ความรู้สึกหลังดู The Railway Man (ไม่สปอยล์)

The Railway Man หนังดรามาหนักๆ อารมณ์หมองๆ นานแล้วที่ไม่ได้ดูหนังที่เล่นกับอารมณ์ของตัวละครมากกว่าที่จะเน้นเทคนิคการถ่ายทำอย่างนี้ (คงไม่ถูกจริตคนดูทั่วไปนักด้วยเพราะรอบที่ไปดูมีคนดูไม่ถึงสิบคน และโรงก็ฉายเพียงวันละสองรอบเอง โรงต่างจังหวัดครับ)

ประเด็นของหนังคือ แม้สงครามจบแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงเหลือคือบาดแผลและฝันร้ายที่อยากลืมแต่ลืมไม่ได้ หนังไม่ได้เน้นที่เหตุการณ์การสู้รบระหว่างสงครามหรือความยากลำบากของการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควของเชลยฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ฉายภาพการทรมานนักโทษที่ญี่ปุ่นกระทำต่อเชลยคนหนึ่ง ซึ่งผลที่ยังตกค้างตลอดชีวิตที่เหลืออยู่แม้เหตุการณ์นั้นจะจบสิ้นแล้วคือความทรงจำอันเลวร้ายและชีวิตที่แหว่งวิ่นตกแตกของผู้ผ่านเหตุการณ์นั้น (เหตุการณ์ที่เปรียบได้กับอยู่ในนรกบนดินถึงขนาดที่ว่า ในช่วงเวลานั้น ความตายยังดีการมีชีวิตอยู่...)
ดูเรื่องนี้แล้วอาจลืมภาพนายทหารญี่ปุ่นหนุ่มผู้โรแมนติกอย่างโกโบริในคู่กรรมของทมยันตีไปเลย เพราะหนังให้ภาพความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำต่อเชลยฝรั่งอย่างน่าสะเทือนใจ (หนังเสนอภาพไม่กี่ฉาก แต่เท่านี้ก็เกินพอ จุก และเจ็บหัวใจไปกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า) แต่ในท้ายเรื่องก็ชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นฝ่ายผู้กระทำ แต่ก็เป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่ยากจะลืมไม่ต่างกันนัก สุดท้ายหนังพยายามบอกกับคนดูว่า สิ่งที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลในอดีตให้ทุเลาเบาบางคือ ความรักและการให้อภัย คอลิน เฟิร์ทซึ่งเล่นเป็นอดีตเชลยสงครามที่ไปสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควรวมถึงดาราอีกคนที่แสดงเป็นเขาในตอนหนุ่ม (ในช่วงย้อนภาพในอดีต) แสดงได้ดีมากระดับเสนอชื่ออสการ์ได้เลย เสียดายอยู่นิดเดียว ภาพสะพานข้ามแม่น้ำแควในเมืองไทยและเส้นทางรถไฟสายมรณะที่หนังยกกองมาถ่ายทำถึงที่จังหวัดกาญจนบุรีมันน่าจะออกมาสวยได้กว่านี้นะครับ

ป.ล.เพิ่มเติม หนังโคลสอัพแว่นสายตาของพระเอกหลายครั้งอย่างมีนัยสำคัญ น่าจะมีสัญลักษณ์บางอย่างซ่อนอยู
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่