[CR] ตลุยแดนภารตะ ตอนที่1 ความจริงอยู่ที่ไหน

สวัสดีครับ ได้อ่านกระทู้ของเพื่อนๆหลายๆคนที่รีวิว เรื่องประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างแดนในด้านมืด ที่ค่อนข้างจะเป็นประโยชน์ใน การระวังตัว การเตรียมตัวรับมือกับการโกหกหลอกลวงต่างๆนานๆ ของเหล่านักต้มหมู(หลอกนักท่องเที่ยว) แท็กซี่ รถรับจ้างต่างๆ พ่อค้าหัวหมอ และ อื่นๆอีกมากมาย จนทำให้ผมอยากที่จะแชร์ ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ในดินแดนภารตะ



              การเดินทางในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ในเดือน มีนาคม ขอเท้าความก่อนนะครับ ในความต้องการส่วนตัวแล้ว ประเทศอินเดียวยังไม่ได้อยู่ในสารบบของผมเลย แต่ด้วยเหตุที่ แฟนของผมต้องการที่จะเดินทางไปเที่ยวที่นี่เพื่อเห็นสัจธรรมของชีวิต(แฟนผมเป็นชาวญี่ปุ่น)ในตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการไปเที่ยวในประเทศนี่ จะได้เห็นสัจธรรมของชีวิตยังไง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ลำบากไปหรือป่าว

อาหารสะอาดมั้ย แล้วห้องน้ำจะเป็นอย่างที่ได้ยินจริงหรือป่าว และอะไรอีกมากมายที่เกิดขึ้นในหัว ผมไม่ได้เรื่องมากนะครับ แต่แค่เป็นห่วงอยู่ในใจ และที่สำคัญช่วงนั้นมีข่าวเรื่อง นศ.แพทย์ สาวชาวอินเดีย ถูก..........ตามที่เห็นในข่าว และความวุ่นวายของการประท่วง ผมจึงตัดสินใจที่จะไปด้วยอย่างไม่ลังเล ปรกติการไปเที่ยวต่างประเทศของผมกับแฟนเรามักจะไปกันเองตลอด ในทุกๆครั้งผมจะหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง

สถานที่เที่ยว อาหารขึ้นชื่อ ที่พัก และอะไรอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ แต่สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ บอกตามตรงผมไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลย เพราะอย่างที่บอกไม่ได้อยู่ในสารบบของผมเลย ผมจึงให้แฟนจัดการโปรแกรมเที่ยวในครั้งนี้ ข้อมูลสำหรับผมในตอนนั้น คือ ต้องระวังตัว จากทุกๆอย่าง และก่อนออกเดินทางแม่ผมบอกว่า มีเหตุคาร์บอม ที่อินเดีย ผมบอกกับแม่เพื่อให้สะบายใจไปว่า ประเทศเค้าใหญ่ คงไม่ใช่ในที่ๆไปหลอก



                ผมบินด้วยสายการบิน อินดิโก้ ถึงที่สนามบินเดลี เวลาประมาณบ่าย 3 โมง แฟนผมบินจากญี่ปุ่น จะถึงประมาณ 6 โมง ผมจึงต้องรอ 3 ชม.   ผมจะพยายามอธิบายเป็นตัวหนังสือ   ให้เห็นภาพมากที่สุด   ผมผ่าน ตม. เข้ามาถึงจุดรับกระเป๋า ความรู้สึกแรกที่ผมผ่านตม.ออก

มาคือ คนไปไหนกันหมด คนน้อยมาก และที่สำคัญ มีทหาร หรือตำรวจ ไม่แน่ใจ ถือปืนยาว จำพวก M4A1 คิดในใจว่าทำไมในสนามบินต้องใช้อาวุธสงครามรักษาความปลอดภัยกันเลยหรือ แถมยังมีสุนัขตำรวจ หรือ สุนัขทหาร อีกสองตัว ถ้ามองในแง่ดี ก็ดีเหมือนกันปลอดภัยดี แต่ผมคิดในแง่ที่ว่า   สงสัยจะอยู่ในช่วงที่ไม่ปลอดภัยจิงๆ   เลยต้องเตรียมพร้อมขนาดนี้ 3 ชม.  ในสนามบินอื่นๆคงน่าจะมีอะไรๆทำมากมาย แต่

