สวัสดีทุกท่าน
เห็นหลายๆกระทู้เขียนเรื่องการไปเที่ยวแล้ว
เราก็เลยอยากมานำเสนอการเที่ยวแบบของเราด้วย
ทริปนี้ชื่อว่า "ฮ่องกง-เที่ยวแบบเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที"
เอ๊ะ! ทำไมใช้ชื่อนี้หล่ะ
หลายคนคงเจอกับประโยคที่ว่า
"เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที"
ซึ่งอยากจะบอกว่า ใช้โชคชะตาและอนาคตเป็นตัวตัดสิน
ตอนที่ 1 : ปฐมบทของการจองตั๋ว
http://ppantip.com/topic/31909586
ตอนที่ 2 : ที่พักแสนเก๋
http://ppantip.com/topic/31923265
ตอนที่ 3 : วันแรกวันเดียวพยายามเที่ยวตามคนอื่น
วันที่ 17 เม.ย. 57
บอกก่อนเลยว่าข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่สถานศึกษาแห่งหนึ่ง
ซึ่งประโยชน์ของการทำงานในสถานศึกษา คือ พักฟรี
ตอนแรกกะตัดสินใจว่าจะนอนที่บ้านแหละ
ตอนเช้าค่อยบึ่งรถแท็กซี่ไปดอนเมืองเลย
แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า มันไม่คุ้ม แพงอ่ะ
เลยชวนเพื่อนมานอนที่โรงเรียนจะได้ไปด้วยกัน หารกันค่ารถ ประหยัดแสนเก๋
ซึ่งที่พักของเราไม่ใช่ที่ไหน คือนอนในห้องพยาบาลโรงเรียน
มีที่อาบน้ำ มีคอม มีไวไฟให้ใช้
ก่อนนอน พวกเราก็หาข้อมูลต่างๆ เช็คอิน ปริ้นท์เอกสารเอาไว้ เพื่อใช้ที่สนามบิน
ใบบุ๊คกิ้ง
เช็คอินขาไป+ขากลับ (เผื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนตม. ว่าฉํนไปเที่ยว มีเที่ยวบินกลับนะ ไม่ได้ไปทำงานที่โน่น ไม่ได้ไปแสวงโชคนะ)
วันที่ 18 เม.ย. 57
ข้าพเจ้าตื่นประมาณ ตี 3 กว่า จัดแจงอาบน้ำอาบท่า ออกจากห้องพยาบาลโรงเรียน
นั่งแท๊กซี่ตอนตี 4 นิดๆ
ไปถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ ตีสี่สี่สิบห้า
คุนพระ ผู้เดินสารต่างๆเริ่มมาเช็คอินกันแล้ว ไวมาก
พวกแกไม่หลับไม่นอนกันเหรอ
หรือนอนกันที่ดอนเมืองนี่ ฮึ! ตอบ
พวกเราก็พยายามสอดส่องว่าเคาท์เตอร์ใดมีคนน้อยสุด
แต่ใช่ว่าคนน้อยก็จะดีนะ
ถ้าเผอิญอยู่หลัง/ระหว่างผู้โดยสารชาวจีน ค.บรร-ลัย จะมาเยือนทันที
จะตะโกนคุยกันประหนึ่งเราไม่มีตัวตน เป็นสสารใดสสารหนึ่ง
พอมาถึงเคาท์เตอร์ก็ใช้เวลาไม่นาน แป๊บเดียวเอง จิงๆนะ มันเร็วมาก
ที่เรามาเคาท์เตอร์เนี่ยเพราะเราโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง
เราซื้อน้ำหนักไว้ที่ 20 กิโล
ถ้าไม่ซื้อก็ได้ แต่เราขาดคะเนว่ากระเป๋าเราน้ำหนักเกินที่แอร์เอเชียกำหนดชัวร์
ซึ่งแบกขึ้นเครื่องไม่เกิน 7 กิโล
พอชั่งที่เคาท์เตอร์เท่านั้นแหละ อืม ดีแล้วที่ซื้อน้ำหนักเพิ่ม
แค่ขาไปปาเข้าไป 12 กิโล ฉันไปแค่ 4 วันเองนะเนี่ย
พอพิธีการเสร็จเรียบร้อย
ก็เดินชมนกชมไม้ หาของกินของดื่มประทังชีวิตไปพรางๆ ระหว่างรอเข้าต.ม.
