เนื่องในโอกาสที่ Star Wars : VII ประกาศรายชื่อนักแสดง ผมเลยเอากระทู้วิเคราะห์นี้มานำเสนอกันครับ
เมื่อเร็วๆนี้ผมไปเจอ Channel หนึ่งในยูทูป เป็นช่องรีวิวหนังทั่วๆไป แต่เจ้าของชาแนล คุณ BanditIncorporated ได้ทำคลิปกึ่งๆ Fan-fiction ของภาพยนตร์หลายๆเรื่องอย่าง Batman Vs Superman, Terminator 5, Avengers 2 : Age of Ultron ซึ่งผมรู้สึกว่าเจ้าตัววางโครงเรื่องและสร้างพล็อตที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เลยอยากเอามาแบ่งปันกันครับ
***เนื้องเรื่องของ SW7 นี้ทำขึ้นช่วงเดือนตุลาคมปี 2013 ก่อน JJ จะประกาศนักแสดงหรือแนวเรื่องใดๆ***
***ในบทบรรยายผมจะใช้คำแทนตัว "ผม" สื่อถึงเจ้าของคลิปนะครับ เพราะลองเขียนบรรยายแบบบุคคลที่ 3 แล้วไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่***
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งสำหรับสาวก Star Wars อย่างพวกเราก็คือพวกเราต้องจมอยู่กับอดีตมาเป็นเวลานานมาก ไม่ว่าจะเป็นการหวนกลับไปชื่นชมไตรภาคออริจินอล หรือกลับไปเคียดแค้นไตรภาคพรีควอล Star Wars :VII จึงเป็นโอกาสที่พวกเราจะได้มองไปยังอนาคตข้างหน้า
ผมจึงทำการรวบรวมข้อคิดเห็นต่างๆที่หนังภาคใหม่นี้อาจจะนำไปใช้ได้ และล้ำไปอีกขั้นคือผมจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นสร้าง "Fan-Fic" แบบย่อๆเกี่ยวกับโครงเรื่องของไตรภาค 7-8-9 ที่ผมหวังจะให้เป็น ซึ่งสุดท้ายแล้วเมื่อหนังออกมามันอาจจะไม่มีอะไรเป็นอย่างผมพูดไว้เลย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะดีกว่าเวอร์ชั่นของผม
เริ่มที่หัวข้อประเด็นต่างๆกันก่อน
1. Old School VS New School
กลุ่มหัวเก่านั้นต้องการให้หนังนำนักแสดงชุดเดิมจากไตรภาคออริจินอลทั้งหมดกลับมา และทำหนังให้เป็นเหมือนการรวมญาติชุดใหญ่ ในขณะที่กลุ่มหัวใหม่ต้องการจะปิดเนื้อเรื่องเก่าๆทั้งหมด และเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ในภาค 7 นี้เลย
คุณอาจจะพอเดาได้จากประโยคเกริ่นของผมว่าผมค่อนข้างจะโอนเอียงไปทางกลุ่มหัวใหม่ เหตุผลก็เพราะหากตัวหนังเปิดโอกาสที่ตัวละครเก่าๆจะกลับมามีบทบาทมากเกินไป มันอาจจะกลายเป็นหนังที่เน้นแต่ Referent จนขาดความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง เหมือนเกมส์พัซเซิลที่ให้แฟนมานั่งหา Cameo แทนที่จะเป็นเรื่องราวการผจญภัยอันสดใหม่
ที่สำคัญ SW7 นี้จะเป็นภาคเริ่มต้นของ "ไตรภาคใหม่" (7 8 9) เพราะงั้นคุณไม่ควรทำหนัง 3 เรื่องโดยพึ่งแต่ Referent เป็นหัวใจสำคัญ เพราะงั้นผมเห็นด้วยว่า ฮาน ลุค และเลอา ควรปรากฏตัวให้หนังภาค 7 แต่แค่มาเพื่อส่งต่อไม้ผลัดให้ตัวละครรุ่นถัดไปเท่านั้นพอ คุณไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวละครเก่าๆทิ้ง แต่ต้องลดบทบาทของพวกเขาลง เหมือนการที่โอบีวันปรากฏตัวในหนังภาค 4 ก่อนจะค่อยๆหมดบทบาทจนออกมาแค่เป็นตัวประกอบในภาค 5-6