สำหรับผมนั่งเท่านั้นไปไหนไม่ได้   เพราะถ้าออกจากจุดนี้ไปแล้ว    จะไม่สามารถเข้ามาอีกได้  (จะเข้าได้ต้องมีตั๋วเครื่องบินแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ถึงจะเข้าภายในสนามบินได้)    หรือถ้าไปรอด้านนอกก็กลัวจะหากันไม่เจอ เ   พราะด้านนอกน่าจะมีคนมากมาย   ผมจึงรออยู่ตรงที่รับกระเป๋าจนประมาณ 6 โมงเย็นแฟนผมก็มา



               หลังจากนี้นี่แหละครับ     เรื่องราวที่โหดมันฮาก็ได้เริ่มขึ้น แฟนผมจองที่พักในย่านที่คล้ายๆตรอกข้าวสารบ้านเรา   (ขออภัยผมจำชื่อไม่ได้ ไว้ถามแฟนแล้วจะมาแก้ไขครับ)   การเดินทางไปได้โดยรถไฟฟ้าใต้ติน รถแท็กซี่     จากสนามบินไปที่พักแฟนผมบอกว่า ประมาณ11กิโลเมตร    ทราบว่าค่าครองชีพที่อินเดียถูกกว่าเรา    ผมเลยลองไปถามแท็กซี่ของสนามบินว่าเท่าไหร่     (คิดว่ายังไงคงไม่เกิน 300 บาท)   

        ตอนที่ผมไปค่าเงิน 160 RP.=100 B. แท็กซี่บอกมาว่า 1000 RP. ตก600กว่าบาท    แพงเกินไป    เลยเลือกที่จะไปนั่งรถไฟฟ้า ว่าแต่อยู่ไหนอ่ะ    เดินไปถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกทาง    เราเดินไปได้      นิดเดียวก็มีชาวอินเดียวเดินมาประกบทำเนียนว่าจะไปขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนกัน (ผมขอแทนตัวชายคนนี้ว่า อารีย์) อารีย์แกล้งชวนผมคุยเกี่ยวกับเมืองไทยโน้นนี้นั้น   แล้วก็เข้าเรื่องระหว่างที่เดินอารีย์ถามว่าผมกำลังจะ

นั้งรถไฟฟ้าไปที่ไหน ผมก็บอกว่าจะไปที่พักย่าน.......(รอถามแฟนก่อนจำไม่ได้อิอิ)    เค้าก็บอกว่าทำไมไม่นั้งรถแท็กซี่ไปล่ะ   ผมบอกว่าถามแล้วแพงมาก    อารีย์เลยแนะนำว่า    ต้องเรียกรถที่ไม่ใช่ของสนามบินถูกกว่า     ด้วยความเป็นมิตรของอารีย์ที่เค้าแสดง(ได้รางวัลออสก้า)    ผมจึงลองไปถามแท็กซี่ที่จอดเรียงลายมากมายด้านนอกเค้าบอกว่าลองเข้าไปถามคนขับดู     เค้าต้องไปแล้ว    ผมกล่าวขอบคุณอารีย์   และ   

บอกว่าคุณเป็นคนดีมาก    และ   รู้สึกว่าอินเดียก็ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด  เหมือนกับ   อโยธยายังไม่สิ้นคนดี 555    ผมกับแฟนเข้าไปถามราคาว่าไปที่พักเท่าไหร่    คนขับทำถ้าสงสัยและเล่นไปตามบทอีกว่า   เค้าพาไปได้   แต่ไม่แน่ใจว่าไกลแค่ไหน   ขอคิดค่าโดยสารเป็นกิโลเมตรแล้วกัน  กม.ล่ะ 100 RP.  (สมองผมคิดคำนวนราคา+ระยะทาง แบบคล้าวๆ) 11 กม. = 1100 RP.ยังไม่รวมว่ามันจะพาเราอ้อมหรือป่าว  

