ชวาลา ตอนที่ ๓ บทสนทนาระหว่างปานภพ เเละบุรุษปริศนา

กระทู้สนทนา
3
บทสนทนาระหว่างปานภพ และบุรุษปริศนา

           
            หน้ากระดาษถูกพลิกผ่านช้าๆ
            มือเล็กหยุดลงที่หน้าสารบัญ และกวาดออกไปทางด้านข้าง เผยเห็นเห็นตัวอักษรแต่ละท่อนเรียงต่อกันยาวและมีตัวเลขกำกับบอกเลขหน้าในแต่ละบท เด็กสาวกวาดตาอ่านอย่างคร่าวๆ ก่อนจะพลิกหน้าปกมาอ่านย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
            ‘ยามอารยธรรมโลกล่มสลาย
            when the world end’
            ภายใต้ชื่อหนังสือมีภาษาแปลกๆ อย่างที่เธอเคยเห็นเมื่อตอนค้นประวัติของคาวานกำกับอยู่ต่อท้าย เนื่องจากอชิอ่านไม่ออกจึงปล่อยเลยตามเลยแล้วพลิกกลับมาที่เนื้อหาในหน้าเดิมอีกครั้ง
            เด็กสาวเริ่มต้นอ่าน ปล่อยจิตให้กลืนไปกับอดีตกาล...

            อารยธรรมโลกที่ได้สิ้นสุดไปแล้วได้กลายเป็นสิ่งที่ถูกเรียกขานว่า ’โลกเก่า’       
            จุดเริ่มต้นแห่งการล่มสลาย เกิดขึ้นภายใต้สมัยยุคสมัยของโลกที่กำลังดำเนินมาถึงจุดที่มนุษย์มีความหลากหลายอย่างที่สุด เทคโนโลยีได้รุ่งเรืองไปไกลเกินจินตนาการ พลังงานทดแทนถูกดึงมาใช้อย่างอิสระ และมีการประเมินแล้วว่ามนุษย์สามารถสำรองทรัพยากรและชดเชยต่อไปได้ในอนาคต เป็นช่วงเวลาที่แสงแห่งความหวังถูกจุดขึ้นดุจตะเกียงส่องทาง
            โดยที่การคาดการณ์ถึงวิกฤติการณ์ที่อาจมาเยือน ความตระหนักของมนุษย์ และความหวาดกลัวก็ได้พัฒนาเป็นพลังในการหาหนทาง
            ทว่า...แสงจากตะเกียงได้หรี่ลงในวันหนึ่ง
ความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์ร่วมกับภัยพิบัติธรรมชาติก่อให้เกิดโรคระบาดขนานใหญ่ที่ไม่ได้กลืนกินแค่เพียงชีวิตของมนุษย์ หากยังรวมไปพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร
การคัดเลือกทางธรรมชาติกำลังเริ่มต้น
ภัยพิบัติธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเผชิญมาได้อุบัติ ซึ่งในครั้งนี้มากเกินกว่าขอบเขตความตระหนักของพวกเขา
            ความกดดันมาถึงจุดที่เกินกว่ามนุษย์จะรับมือได้...
            ...ไฟสงครามประทุขึ้นในที่สุด
            ...
            หลังจากที่วิกฤติการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ผ่านไป ‘โลกใหม่’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
            ผลจากการคัดเลือกของธรรมชาติได้คัดสรรมนุษย์กลุ่มหนึ่งให้รอดชีวิต และมอบคืนพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าจะค่อยๆ กลับสู่ธรรมชาติอันอุดม ประกอบกับเทคโนโลยีที่เคยมีจึงทำให้การฟื้นตัวของมนุษยชาติค่อยๆ ดำเนินต่อไปในทิศทางใหม่ บรรพบุรุษที่เหลือรอดจากการล่มสลายของโลกเก่าได้จับกลุ่มและร่วมมือกันสร้างโลกใหม่ภายใต้แนวคิดผสมความเป็น ‘ยูโทเปีย’ (สังคมโลกอุดมคติ)ลงไป
            ด้วยการวางโครงสร้างสังคมแบบใหม่ รวมกับมนุษย์โลกใหม่ที่ได้ผ่านการคัดเลือกของธรรมชาติ โลกใหม่จึงเป็นไปในทิศทางที่มีแนวโน้มว่าจะกลับมาเจริญและงดงามยิ่งกว่าโลกเก่า เทคโนโลยีที่จะถูกนำกลับมาใช้ต้องผ่านการถกเถียงกันอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าจะใช้เพื่อการรักษา ‘กฏ’ หรืออำนวยความสะดวกก็ตาม
           