จนเวลา 5.55 พวกเราก็เดินฉับๆเข้าไป
สิ่งที่พบคือ คนต่อแถวกันยาวอีกแล้ว
จะยาวไปไหน
ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ยื่นพาสปอร์ต ตั๋ว ใบออกเมือง ให้เจ้าหน้าที่
คนปกติทั่วไป
เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดสมุด ก้มมองสมุด เงยหน้า จ้องมาที่เรา แล้วก้มหน้าอีกครั้ง
เรามีหน้าที่ยืนเฉยๆ จะมีกล้องถ่ายรูปตั้งอยู่ เราก็ยืนทำหน้าจิ้มลิ้มไปมา
แล้วเจ้าหน้าที่ก็คีย์อะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆมีกดปุ่ม enter แน่นอน
ถ้าไม่ปกติ เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดไปเปิดมา สงสัยก็จะถาม เช่นเพื่อนในกลุ่มข้าพเจ้า
เจ้าหน้าที่สงสัยว่าทำไมรูปไม่เหมือนในพาสปอร์ต
ในพาสปอร์ตผมยาว แต่นางดันตัดผมสั้นรูปหน้าเลยเปลี่ยน
พอผ่านด่านได้ ก็เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน ไปที่ประตู
เพื่อขึ้นเครื่อง
ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็นั่งประจำที่แล้วแหละ
เราเป็นเหมือนกลุ่มเกือบสุดท้าย
ที่นั่งของข้าพเจ้า อิคุนเพื่อนจองให้นั่งติดริมหน้าต่าง คือ 16F
ย้ำแล้วนะว่านั่งหลังๆก็ได้ เพราะเวลาถ่ายรูปจะติดปีกเครื่อง (อ่านรีวิวในพันทิปเนี่ยแหละ)
ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเองเห็นแค่ท้องฟ้าก็พอแล้ว เด้วก็หลับเป็นตายแล้ว
ก่อนนอนก็ถ่ายรูปเอาไว้นิดนึง
เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบิน
เวลาที่ฮ่องกงจะเร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
(ก่อนขึ้นเครื่องข้าพเจ้าตั้งไอโฟนว้ให้เปลี่ยนเวลาอัตโนมัติ และปิดข้อมูลเซลลูลาร์ เปิดโหมดเครื่องบินและไวไฟไว้)
ออกมาก็เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน ตามๆคนอื่นไปแหละ
อาศัยจำผู้โดยสารคนอื่นที่มาเที่ยวบินเดียวกับเรา
ต่อแถวบริเวณ ตม.