2. Setting the stage
จากข้อมูลดูเหมือนตัวหนังจะเป็นช่วงเวลา 30 ปีให้หลังจาก SW6 ซึ่งนอกจากจะเหมาะสมกับอายุนักแสดงหน้าเก่าแล้ว ยังเป็นข้อดีสำหรับการตั้งเนื้อเรื่องใหม่ด้วย เหมือนใน SW4 ที่เริ่มเรื่องด้วยจักรววรดิก่อตั้งเรียบร้อย กลุ่มต่อต้านรวมตัวกันเสร็จสรรพ ทุกอย่างเตรียมพร้อมที่จะเข้าเนื้อเรื่องแอ็คชั่นได้ทันที การให้มีช่วงเวลาหลายปีผ่านไปใน SW7 จะให้ผลแบบเดียวกัน เราไม่ต้องเสียเวลามาดูสาธารณรัฐใหม่ก่อตั้ง ไม่ต้องนั่งดูกลุ่มต่อต้านเก็บกวาดกองกำลังที่เหลือจากจักรวรรดิ มันน่าเบื่อ
ส่วนตัวแล้ว ตอนจบของ SW6 คือการปิดฉากของมหากาพย์จักรวรรดิ ผมรู้ว่าใน EU นั้นจักรพรรดิพัลพาทีนคืนชีพกลับมาอีกแต่ผมไม่คิดว่าเขาควรจะมาปรากฏตัวในหนัง หมอนี่ได้บทเด่นไปตั้ง 6 ภาคแล้ว ควรจะได้เวลาจบแก๊บเรื่องของเฮียแกซักที เพราะงั้น ในหนังภาค 7 สาธารณรัฐใหม่ก่อตั้งมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ลุคเป็นผู้นำภาคีเจไดยุคใหม่ ฮานกับเลอาก็อาจจะเป็นวุฒิสมาชิก...หรือ...ตัวแทนสภา อะไรก็ว่าไป
เปิดเรื่องมา เราควรจะได้เห็นว่าบ้านเมืองยุคใหม่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เหมือนยุคทองที่สงบสุข ผู้คนสนใจในงานศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรม คล้ายยุคเรนาซองค์ของอวกาศ ประชาชนมีสีหน้ายิ้มแย้ม ท้องฟ้าสดใสสื่อถึงด้านสว่างของพลัง ในขั้นที่ว่านี่คือยุคที่สงบสุขอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้เป็นการเซ็ตฉาก...ของฟ้าสงบก่อนพายุกระหน่ำ
3.Bring Back the Force
ตั้งแต่ SW1 หนังดูจะให้ความสำคัญกับ Force น้อยลง และหันไปเน้นกระบี่แสงมากขึ้น แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องตัดกระบี่แสงทิ้ง แต่เราต้องลดความสำคัญของมันลงเพื่อชูการใช้งานด้าน Force ของเจไดมากขึ้น โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ ผมทราบดีว่าในไตรภาคออริจินอลไม่สามารถทำส่วนนี้ได้เพราะสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอ และในไตรภาคพรีควอล...จอร์จลูคัสก็เน้นกระบี่แสงมากกว่าการใช้ Force ถึงขั้นที่ว่าตัว Force เองมีบทบาทน้อยมากในไตรภาคนั้น จนเมื่อโอบีวันบอกอนาคินว่า "ขอพลังสถิตกับเจ้า" ทำให้ฉากดูกระอั่กกระอ่วนมากกว่าดูลึกซึ้ง