            อชิปิดตาลง และยกมือหนึ่งขึ้นมานวดขมับด้วยว่าเนื้อหาภายในหนังสือนั้นเริ่มจะมากไปด้วยสิ่งที่เธอยากจะเข้าใจ บางครั้งอชิก็รู้สึกไม่เข้าใจโลกใหม่ที่เธอกำลังอาศัยอยู่ อย่างเช่นในขณะที่ตัวเธอเองมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ ผู้คนกลับดำเนินชีวิตเรียบง่ายอย่างเป็นระบบระเบียบโดยไม่คิดตั้งคำถามที่ท้าทาย
            ในขณะที่ทุกคนเคยชินกับ ‘กฏ’ เด็กสาวกลับเห็นด้วยบ้างมีความรู้สึกรำคาญบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการจำกัดความรู้ที่มีเพียงนักประวัติศาสตร์จึงจะเรียนประวัติศาสตร์ทุกอย่างได้
            ส่วนในคำว่าเทคโนโลยีเด็กสาวเพียงนึกถึงสิ่งถูกฝังอยู่ใต้ข้อมือของทุกคนนับตั้งแต่เกิดมา พวกเราเรียกกันว่า ‘นัล’ โดยธรรมดาแล้วพวกเราจะใช้มันเพื่อติดต่อกับคนรู้จักในกรณีฉุกเฉิน หรืออ่านข้อมูลบางอย่าง
            ...หากอชิรู้สึกว่ามันมีไว้เพื่อใช้งานมากกว่านั้น
            เป็นจังหวะพอดีกับที่เด็กสาวเปิดหนังสือไปยังหน้าหนึ่งซึ่งมีคำอธิบายเกี่ยวกับนัล อชิเลิกคิ้วขึ้นและเริ่มต้นกวาดตาอ่าน

            นัล คือสิ่งถูกฝังลงในมนุษย์โลกใหม่ทุกคนนับตั้งแต่เกิด มีที่มาจากคำว่า ‘นาโนชิพ’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนาโนชีวภาพจากโลกเก่าที่พัฒนาไปไกลจนสามารถฝังนาโนชิพลงไปใน cell มนุษย์ซึ่งมีขนาด 10 ตารางนาโนเมตรโดยประมาณได้สำเร็จถึงขั้นที่นาโนชิพเหล่านี้สามารถทำงานได้โดยดึงพลังจากร่างกายมนุษย์มาใช้ในการขับเคลื่อนกลไก

            พออ่านมาถึงตอนนี้เด็กสาวก็ได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งเป็นปม แต่ก็โชคดีที่เนื้อหาภายในหนังสือได้ดึงความสนใจจากความตึงเครียดต่างๆ ของเธอไปได้บ้าง แม้ว่าหลังๆ นั้นจะเริ่มเข้าใจยากขึ้นและมีการใช้ภาษาประหลาดเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม
            “ฮ้าววว”
            อชิละสายตาจากหน้ากระดาษแล้วแหงนมองเพดานห้องพลางบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวออกมาหวอดใหญ่ ก่อนที่จะกลับมาสังเกตตัวหนังสือสีดำเล็กๆ ที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือด้านบนคำว่านัล ตัวอักษรนั้นมีขนาดเล็กเสียจนเธอต้องขยับหน้าเข้ามาใกล้หน้ากระดาษเล็กน้อยเพื่อให้สายตามองเห็นได้ถนัดขึ้น
            c-ship
          เด็กสาวกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอาในตัวเองที่ไม่สามารถอ่านภาษาพวกนี้ได้เสียที ก่อนสายตาที่มองไปอย่างเลื่อนลอยจะเบนไปเหลือบมองปลายเข็มนาฬิกา ครั้นเห็นว่าเลยจากเวลานอนปกติของเธอมามากเกินสมควรแล้วจึงตัดใจจากหนังสือตรงหน้าอย่างน่าเสียดาย อันที่จริงหากเนื้อหาในนี้ง่ายสำหรับเธอกว่านี้สักหน่อยเธออาจจะอ่านเพลินจนถึงเช้าเลยก็ได้ จริงอยู่ว่าเธอจะเคยอ่านเรื่องราวเหล่านี้มาบ้างจากห้องสมุดต้องห้าม หากเธอกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เรียบเรียงได้ง่ายสำหรับเธอเมื่อเทียบกับเล่มอื่น
            อชิเดินถือหนังสือตามมาวางที่ข้างเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับปัญหาใหม่ที่ผุดขึ้น...แล้วเธอจะต้องคืนมันให้กับอาจารย์เทวาไหมนะ?
นับวันจะมีของที่ไม่อาจมั่นใจว่าใช่ของเธอหรือไม่มากขึ้นในห้องทุกที
            เด็กสาวอ้าปากหาวออกมาอีกครั้ง  เปลือกตาทิ้งลงมาหนักขึ้นทุกที...แล้วสติที่เคยมีก็ค่อยๆ จางหายลอยเข้าไปสู่ห้วงนิทราอย่างง่าย