ก็ไม่มีอะไรมาก โชคดีด้วยแหละไม่โดนถามอะไรเลย
พอผ่านตม.มาได้ ก็ดูจอมอนิเตอร์ว่าเที่ยวบินที่มากระเป๋าอยู่สายพานใด
เราก็เดินไปรอสายพานนั้น ถือเป็นเสร็จสิ้นพิธีเข้าเมือง
พอได้กระป๋งกระเป๋าเสร็จเราก็ออกมาเพื่อซื้อบัตร octopus หรือบัตรปลาหมึก
บัตรนี้มีประโยชน์สรรพสิ่งมากมาย
คล้ายบัตรเติมเงิน บัตรเซเว่น บัตรเดบิตการ์ดของไทย
เติมเข้าไป หมดเท่าไหร่ก็เติมเข้าไป
สมมติจะซื้อของเซเว่น 12 เหรียญ ก็เอาบัตรทาบที่แท่น เครื่องก็จะหักเงินไป 12 เหรียญ
สะดวกมาก ไม่ต้องงมโข่ง เงอะงะหาเหรียญในกระเป๋า ดีไม่มีอาจโดนพนักงานและคนข้างหลังเหวี่ยงใส่ขณะยืนรอ
พอเสร็จแล้วก็ไปซื้อซิมที่เซเว่น เพื่อโทรติดต่อเจ้าของที่พัก
ซึ่งข้าพเจ้าและคณะ พักแถวเลดี้มาร์เก็ต
ผู้ปล่อยให้เช้า ชื่อ คุณวิว
ประจวบเหมาะกับว่าวันนั้นนางไม่อยู่ พาลูกชายหเที่ยวจีน (รู้ภายหลัง)
เลยให้คุณพ่อ คุณแม่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งการติดต่อนี้เป็นไปด้วยคงยากลำบาก
แค่ลำพังฟังอังกฤษจากเจ้าของภาษา ว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าเป็นอังกฤษสำเนียงจีน
ก็เลยตัดบทว่าเด้วถึงปลายทางป้ายรถที่จะลงแล้ว เด้วโทถามอีกที โอเคเน้อะ บาย (กดวาง)
ซึ่งคุนวิวส่งเมลมาบอกว่า ให้นั่งรถเมล์สาย A21 มาลงสถานีที่ 5
ขึ้นรถเขาจะมีแท่นสำหรับติ๊ดบัตร และหยอดเหรียญ
ราคาอยู่ที่ 33 เหรียญ
ระหว่างนั่งตืนตาตื่นใจกับสองข้างทางก็ถ่ายโน่นถ่ายนี่นั้นเล่น
บ้านเมืองดูดีนะ
ถ่ายขวดน้ำเทวดาไว้หน่อย (น้ำแพงมาก แพงพอกะโค้กเลย ตกขวดละ 8.5 เหรียญ ก็ราวๆ 35 บาทไทย แทบจะขอสายน้ำเกลือจากที่โรงเรียนมาต่อเข้าร่างกายให้ค่อยๆหยดๆ ที่โฯ่นเป็นเกาะน้ำจืดเลยแพง ไม่เหมือนที่ทยแทบจะเอาน้ำกินมาล้างมือล้างเท้าได้เลย)
ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่จะอยู่บนเนินเขา
อาคาร/ตึกซังข้าวโพด (เหมือนข้าวโพดที่กินหมดแล้วจิงๆอ่ะ)
ผ่านทะเลสวยๆด้วยแหละ
บนรถที่นี่เขาดีอย่างหนึ่งคือ เอากระเป๋าเดินทางไว้ชั้นล่าง ที่นั่งอยู่ชั้นสอง
พอขึ้นมาก็จะมีกล้องวงจรปิดตรงที่วางกระเป๋า เผื่อมีคนหยิบผิดจะได้วิ่งแตกตื่นลงไปบอกเขาทัน
เราก็นั่งมาเรื่อยๆมาลงป้ายที่ 5 แถว Metropark mongkok
ระหว่างรอคณพ่อคุณแม่ของคุณวิวมารับก็ถ่ายรูปเล่น
สักพักก็มีชายหญิงสองคนมาทักเรา ว่าคุณคือ...ใช่ไหม
เราก็ดีใจ กระโดดกรีดร้อง เสียงดังจนผู้คนแถวนั้นตกใจและหันมามอง
ไม่ดีใจได้ไงหล่ะ จองผ่านเว็บ
ที่พักไม่ใช่โรงแรม
ไม่รู้จะโดนลอยแพป่าว เขาก็มาเดินลัดไปลัดมา เลาะโน่นนี่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่พักอยู่ในซอยเลดี้มาเก็ตเลย
ลงมาเป็นที่ช้อปปิ้งเลย
