าสุด
- ปุ่ม home กด 1 ครั้งกลับหน้าหลัก กด 2 ครั้งปิดหน้าจอ กดค้างเข้า Google Now
พื้นที่ยังคงเป็นปัญหาหลัก
การจัดสรรพื้นที่ภายในของ OPPO แบ่งไว้ค่อนข้างแปลกคือ เก็บตัว ColorOS ราว 3 GB แล้วแบ่งไว้ให้ติดตั้งแอพราว 3 GB นอกนั้นเอาไว้เก็บข้อมูลทั่วไป อาจเป็นปัญหาสำหรับคนที่ติดตั้งแอพเยอะๆ
แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งการติดตั้งแอพไปไว้ที่ Phone storage ก็จะเก็บแอพได้มากขึ้น
รองรับ OTG
นอกจากจะใส่ Micro SD ได้สูงถึง 128 GB แล้ว OPPO Find 7a ยังรองรับการใช้งาน USB OTG ด้วย
การโทรและข้อความ
มีมาให้ครบทั้งการบล็อกเบอร์ โทรด่วน โทรซ้ำ สั่นเมื่อปลายทางรับสาย เก็บสถิติการโทร
ส่วนของข้อความก็มี emoticon รวมทั้งเลือกแนบไฟล์ได้หลายแบบ
แป้นพิมพ์
รุ่นนี้ใช้แป้นพิมพ์ของ Swype ที่ใส่ธีมของ OPPO มาให้ ข้อดีคือมันลากนิ้วผ่านแต่ละตัวอักษรแทนการพิมพ์ได้ สามารถ sync ศัพท์ข้ามเครื่องได้ แต่ข้อเสียคือรูปแบบภาษาไทยค่อนข้างแปลก
และเนื่องจาก Google voice รองรับภาษาไทยแล้ว ทำให้สามารถพูดภาษาไทยแล้วแปลงเป็นตัวอักษรได้
Benchmark
คะแนนขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วเลย
ระบบรักษาความปลอดภัย
ยังเหมือนกับ OPPO รุ่นก่อนๆ คือ
- Guest mode
- Application encryption
- Holiday mode
- Notification center
- Data saving
- Permission monitor
ส่วนที่น่าสนใจจริงๆ คือ Guest mode สำหรับตั้งค่าเครื่องในกรณีที่คนยืมเครื่องไปเล่น จะได้ไม่ยุ่งกับข้อมูลส่วนตัวเรา และ Application encryption สำหรับใส่รหัสล็อกเฉพาะแอพ
ดูหนังฟังเพลง
แอพเล่นหนังใส่ความสามารถหลักๆ มาครบ
- ปัดจอด้านขวาเพื่อปรับเสียง
- ปัดจอด้านซ้ายเพื่อปรับแสง
- ล็อกหน้าจอป้องกันมือโดน
- ย่อเป็นหน้าต่างเล็ก
ส่วนแอพฟังเพลงก็ตั้งเวลาปิดเพลงได้ นอกจากนี้ยังใช้ระบบเสียง MAXX Audio ด้วย
ระบบ fast charging (VOOC)
พูดง่ายๆ ว่ามันคือระบบที่ทำให้ชาร์จเร็วขึ้น 4 เท่า โดยไม่อันตราย
กล้องที่น่าประทับใจ
สามารถปิดเสียงชัตเตอร์ได้ มีระบบ Smart scene และมีโหมดให้ใช้งานดังนี้
- Normal
- HDR
- Panorama
- Beautify
- Slow shutter
- HD picture
- Audio photo
- GIF
- RAW
แฟลชก็เลือกได้ 4 แบบคือ
- ปิด
- เปิด
- อัตโนมัติ
- เปิดตลอดเวลา
ส่วนของการอัดคลิปนอกจากความละเอียดสูงสุด 4K แล้วยังมีโหมด Slow motion
และสามารถถ่ายภาพนิ่งระหว่างอัดคลิป รวมทั้งสามารถ pause หยุดชั่วคราวระหว่างอัดคลิปได้ด้วย
