แฉ ตลาดซื้อขายล่วงหน้า TFEX ติดอาวุธสำหรับมือใหม่ ผมตีความให้เข้าใจง่าย

ก่อนอื่นขอเท้าความก่อน เรื่องของ Concept ตลาดซื้อขายล่วงหน้า
เท่าที่ผมใช้สมองอ่องอออันน้อยนิดศึกษาตาม อากู และ ยูตูเบ้
สรุปเรื่องของการซื้อขายตลาดล่วงหน้าให้เข้าใจง่ายๆ ก่อน ที่ผมเข้าใจง่ายๆ คือ
ต้นกำเนิดของตลาดซื้อขายล่วงหน้าเกิดมาจากการค้าขายสินค้าเกษตรสมัยก่อน แหล่งตลาดแรกสุดตั้งอยู่ที่ "ถนนกำแพง" หรือเรียกว่า "Wall Street" เพี้ยนติ่ง



ซึ่งสมัยก่อนนั้นถนนแห่งนี้มีการกั้นกำแพงเพื่อป้องกันการรุกรานการล่าอณานิคมอังกฤษและชนพื้นเมืองอเมริกัน(แก้ไข) เวลาค้าขายกันก็จะเจรจาค้าขายข้ามผ่านกำแพง เลยถูกเรียกติดปากว่าเป็น  Wall Street มาจนถึงปัจจุบัน
สมัยก่อนนั้นการซื้อขายสินค้าเกษตรจะต้องมีการทำคำมั่นสัญญา ตกลงกันทั้ง 2 ฝ่ายระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเรื่องราคาก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต ในอนาคตข้างหน้าที่จะถึง เป็นการล๊อคราคาไว้ก่อนนั่นเอง





ยกตัวอย่างเช่น
นาย Tony Stock คือ ชาวไร่ กำลังปลูกข้าวโพดไว้ในไร่ ซึ่งอีก 3 เดือนข้างหน้าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลิตได้
นาย Warrant Buffet (วอร์เรนต์ บุฟเฟ่ต์) คือ พ่อค้าผู้รับซื้อ
ทั้งสองคนได้ทำสัญญาข้อตกลงกันว่า

Tony Stock : คุณบุฟเฟ่ต์ ครับ ผมปลูกข้าวโพดในไร่ของผม อีก 3 เดือนข้างหน้าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ คุณสนใจมั้ย ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 5 บาท อีก 3 เดือน เป็นที่ต้องการของตลาดแน่ ราคาน่าจะขึ้นไป 10 บาทเลยนะ

Warrant Buffet : โอเค งั้นผมซื้อราคา 5 บาท ณ วันนี้เลยนะ ล๊อคราคานี้ เราต้องทำสัญญากันก่อน อีก 3 เดือน ผมก็ว่าราคาในตลาดอาจจะไปถึง 10 บาท

Tony Stock : ได้ครับ แต่เราต้องวางเงินมัดจำขั้นต้น(IM)กันก่อนนะครับ

Warrant Buffet : อ่อได้สิ แล้วข้าวโพดของคุณเก็บเกี่ยวได้เท่าไหร่หล่ะ จะได้ประเมินมูลค่าของสัญญาได้ (Contract Size)

Tony Stock : ไร่ผมเก็บเกี่ยวรอบนึงก็ได้ 10 ตันครับ ราคาในตลาดตอนนี้ กก.ละ 5 บาท มูลค่าของสัญญาทั้งหมดก็  10,000 กก. x 5 บ. = 50,000 บาท วางมัดจำกันก่อน 10% ก็ได้ครับ ก็อยู่ที่ 5,000 บาท เป็นอย่างต่ำ

Warrant Buffet : โอเคงั้นตกลงตามนี้

+ ตอนนี้ทั้งสองคนร่างสัญญาและวางเงินมัดจำกันก่อน แต่ยังไม่มีสินค้านะครับ เพราะยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต
+ พออีก 3 เดือนต่อมา ราคาข้าวโพดในตลาดอยู่ที่ 3 บาท แปลว่า Warrant Buffet (ฝั่ง L = ซื้อ) ที่ทำสัญญาราคาไว้ที่ 5 บาทก็จะขาดทุนส่วนต่างไป 2 บาท คือต้องเติมเงินจ่ายเพิ่มให้เต็มตามสัญญาที่ทำกับนาย Tony Stock (ฝั่ง S = ขาย) ไว้ ซึ่งแปลว่า Tony Stock ขายข้าวโพดได้กำไร
แต่ถ้าในทางกลับกัน ราคาในตลาดขึ้นมา 10 บาท เมื่อถึงครบกำหนดสัญญาในการเก็บเกี่ยวจริง นาย Tony Stock ต้องจำใจขายในราคา 5 บาท เพราะดันไปทำสัญญาไว้ว่า จะขายให้นาย Warrant Buffet ที่ 5 บาท แปลว่านาย Tony Stock อดขายที่ราคาตลาด 10 บาท