ใน SW7 นั้นช่วงเวลากำลังเหมาะที่จะนำ Force กลับ เทคโนโลยีถ่ายหนังก็มีพร้อมและแฟนๆก็อยากจะเห็น ใน SW5 นั้นโยดาได้อธิบายภาพของ Force ไว้ว่าเป็นพลังที่อยู่รอบตัวเรา สถิตอยู่ในสิ่งมีชีวิต มีเจตจำนงค์เหมือนเราทุกคน นั่นคือสิ่งที่หนังภาค 7 ควรย้อนกลับไป เพราะยังไงนั่นก็เป็นหน้าที่ลุคอยู่แล้วใช่มั้ย? หน้าที่ในการก่อตั้งและฝึกสอนภาคีเจไดยุคใหม่ ซึ่งนำไปเราไปสู่หัวข้อถัดไป
4.New Jedi Knight
เพราะการที่เป็นไตรภาคใหม่ เราควรจะได้เห็นเจไดรุ่นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งหน้าตา นิสัย และทัศนคติ ในส่วนของหน้าตานั้นผมหมายถึง
ไม่เอาเสื้อคลุมแล้ว!!! มันไม่ได้ดูดี แถมไม่สมเหตุผมผลอีกต่างหาก ใน SW4 นั้นโอบีวันใส่เสื้อคลุมเพราะเขาซ่อนตัวอยู่ในทะเล เหมือนที่ลุงโอเวนของลุคก็ใส่เสื้อคลุมเพราะเขาอยู่ในทะเลทราย แต่ไตรภาคพรีควอลดันมาบอกว่าเสื้อคลุมกลายเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของเจไดไปซะงั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกผิดปรกติที่โอบีวันจะยังใส่เสื้อคลุมเจไดในช่วงที่เขาซ่อนตัวจากจักรววรดิ
ในภาคใหม่ เราควรจะมีชุดเฉพาะตัวของแต่ละตัวละคร ออกแบบให้สะท้อนบุคลิกและนิสัยของคนนั้นๆ หรือถ้าจะเอาเครื่องแบบเจไดมาตรฐานจริง อย่างน้อยออกแบบให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าชุดเดิมสักหน่อย อย่าแค่เอาตัวละครมายัดใส่เสื้อคลุมสีตุ่นๆเหมือนที่แล้วๆมา
ในส่วนของนิสัยและทัศนคติ หากพวกเขาจะเป็นเจไดรุ่นเยาว์/พาดาวัน พวกเขาควรจะมีอารมณ์สดใส รื่นเริง เหมือนเด็กหนุ่มสาวทั่วไปก่อนจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาในชีวิต คอนเซปต์นี้สามารถถูกขยายไปเกี่ยวเนื่องกับทุกด้านๆของภาคีเจได พวกเขาควรเป็นตัวละครที่คนดูชื่นชอบ ไม่ใช่กลุ่มนักบวชพิลึกไร้บุคลิก
1 ในวิธีที่จะเล่นประเด็นนี้คือการระบุว่าลุคได้ยกเลิกกฏที่ห้ามไม่ให้เจไดมีความรัก จริงอยู่ว่ากฏนี้มีเหตุผลที่ยอมรับได้ในวิถีของเจได เพราะวิธีง่ายที่สุดที่ใครจะเข้าสู่ด้านมืดก็คือการเห็นคนที่ตัวเองรักถูกทำร้ายจนเกิดอารมณ์เคียดแค้นและตกลงสู่ด้านมืด และการมีกฏห้ามมีความรักก็ทำให้เจไดหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ไปได้ แต่ลุคนั้นได้เห็นมากับตาแล้ว...ว่าความรักนั้นสามารถช่วยให้คนที่ตกสู่ด้านมืดกลับมาสู่ด้านสว่างได้เช่นกัน เหมือนที่พ่อของเขา ดาร์ธเวเดอร์ กลับใจมาช่วยเขาเพราะไม่อยากเห็นลูกชายถูกทำร้าย ความรักจึงมีทั้งคุณและโทษ จึงสมเหตุสมผลที่ลุคจะยกเลิกกฏนั้นและทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงตัวละครในเรื่องได้มากขึ้น เพราะทีมเขียนบทสามารถใส่เรื่องราวความรักเข้ามาได้...และนี่เป็นหนังของดิสนีย์อยู่แล้วเพราะงั้นการันตรีได้เลยว่ามันต้องมีบทรัก