           ผมจึงเซย์โน  และ  ก็หันหลังเดินกลับ   คนขับพูดอะไรต่างๆนานาเพื่อให้เรากลับไปขึ้นรถ  เดินไปไม่เกิน 10 ก้าว   เชื่อมั้ยครับ อารีย์ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง   (ไหนบอกว่าต้องไปแล้วไง อยู่ๆออกมาจากรูไหนนิ)  เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น  และ  พูดจาหว่านล้อมให้ลองไปถามคันอื่นดู  ต่อมจับผิดผมเริ่มทำงาน  (คุณอารีย์คุณคือพวกเดียวกับ แท็กซี่แน่นอน คิดในใจ)  คิดจะกินค่าหัวเราแน่ๆ  ผมจึงปฏิเสธข้อเสนอต่างๆ

และกลับไปทางที่สถานนีรถไฟฟ้าใต้ดิน  เดินมานิดเดียวก็ถึง  สถานนี คนน้อยเหมือนเดิม  หิวมากเลยแวะทานอาหารมื้อแรกในประเทศอินเดีย ที่สถานนีรถไฟฟ้า  พอทานเสร็จ  เราจึงเดินทางไปยังที่พักโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน  ใช้เวลาเพียงแปปเดียวก็ถึงสถานนีที่ใกล้กับที่พัก  ลืมบอกไปว่าระหว่างที่นั่งรถไฟใต้ดินผมไม่เห็นบรรยากาศของเมืองนิวเดลีเลย  จึงไม่ทราบว่าบ้านเมืองเค้าเป็นอย่างไร







                     พอเดินออกมาจากสถานนีรถไฟใต้ดิน   ภาพแรกที่เห็นคือ   บรรยากาศคล้ายๆกับ   หัวลำโพงบ้านเราในช่วงเทศกาลที่คนกำลังจะกลับบ้าน   คนมากมายแยอะแยะ  ตาแป๊ะไก๋  ดูวุ่นวาย   คนละโลกกับสนามบินเลย   เวลานั้นประมาณ ทุ่มกว่าๆ  ความคิดของผมในตอนนั้นทำไมเมืองหลวงเค้าถึงวุ่นวายจัง   หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุการบ้านเมืองในตอนนั้น  ผมถามแฟนว่าที่พักต้องไปยังไงต่อ  แฟนผมบอก

ว่าเดินไปจากที่นี้ประมาณ 15-20 นาที  สะบายไกลว่านี้ผมก็เคยมาแล้ว  กระเป๋าเดินทางสองใบสำหรับผมไม่ใช้ปัญหาเดินไปได้  พอก้าวเท้าออกมายังไม่พ้น  จากตัวสถานนี  เหมือนบ้านเราที่จะมีรถรับจ้างต่างๆนานา   เดินเข้ามาถามว่าเราจะไหน   (ผมคิดในใจไม่ได้กินผมหรอก)  ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้นแกล้งใบ้  แต่แฟนผมเห็นรถสามล้อรับจ้าง  คล้ายๆกับรถกระป๊อ(สามล้อหน้าใหญ่ๆ) ที่มีวิ่งที่อยุธยา นนทบุรี อะไรประมาณนั้น  

         เลยอยากนั้ง  เมื่อแฟนผมต้องการ   ผมจึงจัดแจงถามราคาในการไปส่งเราที่ที่พัก  เค้าดูชื่อ โรงแรม และก็บอกมาว่า คนละ 20 สองคน 40 โอ้แม่เจ้า  ตกราคาเป็นเงินไทย ประมาณ 25 บาท ถูกมาก (25 บาทกับการเดินลากกระเป๋าสองใบ 15-20 นาที)ให้ทายว่าผมนั่ง หรือเดิน ..................................................