โหมดที่คนพูดถึงเยอะคือ HD Picture ที่ทำการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 50 ล้าน ในอัตราส่วน 4:3
และประมาณ 37 ล้าน ในอัตราส่วน 16:9 ซึ่งข้อดีของความละเอียดที่สูงขึ้นคือทำให้ซูมได้มากขึ้น
ถ้าเทียบในระยะที่เท่ากันแล้ว แบบ HD ก็จะมีความคมชัดสูงกว่าแบบปรกติ
ส่วน HDR เมื่อใช้ในที่แสงน้อยก็ทำได้ค่อนข้างดี ช่วยให้ภาพสว่างขึ้นและรายละเอียดยังอยู่ครบถ้วน
และเมื่อใช้ HDR ถ่ายแบบย้อนแสงเต็มๆ ก็น่าประทับใจครับ เรียกว่าสวยมากเลยล่ะ
ทดสอบ white balance ด้วยการถ่ายภายใต้แสงไฟสีเหลืองส้ม สีสันและรายละเอียดค่อนข้างครบถ้วน
เมื่อเทียบกับ LG G2 แล้วทำได้ใกล้เคียงกัน... อันไหนสวยกว่าก็แล้วแต่วิจารณญาณ
การทดสอบที่แสงน้อย ผมขอใช้ LG G2 ในการอ้างอิงนะครับ
ในที่โหมดปรกติ noise เยอะกว่า G2 อย่างเห็นได้ชัด ส่วน Night scene ได้ภาพที่ดีขึ้น และในโหมด HD ให้ความคมชัดและสีสันคล้าย G2 ที่สุด
โหมด Slow shutter นอกจากจะใช้ถ่ายแสงไฟยามค่ำคืนแล้ว ยังช่วยให้ถ่ายภาพนิ่งในที่มืดได้ดีอีกด้วย
ภาพนี้ผมถ่ายตอนราวๆ เที่ยงคืนในห้องที่แทบจะมืดสนิท และอาศัยแสงไฟจากนอกบ้านเท่านั้น
กล้องหน้า 5 ล้าน
กล้องหน้าคมชัดสมกับ 5 ล้าน และมีให้ใช้งาน 3 โหมด
- Normal
- Beautify
- GIF
และรุ่นนี้สามารถใช้ปุ่มปรับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ เพื่อกดถ่ายรูปได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการ selfie
กล้องหน้ามีมุมค่อนข้างกว้าง สำหรับถ่ายภาพหมู่ได้ และจับโฟกัสหลายหน้าพร้อมกันได้ เท่าที่ลอง 3 คนก็จับโฟกัสใบหน้าได้ดีครับ
เอ่อ... คนหลังนั้นเค้าไม่อยากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงน่ะ
นอกจากนี้ยังมีโหมด GIF ให้ถ่ายภาพนิ่งรัวๆ 20 รูปมาเรียงต่อกัน
(ดูตัวอย่างภาพ GIF)
สรุป
จุดเด่นที่สำคัญของรุ่นนี้คือราคาที่ต่ำกว่าค่ายอื่น ส่วนกล้องก็ใช้จริงได้ง่ายและมีลูกเล่นที่น่าสนใจ ปัญหาเดียวคือเรื่องของสัดส่วนพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพ ที่แบ่งไว้เพียง 3 GB ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิคของค่ายนี้ไปแล้ว แม้จะแก้ได้ด้วยการตั้งค่า แต่ก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร
ถ้าต้องการมือถือสเป็กดี กล้องเด่น ราคาโดนๆ ผมคิดว่านาทีนี้คงไม่มีใครยั่วกิเลสได้เกิน Find 7a อีกแล้ว
อ่านฉบับเต็มและรูปขนาดใหญ่ได้ที่ http://www.bacidea.com/review-oppo-find-7a.html
ถ้าชอบก็ติดตามและพูดคุยกันที่เพจ http://www.facebook.com/bacidea