[CR] ฮ่องกง-เที่ยวแบบเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ตอนที่ 3
เห็นหลายๆกระทู้เขียนเรื่องการไปเที่ยวแล้ว
เราก็เลยอยากมานำเสนอการเที่ยวแบบของเราด้วย
ทริปนี้ชื่อว่า "ฮ่องกง-เที่ยวแบบเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที"
เอ๊ะ! ทำไมใช้ชื่อนี้หล่ะ
หลายคนคงเจอกับประโยคที่ว่า
"เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที"
ซึ่งอยากจะบอกว่า ใช้โชคชะตาและอนาคตเป็นตัวตัดสิน
ตอนที่ 1 : ปฐมบทของการจองตั๋ว http://ppantip.com/topic/31909586
ตอนที่ 2 : ที่พักแสนเก๋ http://ppantip.com/topic/31923265
ตอนที่ 3 : วันแรกวันเดียวพยายามเที่ยวตามคนอื่น
วันที่ 17 เม.ย. 57
บอกก่อนเลยว่าข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่สถานศึกษาแห่งหนึ่ง
ซึ่งประโยชน์ของการทำงานในสถานศึกษา คือ พักฟรี
ตอนแรกกะตัดสินใจว่าจะนอนที่บ้านแหละ
ตอนเช้าค่อยบึ่งรถแท็กซี่ไปดอนเมืองเลย
แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า มันไม่คุ้ม แพงอ่ะ
เลยชวนเพื่อนมานอนที่โรงเรียนจะได้ไปด้วยกัน หารกันค่ารถ ประหยัดแสนเก๋
ซึ่งที่พักของเราไม่ใช่ที่ไหน คือนอนในห้องพยาบาลโรงเรียน
มีที่อาบน้ำ มีคอม มีไวไฟให้ใช้
ก่อนนอน พวกเราก็หาข้อมูลต่างๆ เช็คอิน ปริ้นท์เอกสารเอาไว้ เพื่อใช้ที่สนามบิน
ใบบุ๊คกิ้ง
เช็คอินขาไป+ขากลับ (เผื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนตม. ว่าฉํนไปเที่ยว มีเที่ยวบินกลับนะ ไม่ได้ไปทำงานที่โน่น ไม่ได้ไปแสวงโชคนะ)
วันที่ 18 เม.ย. 57
ข้าพเจ้าตื่นประมาณ ตี 3 กว่า จัดแจงอาบน้ำอาบท่า ออกจากห้องพยาบาลโรงเรียน
นั่งแท๊กซี่ตอนตี 4 นิดๆ
ไปถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ ตีสี่สี่สิบห้า
คุนพระ ผู้เดินสารต่างๆเริ่มมาเช็คอินกันแล้ว ไวมาก
พวกแกไม่หลับไม่นอนกันเหรอ
หรือนอนกันที่ดอนเมืองนี่ ฮึ! ตอบ
พวกเราก็พยายามสอดส่องว่าเคาท์เตอร์ใดมีคนน้อยสุด
แต่ใช่ว่าคนน้อยก็จะดีนะ
ถ้าเผอิญอยู่หลัง/ระหว่างผู้โดยสารชาวจีน ค.บรร-ลัย จะมาเยือนทันที
จะตะโกนคุยกันประหนึ่งเราไม่มีตัวตน เป็นสสารใดสสารหนึ่ง
พอมาถึงเคาท์เตอร์ก็ใช้เวลาไม่นาน แป๊บเดียวเอง จิงๆนะ มันเร็วมาก
ที่เรามาเคาท์เตอร์เนี่ยเพราะเราโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง
เราซื้อน้ำหนักไว้ที่ 20 กิโล
ถ้าไม่ซื้อก็ได้ แต่เราขาดคะเนว่ากระเป๋าเราน้ำหนักเกินที่แอร์เอเชียกำหนดชัวร์
ซึ่งแบกขึ้นเครื่องไม่เกิน 7 กิโล
พอชั่งที่เคาท์เตอร์เท่านั้นแหละ อืม ดีแล้วที่ซื้อน้ำหนักเพิ่ม
แค่ขาไปปาเข้าไป 12 กิโล ฉันไปแค่ 4 วันเองนะเนี่ย
พอพิธีการเสร็จเรียบร้อย
ก็เดินชมนกชมไม้ หาของกินของดื่มประทังชีวิตไปพรางๆ ระหว่างรอเข้าต.ม.