5.New Villain
แฟนบางส่วนไปไกลถึงขั้นบอกว่าเราควรจะทิ้ง "ซิธ" ไปเลยและต่อกรกับศัตรูรูปแบบใหม่ ซึ่ง...ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะถ้าไม่มีซิธ มันก็ค่อนข้างยากที่จะมีฉากสู้กันด้วยกระบี่แสง และมันจะไม่สมกับเป็นหนัง Star Wars เลยถ้าไม่มีฉากสู้กระบี่แสง แถมถ้าเราตัดซิธทิ้งไป มันจะทำให้ประเด็นของด้านมืด-สว่างของพลังขาดน้ำหนักไปอย่างมาก
เพราะงั้นผมว่าเราควรจะยังใช้ซิธอยู่ แต่มันต้องเป็น "ซิธรุ่นใหม่" เหมือนที่เรามีเจไดรุ่นใหม่ นั่นคือ...อย่าแค่ให้มีวายร้ายเสื้อคลุมดำถือกระบี่แสงสีแดง ซิธชุดใหม่ควรมีเอกลักษณ์หน้าตาและนิสัยเฉพาะตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราจะเผชิญใน SW7 นี้คือ ฝ่ายซิธไม่มีจักรวรรดิอีกแล้ว
ในไตรภาคออริจินอล จักรวรรดิดูเป็นวายร้ายที่ทรงพลังจนทำให้ฝ่ายต่อต้านกลายเป็นพระเอกไปโดยอัตโนมัติ เหมือนสูตรสำเร็จของแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ในไตรภาคพรีควอล เราได้เห็นแล้วว่าตัวหนังกระท่อนกระแท่นขนาดไหนเมื่อเนื้อเรื่องไม่มีวายร้ายที่ชัดเจน ใน SW7 นั้นเมื่อปราศจากจักรวรรดิและซิธเหลืออยู่จำนวนไม่มาก แถมอาจต้องกระจายตัวกันหลบซ่อน การจะให้พวกนี้เป็นภัยต่อสาธารณรัฐใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะงั้นทางออกที่ผมเสนอให้คือ...
นำเสนอเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนกลุ่มใหม่ ผมจินตนาการให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่างกายประกอบกันจากพลังงานบริสุทธิ์ คล้ายๆ Dr.แมนฮัตตั้นใน Watchmen ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ซึ่งโดยธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้...ทำให้พวกเขาสามารถควบคุม Force ได้ในระดับที่ยิ่งใหญ่อลังการชนิดไม่มีเจไดหรือซิธคนไหนเทียบได้มาก่อน ด้วยระดับความสามารถนี้จะทำให้พวกเขาดูเป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อกับสาธารณรัฐขึ้นมาทันที และเอเลี่ยนเหล่านี้จะทำการรวบรวมซิธทั่วไปมาฝึกฝนเป็นลูกศิษย์หรือสมุน เพื่อเราจะได้มีฉากสู้กันด้วยกระบี่แสงแบบคลาสสิคได้
***ณ จุดนี้เป็นต้นไป ข้อเสนอของผมจะเริ่มกลายเป็นกึ่งๆ Fan-Fiction แล้วนะครับ และขอย้ำว่าผมทำคลิปนี้ตอนเดือนตุลาคมปี 2013 เพราะงั้นหลังจากนี้อาจมีข่าวออกมาหักล้างเนื้อเรื่องทั้งหมดของผมทิ้งเลยก็ตาม***
อย่างไรก็ตาม 1 ในปัญหาที่ผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะมองข้ามไปของ Star Wars ชุดใหม่นี้ ก็คือ
6.Plan out the story ahead of time. ALL OF IT!!!
...to be continued...