            มีเสียงของคนอยู่ด้านล่าง...
            อชิสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งที่ตะวันยังไม่มีทีท่าจะขึ้นจากฟ้าและยังไม่ทันจะได้นอนอย่างสนิทเต็มอิ่มเท่าไหร่  เธอควรจะนอนต่อ หากสิ่งแรกที่เธอนึกขึ้นมาได้และตัดสินใจจะทำในทันทีก็คือสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วเดินลงจากบันไดอย่างเร่งรีบ แต่เบาฝีเท้าอย่างที่สุด ร่างกายที่ยังคงงัวเงียชุ่มชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีแสงไฟภายในห้องชั้นล่าง
            เธองะโงกมองผ่านราวบันได เห็นภาพของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่การมองเห็นจากทางด้านหลัง แต่เด็กสาวก็มั่นใจได้เป็นพ่อของเธออย่างแน่นอน
            อชิยิ้มให้กับตัวเองแล้วหาวหวอด เธอสบายใจขึ้นมามากและเตรียมตัวจะหันหลังกลับขึ้นไปนอนต่อ หากไม่ใช่ว่ามีเสียงของชายแปลกหน้าอีกคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับปานภพโดยที่บทสนทนาคล้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับเธอ
            “ถึงเราจะเตรียมการทุกอย่างอย่างรอบคอบ แต่สำหรับคนเป็นพ่ออย่างคุณคงอดห่วงไม่ได้”
            พวกเขาคุยกันเกี่ยวกับเธอ...อชิรู้ได้ในทันที หากได้ยินไม่ชัดนัก
            “ผมเตรียมใจไว้แล้วหมอทัศ ผมทำได้แค่ตั้งใจเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด หวังว่าสิ่งที่ดีงามซึ่งผมพยายามมอบให้จะเป็นเกราะให้เขาในอนาคต”
เด็กสาวก้าวเท้าลงจากบันไดอย่างนิ่มนวล เพื่อไม่ให้เกิดเสียงขณะที่กำลังพยายามเข้าไปลับลอบฟังใกล้ขึ้น
            “นับตั้งแต่ที่เด็กคนนี้เดินมาบอกว่าอยากเรียนประวัติศาสตร์ ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่านี่คงเป็นอนาคตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
            “เอาเป็นว่าในฐานะเพื่อน ผมจะช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่ ถึงผมจะเป็นต้นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ต้องขอบคุณในความเสียสละของคุณจริงๆ” ชายคนที่พ่อของเธอเรียกว่าหมอนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “…เธอจะเป็นความหวัง”
            อชิเงี่ยหูฟังแล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างยากลำบาก ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี รู้เพียงแต่ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเธออย่างเคร่งเครียด
            “แล้วสภาพร่างกายและจิตใจโดยรวมของเธอเป็นอย่างไรบ้างภพ” ทัศนัยเปลี่ยนเรื่อง
            “แข็งแรงสมบูรณ์ดีหมอ ด้านจิตใจค่อนข้างมั่นคงทั้งที่ได้รับรู้หลายสิ่งที่มากเกินเด็กทั่วไปควรรับ แกขี้อายในบางครั้ง แต่สนิทสนมและปรับตัวเข้ากับคนได้ง่าย รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควรพูด พอเห็นแกเป็นแบบนี้ทั้งผมและภรรยาก็รู้สึกวางใจมากขึ้น...ลูกผมกินง่าย นอนสบาย”
            มีเสียงหัวเราะเบาๆ จากปานภพ ทัศนัยฟังแล้วยิ้มขำตาม พลอยวางใจไปด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีสิ่งที่ต้องทำและไม่อาจวางใจได้โดยสนิทอยู่ดี
            “อาจจะสมควรแก่เวลาที่จะพาเธอมาพบกับผมสักครั้ง”
            ปานภพสบสายตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะพยักหน้ารับ และเริ่มต้นกล่าวบางสิ่งที่ตกค้างในใจอย่างช้าๆ
            “หากวันหนึ่งผมต้องจากไป...ฝากเธอด้วย”
            “ผมอาจจะไปก่อนคุณก็ได้” ชายแปลกหน้ากล่าวติดตลก  ก่อนที่น้ำเสียงจะกลับมาเคร่งขรึม “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ปานภพ”
            “จะมีคนคอยปกป้องเธอ...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
            ท่ามกลางความเงียบงันภายในบ้าน เด็กสาวได้ยินเพียงประโยคที่เรียบง่ายทว่าหนักแน่นนี้อย่างแจ่มชัด และนี่คือคำพูดสุดท้ายที่อชิได้ยิน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังลักลอบฟังในสิ่งที่มากเกินไปแล้ว
            หากในความเป็นกังวลทั้งหมดทั้งมวลนั้น อชิรู้สึกอบอุ่นใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่