จนเวลา 5.55 พวกเราก็เดินฉับๆเข้าไป
สิ่งที่พบคือ คนต่อแถวกันยาวอีกแล้ว
จะยาวไปไหน
ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ยื่นพาสปอร์ต ตั๋ว ใบออกเมือง ให้เจ้าหน้าที่
คนปกติทั่วไป
เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดสมุด ก้มมองสมุด เงยหน้า จ้องมาที่เรา แล้วก้มหน้าอีกครั้ง
เรามีหน้าที่ยืนเฉยๆ จะมีกล้องถ่ายรูปตั้งอยู่ เราก็ยืนทำหน้าจิ้มลิ้มไปมา
แล้วเจ้าหน้าที่ก็คีย์อะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆมีกดปุ่ม enter แน่นอน
ถ้าไม่ปกติ เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดไปเปิดมา สงสัยก็จะถาม เช่นเพื่อนในกลุ่มข้าพเจ้า
เจ้าหน้าที่สงสัยว่าทำไมรูปไม่เหมือนในพาสปอร์ต
ในพาสปอร์ตผมยาว แต่นางดันตัดผมสั้นรูปหน้าเลยเปลี่ยน
พอผ่านด่านได้ ก็เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน ไปที่ประตู
เพื่อขึ้นเครื่อง
ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็นั่งประจำที่แล้วแหละ
เราเป็นเหมือนกลุ่มเกือบสุดท้าย
ที่นั่งของข้าพเจ้า อิคุนเพื่อนจองให้นั่งติดริมหน้าต่าง คือ 16F
ย้ำแล้วนะว่านั่งหลังๆก็ได้ เพราะเวลาถ่ายรูปจะติดปีกเครื่อง (อ่านรีวิวในพันทิปเนี่ยแหละ)
ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเองเห็นแค่ท้องฟ้าก็พอแล้ว เด้วก็หลับเป็นตายแล้ว
ก่อนนอนก็ถ่ายรูปเอาไว้นิดนึง
เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบิน
เวลาที่ฮ่องกงจะเร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
(ก่อนขึ้นเครื่องข้าพเจ้าตั้งไอโฟนว้ให้เปลี่ยนเวลาอัตโนมัติ และปิดข้อมูลเซลลูลาร์ เปิดโหมดเครื่องบินและไวไฟไว้)
ออกมาก็เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน ตามๆคนอื่นไปแหละ
อาศัยจำผู้โดยสารคนอื่นที่มาเที่ยวบินเดียวกับเรา
ต่อแถวบริเวณ ตม.