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงค่ำๆอาจจะมาต่อครึ่งหลังนะครับ(ถ้ามีคนอ่านน่ะนะ) ใครมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องก็พูดคุยกันได้ หรือถ้าใครสนใจจะตามไปชมคลิปของจริงก็ตามนี้เลยนะครับ(ต้องแข็งภาษาอังกฤษซักนิดถึงจะฟังออก แต่ผมว่าสำเนียงเขาพูดฟังง่ายดีนะ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[กระทู้วิเคราะห์-กึ่ง-Fanfic] เนื้อเรื่องของ Star Wars : VII ควรเป็นอย่างไร?[Part 1]
เมื่อเร็วๆนี้ผมไปเจอ Channel หนึ่งในยูทูป เป็นช่องรีวิวหนังทั่วๆไป แต่เจ้าของชาแนล คุณ BanditIncorporated ได้ทำคลิปกึ่งๆ Fan-fiction ของภาพยนตร์หลายๆเรื่องอย่าง Batman Vs Superman, Terminator 5, Avengers 2 : Age of Ultron ซึ่งผมรู้สึกว่าเจ้าตัววางโครงเรื่องและสร้างพล็อตที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เลยอยากเอามาแบ่งปันกันครับ
***เนื้องเรื่องของ SW7 นี้ทำขึ้นช่วงเดือนตุลาคมปี 2013 ก่อน JJ จะประกาศนักแสดงหรือแนวเรื่องใดๆ***
***ในบทบรรยายผมจะใช้คำแทนตัว "ผม" สื่อถึงเจ้าของคลิปนะครับ เพราะลองเขียนบรรยายแบบบุคคลที่ 3 แล้วไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่***
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งสำหรับสาวก Star Wars อย่างพวกเราก็คือพวกเราต้องจมอยู่กับอดีตมาเป็นเวลานานมาก ไม่ว่าจะเป็นการหวนกลับไปชื่นชมไตรภาคออริจินอล หรือกลับไปเคียดแค้นไตรภาคพรีควอล Star Wars :VII จึงเป็นโอกาสที่พวกเราจะได้มองไปยังอนาคตข้างหน้า
ผมจึงทำการรวบรวมข้อคิดเห็นต่างๆที่หนังภาคใหม่นี้อาจจะนำไปใช้ได้ และล้ำไปอีกขั้นคือผมจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นสร้าง "Fan-Fic" แบบย่อๆเกี่ยวกับโครงเรื่องของไตรภาค 7-8-9 ที่ผมหวังจะให้เป็น ซึ่งสุดท้ายแล้วเมื่อหนังออกมามันอาจจะไม่มีอะไรเป็นอย่างผมพูดไว้เลย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะดีกว่าเวอร์ชั่นของผม
เริ่มที่หัวข้อประเด็นต่างๆกันก่อน
1. Old School VS New School
กลุ่มหัวเก่านั้นต้องการให้หนังนำนักแสดงชุดเดิมจากไตรภาคออริจินอลทั้งหมดกลับมา และทำหนังให้เป็นเหมือนการรวมญาติชุดใหญ่ ในขณะที่กลุ่มหัวใหม่ต้องการจะปิดเนื้อเรื่องเก่าๆทั้งหมด และเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ในภาค 7 นี้เลย
คุณอาจจะพอเดาได้จากประโยคเกริ่นของผมว่าผมค่อนข้างจะโอนเอียงไปทางกลุ่มหัวใหม่ เหตุผลก็เพราะหากตัวหนังเปิดโอกาสที่ตัวละครเก่าๆจะกลับมามีบทบาทมากเกินไป มันอาจจะกลายเป็นหนังที่เน้นแต่ Referent จนขาดความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง เหมือนเกมส์พัซเซิลที่ให้แฟนมานั่งหา Cameo แทนที่จะเป็นเรื่องราวการผจญภัยอันสดใหม่