แนวคิดจะประมาณนี้ครับ

แต่สมัยก่อนนั้น มันโดนเบี้ยวกันเยอะ พอถึงเวลาราคาไม่เป็นไปตามที่คาด ก็เบี้ยวกัน มันเลยจำเป็นต้องมีคนกลางในการทำสัญญาตกลงกัน ตลาดหลักทรัพย์จึงถือกำเนิดขึ้นให้เป็นคนกลาง ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ จึงบอกทั้งผู้ซื้อและขายว่า พวกลื้อทั้ง 2 คน ต้องเอามาวางมัดจำที่อั๊วะก่อง แต่อั๊วคิดค่าบริการนิดๆ หน่อยๆ นะ

ศัพท์เทคนิคที่ควรทราบคือ
IM (Initial Margin) เข้าใจง่ายๆ คือ การวางมาร์จิน ทับศัพท์ไปเลย วางมัดจำขั้นต่ำ

Contract Size ขนาดของสัญญา หรือมูลค่าของสัญญาของสินค้านั้นๆ ซึ่งจะถูกกำหนดโดยตลาดหลักทรัพย์ ว่าให้ 1 สัญญา ต่อมูลค่าเท่าไหร่ อย่างเช่น Mini TFEX ให้มูลค่าอยู่ที่ 1 สัญญาต่อ 200 บาท

Leverage ถ้าคนที่เรียนการเงินมาจะรู้ดีกว่าผมนะ แต่ผมตีความเอาเข้าใจง่ายๆ คือ วงเงินกู้
สมมุติว่าคุณต้องการเทรดสินค้ายอดนิยม คือ S50M14  ที่ 1 สัญญา
ตอนนี้ราคาของสินค้าตัวนี้ ณ วันที่ 24/04/2014 ณ เวลา 1.32 น. ที่ราคา 961.60
ราคาสินค้าในตลาด x Contract Size  
961.60 x 200 = 192,320 บาท
192,320 บาท คือ Leverage เงินกู้ของมูลค่าสัญญาเต็มทั้งหมด
ตลาดหลักทรัพย์ ประกาศกำหนดขั้นต่ำให้วาง IM หรือมัดจำขั้นต่ำที่ 10% ของ มูลค่าสัญญาเต็ม
192,320 x 0.10 = 19,232  บาท ต่อ 1 สัญญา นี่คือ Minimum ที่สามารถค้าขายได้
ซึ่งมันจะสัมพันธ์กับกลยุทธ์การวางหน้าตัก ว่าเราจะวางเท่าไหร่ กี่ % มันโยงไปถึงเรื่อง Gearing

Gearing คือ อัตราทดการเร่งเกียร์ ยิ่งคุณวางมัดจำต่ำเท่าไหร่ หรือ พอดีกับวงเงินขั้นต่ำ ความถี่ในการสับเกียร์ หรือเติมเงินก็จะบ่อย ถ้าวิเคราะห์ผิดทาง และความเสี่ยงสูงที่เกียร์จะพังได้

ยกตัวอย่างเช่น
คุณวางวงเงินไว้ที่ 10% หรือ leverage =1:10 หมายถึงคุณวางเงินไว้ 1/10 ของ leverage >> (1/10)*192,320 = 19,232 บาท
แปลว่าเกียร์ทดคุณแรงมาก เมื่อมีการเคลื่อนไหวของดัชนีในแต่ละจุด +/- ที่ 10% ต่อ 1 จุดดัชนี เกียร์จะกระชากไปแรง ถูกทางกำไรมหาศาล ผิดทางเจ๊งมหาศาลเช่นกัน

แต่ถ้าคุณวางเงินไว้ที่ 50% หรือ  leverage =1:2  หมายถึงคุณวางเงินไว้ 1/2 ของ leverage >> (1/2)*192,320 = 96,160 บาท
มันคือวางวงเงินไว้ครึ่งต่อครึ่ง เกียร์ทดคุณจะปลอดภัยกว่า แปลว่าการเคลื่อนที่ของดัชนีในแต่ละจุด +/- เพียง 2% ต่อจุดดัชนีเอง