ก็ไม่มีอะไรมาก โชคดีด้วยแหละไม่โดนถามอะไรเลย
พอผ่านตม.มาได้ ก็ดูจอมอนิเตอร์ว่าเที่ยวบินที่มากระเป๋าอยู่สายพานใด
เราก็เดินไปรอสายพานนั้น ถือเป็นเสร็จสิ้นพิธีเข้าเมือง
พอได้กระป๋งกระเป๋าเสร็จเราก็ออกมาเพื่อซื้อบัตร octopus หรือบัตรปลาหมึก
บัตรนี้มีประโยชน์สรรพสิ่งมากมาย
คล้ายบัตรเติมเงิน บัตรเซเว่น บัตรเดบิตการ์ดของไทย
เติมเข้าไป หมดเท่าไหร่ก็เติมเข้าไป
สมมติจะซื้อของเซเว่น 12 เหรียญ ก็เอาบัตรทาบที่แท่น เครื่องก็จะหักเงินไป 12 เหรียญ
สะดวกมาก ไม่ต้องงมโข่ง เงอะงะหาเหรียญในกระเป๋า ดีไม่มีอาจโดนพนักงานและคนข้างหลังเหวี่ยงใส่ขณะยืนรอ
พอเสร็จแล้วก็ไปซื้อซิมที่เซเว่น เพื่อโทรติดต่อเจ้าของที่พัก
ซึ่งข้าพเจ้าและคณะ พักแถวเลดี้มาร์เก็ต
ผู้ปล่อยให้เช้า ชื่อ คุณวิว
ประจวบเหมาะกับว่าวันนั้นนางไม่อยู่ พาลูกชายหเที่ยวจีน (รู้ภายหลัง)
เลยให้คุณพ่อ คุณแม่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งการติดต่อนี้เป็นไปด้วยคงยากลำบาก
แค่ลำพังฟังอังกฤษจากเจ้าของภาษา ว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าเป็นอังกฤษสำเนียงจีน
ก็เลยตัดบทว่าเด้วถึงปลายทางป้ายรถที่จะลงแล้ว เด้วโทถามอีกที โอเคเน้อะ บาย (กดวาง)
ซึ่งคุนวิวส่งเมลมาบอกว่า ให้นั่งรถเมล์สาย A21 มาลงสถานีที่ 5
ขึ้นรถเขาจะมีแท่นสำหรับติ๊ดบัตร และหยอดเหรียญ
ราคาอยู่ที่ 33 เหรียญ
ระหว่างนั่งตืนตาตื่นใจกับสองข้างทางก็ถ่ายโน่นถ่ายนี่นั้นเล่น
บ้านเมืองดูดีนะ
ถ่ายขวดน้ำเทวดาไว้หน่อย (น้ำแพงมาก แพงพอกะโค้กเลย ตกขวดละ 8.5 เหรียญ ก็ราวๆ 35 บาทไทย แทบจะขอสายน้ำเกลือจากที่โรงเรียนมาต่อเข้าร่างกายให้ค่อยๆหยดๆ ที่โฯ่นเป็นเกาะน้ำจืดเลยแพง ไม่เหมือนที่ทยแทบจะเอาน้ำกินมาล้างมือล้างเท้าได้เลย)
ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่จะอยู่บนเนินเขา
อาคาร/ตึกซังข้าวโพด (เหมือนข้าวโพดที่กินหมดแล้วจิงๆอ่ะ)
ผ่านทะเลสวยๆด้วยแหละ
บนรถที่นี่เขาดีอย่างหนึ่งคือ เอากระเป๋าเดินทางไว้ชั้นล่าง ที่นั่งอยู่ชั้นสอง
พอขึ้นมาก็จะมีกล้องวงจรปิดตรงที่วางกระเป๋า เผื่อมีคนหยิบผิดจะได้วิ่งแตกตื่นลงไปบอกเขาทัน
เราก็นั่งมาเรื่อยๆมาลงป้ายที่ 5 แถว Metropark mongkok
ระหว่างรอคณพ่อคุณแม่ของคุณวิวมารับก็ถ่ายรูปเล่น
สักพักก็มีชายหญิงสองคนมาทักเรา ว่าคุณคือ...ใช่ไหม
เราก็ดีใจ กระโดดกรีดร้อง เสียงดังจนผู้คนแถวนั้นตกใจและหันมามอง
ไม่ดีใจได้ไงหล่ะ จองผ่านเว็บ
ที่พักไม่ใช่โรงแรม
ไม่รู้จะโดนลอยแพป่าว เขาก็มาเดินลัดไปลัดมา เลาะโน่นนี่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่พักอยู่ในซอยเลดี้มาเก็ตเลย
ลงมาเป็นที่ช้อปปิ้งเลย