ที่สำคัญ SW7 นี้จะเป็นภาคเริ่มต้นของ "ไตรภาคใหม่" (7 8 9) เพราะงั้นคุณไม่ควรทำหนัง 3 เรื่องโดยพึ่งแต่ Referent เป็นหัวใจสำคัญ เพราะงั้นผมเห็นด้วยว่า ฮาน ลุค และเลอา ควรปรากฏตัวให้หนังภาค 7 แต่แค่มาเพื่อส่งต่อไม้ผลัดให้ตัวละครรุ่นถัดไปเท่านั้นพอ คุณไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวละครเก่าๆทิ้ง แต่ต้องลดบทบาทของพวกเขาลง เหมือนการที่โอบีวันปรากฏตัวในหนังภาค 4 ก่อนจะค่อยๆหมดบทบาทจนออกมาแค่เป็นตัวประกอบในภาค 5-6
2. Setting the stage
จากข้อมูลดูเหมือนตัวหนังจะเป็นช่วงเวลา 30 ปีให้หลังจาก SW6 ซึ่งนอกจากจะเหมาะสมกับอายุนักแสดงหน้าเก่าแล้ว ยังเป็นข้อดีสำหรับการตั้งเนื้อเรื่องใหม่ด้วย เหมือนใน SW4 ที่เริ่มเรื่องด้วยจักรววรดิก่อตั้งเรียบร้อย กลุ่มต่อต้านรวมตัวกันเสร็จสรรพ ทุกอย่างเตรียมพร้อมที่จะเข้าเนื้อเรื่องแอ็คชั่นได้ทันที การให้มีช่วงเวลาหลายปีผ่านไปใน SW7 จะให้ผลแบบเดียวกัน เราไม่ต้องเสียเวลามาดูสาธารณรัฐใหม่ก่อตั้ง ไม่ต้องนั่งดูกลุ่มต่อต้านเก็บกวาดกองกำลังที่เหลือจากจักรวรรดิ มันน่าเบื่อ
ส่วนตัวแล้ว ตอนจบของ SW6 คือการปิดฉากของมหากาพย์จักรวรรดิ ผมรู้ว่าใน EU นั้นจักรพรรดิพัลพาทีนคืนชีพกลับมาอีกแต่ผมไม่คิดว่าเขาควรจะมาปรากฏตัวในหนัง หมอนี่ได้บทเด่นไปตั้ง 6 ภาคแล้ว ควรจะได้เวลาจบแก๊บเรื่องของเฮียแกซักที เพราะงั้น ในหนังภาค 7 สาธารณรัฐใหม่ก่อตั้งมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ลุคเป็นผู้นำภาคีเจไดยุคใหม่ ฮานกับเลอาก็อาจจะเป็นวุฒิสมาชิก...หรือ...ตัวแทนสภา อะไรก็ว่าไป
เปิดเรื่องมา เราควรจะได้เห็นว่าบ้านเมืองยุคใหม่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เหมือนยุคทองที่สงบสุข ผู้คนสนใจในงานศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรม คล้ายยุคเรนาซองค์ของอวกาศ ประชาชนมีสีหน้ายิ้มแย้ม ท้องฟ้าสดใสสื่อถึงด้านสว่างของพลัง ในขั้นที่ว่านี่คือยุคที่สงบสุขอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้เป็นการเซ็ตฉาก...ของฟ้าสงบก่อนพายุกระหน่ำ
3.Bring Back the Force
ตั้งแต่ SW1 หนังดูจะให้ความสำคัญกับ Force น้อยลง และหันไปเน้นกระบี่แสงมากขึ้น แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องตัดกระบี่แสงทิ้ง แต่เราต้องลดความสำคัญของมันลงเพื่อชูการใช้งานด้าน Force ของเจไดมากขึ้น โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ ผมทราบดีว่าในไตรภาคออริจินอลไม่สามารถทำส่วนนี้ได้เพราะสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอ และในไตรภาคพรีควอล...จอร์จลูคัสก็เน้นกระบี่แสงมากกว่าการใช้ Force ถึงขั้นที่ว่าตัว Force เองมีบทบาทน้อยมากในไตรภาคนั้น จนเมื่อโอบีวันบอกอนาคินว่า "ขอพลังสถิตกับเจ้า" ทำให้ฉากดูกระอั่กกระอ่วนมากกว่าดูลึกซึ้ง