ถ้าเปรียบเทียบการวางเงินทั้ง 2 แบบแล้ว
สมมุติเปิด Long ละกัน ที่ 961.60

กรณีที่ 1 leverage =1:10  
- เวลาต่อมามันวิ่งขึ้นไป 970.00 ส่วนต่างดัชนีอยู่ที่ 8.40 โอ้ววกำไรไป 84 ช่อง ช่องละ 10% แปลว่าเราได้ไป +840%
- เวลาต่อมามันวิ่งขึ้นไป 953.20 ส่วนต่างดัชนีอยู่ที่ 8.40 โอ้ววขาดทุนไป 84 ช่อง ช่องละ 10% แปลว่าเราสูญเสียแบบแรงๆ ไป -840%

กรณีที่ 1 leverage =1:2
- เวลาต่อมามันวิ่งขึ้นไป 970.00 ส่วนต่างดัชนีอยู่ที่ 8.40 โอ้ววกำไรไป 84 ช่อง ช่องละ 2% แปลว่าเราได้ไป +168%
- เวลาต่อมามันวิ่งขึ้นไป 953.20 ส่วนต่างดัชนีอยู่ที่ 8.40 โอ้ววขาดทุนไป 84 ช่อง ช่องละ 2% แปลว่าเราสูญเสียแบบแรงๆ ไป -168%  

มันขึ้นอยู่ว่า เรากล้าได้เสียกันเท่าไหร่ กล้ามากก็ได้มากหรือเสียมาก ตูดโบ๋กลวงกันเลยทีเดียว
*** Gearing Control เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ทำให้เราจำกัดความเสียหายได้ ปรับตามใจชอบตามสไตล์การเทรดของแต่ละคน
คนรักสนุก ไม่ชอบมีภาระผูกพันอาจ ปรับแรงๆ สวิงกิ้งหน่อย
แต่ถ้าขี้อาย รักใสๆ คิขุอาโนเนะ ก็ปรับเกียร์ต่ำๆ จำกัดความเสียหายแคบๆ ได้

ข้อดีของตลาด TFEX ก็ยังมีอยู่ในเรื่องของการบริหารความเสี่ยง พวกเฮดฟันด์ และสถาบันกองทุนต่างๆ มันชอบใช้ เช่น บางทีขายหุ้นไม่ทัน อมไว้เยอะ หรือไม่อยากขายหุ้นในมืออ่ะ ถือดูดปันผล แต่รู้ว่าตลาดพรุ่งนี้มัน Crash แน่ กูเปิด Short แม่ ง เลย พอลงจริง ถึงแม้ว่าราคาหุ้นที่ถือขาดทุนไปแล้ว แต่ได้ส่วนต่างกำไรจากการถือ Short มา Repairing พอร์ตได้

และอีกวิธีการที่พวกกองทุนหรือเฮดฟันด์ต่างๆ ชอบทำ Arbitrage กำไรแบบไม่มีความเสี่ยงและได้เป็นกอบเป็นกำกับ Single Stock Futures คือเหตุการณ์ดังนี้
หุ้นตัวนั้นๆ มีเหตุการณ์
- ประกาศจ่ายปันผล หรือ XD
- แตกพาร์
- รวมพาร์
- ประกาศเพิ่มทุน
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มีผลแต่ปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นที่ค่อนข้างจะแน่นอน

และอีกอย่างที่เป็นข้อได้เปรียบของตลาด TFEX เมื่อเทียบกับ การทำธุรกิจเองอย่างหนึ่งคือ
ถ้าเราต้องการกู้เงินเพื่อทำธุรกิจอะไรสักอย่าง คุณต้องวางมัดจำมีทรัพย์สินค้ำประกัน และ ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน ไม่มีวันหยุด (ซึ่งมุมมองของนักลงทุนแล้ว ดอกเบี้ยเงินกู้ หรือแม้แต่ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัว มากกว่าความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ในการขาดทุนจากการลงทุน เพราะเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมและบริหารได้) เช่นเดียวกับการยืมหุ้นมา Short
แต่ในตลาด TFEX ไม่มีเรื่องดอกเบี้ยกู้ มีเพียงค่าธรรมเนียนและค่าคอมมิชชั่นในการ Action ทำ Transaction แต่ละครั้งเท่านั้น


มีอะไรที่ผิดพลาดประการใดทักท้วงแย้งด้วยเหตุผลมาได้นะครับ


กดบวกหน่อยก็ดีนะครับ รายย่อยจะได้มีอาวุธติดตัวอัศวินขี่ม้าขาว

อมยิ้ม17 ท้ายนี้ผมขอบคุณ ปรจารย์ผมอีกคนหนึ่งในห้องนี้ ที่ให้ความรู้และคำปรึกษา เมื่อผมตั้งคำถามเรื่อง TFEX จะเข้ามาตอบให้ผมเสมอ นั่นคือ คุณติวเตอร์หุ้น และรวมถึงท่านอื่นๆ ที่มาตอบด้วยครับ ขอบคุณมากครับอมยิ้ม17
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่