      ผมเลือกที่จะนั่งอย่างไม่ลังเลใจอะไรเลย  พอเราตกลงก็เดินไปที่รถ   แต่ทันใดนั้นก็มีเสียเอะอะโวยวายจาก  คนขับรถอีกคนนึง(ผมให้ชื่อว่า นายกระปุก) ตัวเล็กเสียงดัง  สนทนากับคนขับรถที่กำลังจะพาเราไปที่พักด้วยภาษาฮินดี้   ฟังไม่ออกดูจากกริยาแล้วแปลเป็นไทยได้ว่า   "แกแซงคิวฉันได้ยังไง ลูกค้าต้องไปกับฉัน ไม่งั้นแกเจ็บตัวแน่"  ถ้าต่อยกันเหมือนกับ บัวขาว ต่อยกับ  คุณปุ๊ยตีสิบ(นายกระปุก)  เถียงกันพักใหญ่  

          ผมยืนยันที่จะไปกับคนแรกที่ผมตกลง  แต่คนขับรถคนแรกบอกว่าให้ไปกับนายกระปุก  ผมจึงถามราคาอีกครั้ง เค้าบอกว่า "2คน 40." ผมจึงโอเค  เหมือนว่าจะราบลื่น  ผมขึ้นไปนั่ง  สถาพรถอย่างที่บอกครับ  คล้ายๆกับรถกระป๊อสามล้อที่ไทย  แตกต่างกันที่ มีมิเตอร์(แล้วทำไม่ไม่ช้ล่ะ คิดในใจ)  และก็มีผ้าใบสีดำปิดโดยรอบ  มองเห็นด้านนอกแค่ช่องทางขึ้น  และ  กระจกหน้าของคนขับ  ระหว่างทางผมเห็นความ

วุ่นวายของการจารจร  ที่คิดว่าหนักหนากว่าไทยเยอะ  สภาพที่อยู่อาศัยสองข้างทาง  ก็เก่าทรุดโทรม  ผ่านบางช่วงที่มีร้าน แม็คโดนัล KFC บ้าง(ส่วนนี้ดูดีที่สุดคล้ายๆห้าง ดิโอลสยามบ้านเรา)  คนเดินริมทางมากมาย  ขยะไม่ต้องถามถึงถัง  อยู่ได้ทุกที่  ด่านตำรวจ ก็มีให้เห็นอยู่ตลอดทาง    ดูทางไปเก็บบรรยากาศไปจนลืมไปว่า  ถ้าเราเดิน  แค่15-20 นาทีนิ  แต่นี้ผมนั่งอยู่บนรถที่วิ่งตลอดกว่า  15 นาทีแล้วทำไมยังไม่

ถึงสักที     ผมคุยกับแฟนว่านานผิดปกติแล้วนะ  แฟนผมก็เห็นด้วย  ผมจึงถาม  นายประปุก  ว่าทำไมไม่ถึงสักที  เพราะถ้าเดินใช้เวลา 15-20  นาทีเอง    นี้ก็เกือบ 20นาที แล้ว นายกระปุกนิ่งไม่ตอบอะไร  แกล้งทำเฉย  แฟนผมบอกกับผมว่า  เค้าอาจจะโกงเรา ว่า 40 ที่บอกกันในตอนแรกคือ    40 ดอลลาร์ ไม่ใช่ 40 RP.  เกมพลิกอีกแล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  จาก ประมาณ 25 บาท  จะกลายเป็น 1000 กว่าบาท  ผมบอกกับ

แฟนว่า ถ้าถึงที่พักแล้วให้เอาของลงก่อนจ่ายเงิน  ถ้ามีปัญหาตอนจ่ายเงินผมจะจัดการเอง  หลังจากนั้นอีกสัก5-10นาที  นั้งมาเกือบ ครึ่งชม. นายกระปุกก็บอกเราว่าเข้าซอยไปก็ถึงที่พักแล้ว  พอถึงทางเข้าซอยอยู่ๆก็มี  ผู้ชายคนนึงมายืนขวางทางเข้าไม่ให้รถเราเข้าซอย......เดี๋ยวผมมาเล่าต่อครับ เรื่องมันยาวมาก นี้แค่จุดเริ่มต้นเองครับ อิอิ
ชื่อสินค้า:   อินเดีย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่