ใน SW7 นั้นช่วงเวลากำลังเหมาะที่จะนำ Force กลับ เทคโนโลยีถ่ายหนังก็มีพร้อมและแฟนๆก็อยากจะเห็น ใน SW5 นั้นโยดาได้อธิบายภาพของ Force ไว้ว่าเป็นพลังที่อยู่รอบตัวเรา สถิตอยู่ในสิ่งมีชีวิต มีเจตจำนงค์เหมือนเราทุกคน นั่นคือสิ่งที่หนังภาค 7 ควรย้อนกลับไป เพราะยังไงนั่นก็เป็นหน้าที่ลุคอยู่แล้วใช่มั้ย? หน้าที่ในการก่อตั้งและฝึกสอนภาคีเจไดยุคใหม่ ซึ่งนำไปเราไปสู่หัวข้อถัดไป
4.New Jedi Knight
เพราะการที่เป็นไตรภาคใหม่ เราควรจะได้เห็นเจไดรุ่นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งหน้าตา นิสัย และทัศนคติ ในส่วนของหน้าตานั้นผมหมายถึง ไม่เอาเสื้อคลุมแล้ว!!! มันไม่ได้ดูดี แถมไม่สมเหตุผมผลอีกต่างหาก ใน SW4 นั้นโอบีวันใส่เสื้อคลุมเพราะเขาซ่อนตัวอยู่ในทะเล เหมือนที่ลุงโอเวนของลุคก็ใส่เสื้อคลุมเพราะเขาอยู่ในทะเลทราย แต่ไตรภาคพรีควอลดันมาบอกว่าเสื้อคลุมกลายเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของเจไดไปซะงั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกผิดปรกติที่โอบีวันจะยังใส่เสื้อคลุมเจไดในช่วงที่เขาซ่อนตัวจากจักรววรดิ
ในภาคใหม่ เราควรจะมีชุดเฉพาะตัวของแต่ละตัวละคร ออกแบบให้สะท้อนบุคลิกและนิสัยของคนนั้นๆ หรือถ้าจะเอาเครื่องแบบเจไดมาตรฐานจริง อย่างน้อยออกแบบให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าชุดเดิมสักหน่อย อย่าแค่เอาตัวละครมายัดใส่เสื้อคลุมสีตุ่นๆเหมือนที่แล้วๆมา
ในส่วนของนิสัยและทัศนคติ หากพวกเขาจะเป็นเจไดรุ่นเยาว์/พาดาวัน พวกเขาควรจะมีอารมณ์สดใส รื่นเริง เหมือนเด็กหนุ่มสาวทั่วไปก่อนจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาในชีวิต คอนเซปต์นี้สามารถถูกขยายไปเกี่ยวเนื่องกับทุกด้านๆของภาคีเจได พวกเขาควรเป็นตัวละครที่คนดูชื่นชอบ ไม่ใช่กลุ่มนักบวชพิลึกไร้บุคลิก
1 ในวิธีที่จะเล่นประเด็นนี้คือการระบุว่าลุคได้ยกเลิกกฏที่ห้ามไม่ให้เจไดมีความรัก จริงอยู่ว่ากฏนี้มีเหตุผลที่ยอมรับได้ในวิถีของเจได เพราะวิธีง่ายที่สุดที่ใครจะเข้าสู่ด้านมืดก็คือการเห็นคนที่ตัวเองรักถูกทำร้ายจนเกิดอารมณ์เคียดแค้นและตกลงสู่ด้านมืด และการมีกฏห้ามมีความรักก็ทำให้เจไดหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ไปได้ แต่ลุคนั้นได้เห็นมากับตาแล้ว...ว่าความรักนั้นสามารถช่วยให้คนที่ตกสู่ด้านมืดกลับมาสู่ด้านสว่างได้เช่นกัน เหมือนที่พ่อของเขา ดาร์ธเวเดอร์ กลับใจมาช่วยเขาเพราะไม่อยากเห็นลูกชายถูกทำร้าย ความรักจึงมีทั้งคุณและโทษ จึงสมเหตุสมผลที่ลุคจะยกเลิกกฏนั้นและทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงตัวละครในเรื่องได้มากขึ้น เพราะทีมเขียนบทสามารถใส่เรื่องราวความรักเข้ามาได้...และนี่เป็นหนังของดิสนีย์อยู่แล้วเพราะงั้นการันตรีได้เลยว่ามันต้องมีบทรัก
5.New Villain
แฟนบางส่วนไปไกลถึงขั้นบอกว่าเราควรจะทิ้ง "ซิธ" ไปเลยและต่อกรกับศัตรูรูปแบบใหม่ ซึ่ง...ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะถ้าไม่มีซิธ มันก็ค่อนข้างยากที่จะมีฉากสู้กันด้วยกระบี่แสง และมันจะไม่สมกับเป็นหนัง Star Wars เลยถ้าไม่มีฉากสู้กระบี่แสง แถมถ้าเราตัดซิธทิ้งไป มันจะทำให้ประเด็นของด้านมืด-สว่างของพลังขาดน้ำหนักไปอย่างมาก
เพราะงั้นผมว่าเราควรจะยังใช้ซิธอยู่ แต่มันต้องเป็น "ซิธรุ่นใหม่" เหมือนที่เรามีเจไดรุ่นใหม่ นั่นคือ...อย่าแค่ให้มีวายร้ายเสื้อคลุมดำถือกระบี่แสงสีแดง ซิธชุดใหม่ควรมีเอกลักษณ์หน้าตาและนิสัยเฉพาะตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราจะเผชิญใน SW7 นี้คือ ฝ่ายซิธไม่มีจักรวรรดิอีกแล้ว
ในไตรภาคออริจินอล จักรวรรดิดูเป็นวายร้ายที่ทรงพลังจนทำให้ฝ่ายต่อต้านกลายเป็นพระเอกไปโดยอัตโนมัติ เหมือนสูตรสำเร็จของแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ในไตรภาคพรีควอล เราได้เห็นแล้วว่าตัวหนังกระท่อนกระแท่นขนาดไหนเมื่อเนื้อเรื่องไม่มีวายร้ายที่ชัดเจน ใน SW7 นั้นเมื่อปราศจากจักรวรรดิและซิธเหลืออยู่จำนวนไม่มาก แถมอาจต้องกระจายตัวกันหลบซ่อน การจะให้พวกนี้เป็นภัยต่อสาธารณรัฐใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะงั้นทางออกที่ผมเสนอให้คือ...
นำเสนอเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนกลุ่มใหม่ ผมจินตนาการให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่างกายประกอบกันจากพลังงานบริสุทธิ์ คล้ายๆ Dr.แมนฮัตตั้นใน Watchmen ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ซึ่งโดยธรรมชาติของเผ่าพันธุ์นี้...ทำให้พวกเขาสามารถควบคุม Force ได้ในระดับที่ยิ่งใหญ่อลังการชนิดไม่มีเจไดหรือซิธคนไหนเทียบได้มาก่อน ด้วยระดับความสามารถนี้จะทำให้พวกเขาดูเป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อกับสาธารณรัฐขึ้นมาทันที และเอเลี่ยนเหล่านี้จะทำการรวบรวมซิธทั่วไปมาฝึกฝนเป็นลูกศิษย์หรือสมุน เพื่อเราจะได้มีฉากสู้กันด้วยกระบี่แสงแบบคลาสสิคได้
***ณ จุดนี้เป็นต้นไป ข้อเสนอของผมจะเริ่มกลายเป็นกึ่งๆ Fan-Fiction แล้วนะครับ และขอย้ำว่าผมทำคลิปนี้ตอนเดือนตุลาคมปี 2013 เพราะงั้นหลังจากนี้อาจมีข่าวออกมาหักล้างเนื้อเรื่องทั้งหมดของผมทิ้งเลยก็ตาม***
อย่างไรก็ตาม 1 ในปัญหาที่ผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะมองข้ามไปของ Star Wars ชุดใหม่นี้ ก็คือ
6.Plan out the story ahead of time. ALL OF IT!!!
...to be continued...
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงค่ำๆอาจจะมาต่อครึ่งหลังนะครับ(ถ้ามีคนอ่านน่ะนะ) ใครมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องก็พูดคุยกันได้ หรือถ้าใครสนใจจะตามไปชมคลิปของจริงก็ตามนี้เลยนะครับ(ต้องแข็งภาษาอังกฤษซักนิดถึงจะฟังออก แต่ผมว่าสำเนียงเขาพูดฟังง่ายดีนะ)