นับแต่ปี 1860 เรื่อยมา เมืองปักกิ่งมีศึกสงครามเกิดขึ้นมากมาย แต่เมืองเก่าแก่แห่งนี้ก็รอดพ้นจากการถูกทำลายมาได้
31 ม.ค. 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าเมืองเป่ยผิง เดือนกันยายนเปลี่ยนชื่อจากเป่ยผิงเป็นเป่ยจิง เดือนตุลาคมให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆรวมถึงเหลียงซื้อเฉิง สถาปนิกสำคัญยุคนั้นได้มีการถกกันถึงเรื่องเขตที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล ปัญหาเรื่องกำแพงเมืองจะคงไว้หรือรื้อทิ้ง ฯลฯ ... สุดท้ายเมืองเก่าแห่งนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
แผนที่เมืองปักกิ่งสมัยราชวงศ์หมิง
ปักกิ่งเริ่มพัฒนารุ่งเรืองขึ้นจากการเป็นเมืองต้าตู เมืองหลวงในสมัยราชวงศ์หยวน มีบันทึกกล่าวไว้ว่า เมืองยาว 9 ลี้ แต่ละด้านมี 3 ประตูเมือง ถนนเป็นแนวตั้ง 9 สาย แนวนอน 9 สาย ความกว้างถนนเท่ากับรถม้า 9 คัน ด้านซ้ายของวังเป็นศาลเจ้าบรรพชน ด้านขวาเป็นหอบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ พระแม่โพสพ หน้าวังหลังตลาด (*ด้านหน้าของวังตั้งอยู่ทางทิศใต้)
ปี 1421 จักรพรรดิจูตี้ (หย่งเล่อ) จักรพรรดิหมิงองค์ที่ 3 ได้ย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงขึ้นมาที่ปักกิ่ง จากนั้นรูปแบบของเมืองปักกิ่งก็ค่อยๆกลายเป็นเขตพระราชวัง (FORBIDDEN CITY) เขตเมืองจักรพรรดิ (IMPERIAL CITY) เขตเมืองชั้นใน (INNER CITY) และเขตเมืองชั้นนอก (OUTER CITY) มีกำแพงเมือง 4 ชั้นล้อมรอบ
เมืองปักกิ่ง แต่ละด้านมี 3 ประตูเมือง มีถนนแนวตั้ง แนวนอนอย่างละ 9 สาย ทั้งหมด 18 สาย
สีเขียว – เมืองชั้นนอก สีส้มอ่อน – เมืองชั้นใน สีส้มเข้มด้านนอก – เมืองจักรพรรดิ ด้านใน – พระราชวังต้องห้าม
ซื่อเหอย่วนริมกำแพงเมืองปักกิ่งสมัยปลายราชวงศ์ชิง ถ่ายโดยช่างภาพญี่ปุ่น S. Yamamoto
เมืองต้าตู ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ หูท่ง (ตรอกซอย) และซื่อเหอย่วน (บ้านโบราณ)
ถือเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐานสำคัญของเมืองต้าตู ซื่อเหอย่วนจะตั้งอยู่ตาม 2 ข้างของหูท่งหรือถนนสายเล็กๆ
เมืองปักกิ่ง สมัยจักรพรรดิกว๊างซวี่ ปีที่ 25 ค.ศ.1899 ถ่ายโดยช่างภาพญี่ปุ่น S. Yamamoto
รูปแบบเมืองปักกิ่งในสมัยชิงโดยทั่วไปยังคงเป็นไปตามสมัยหมิง แต่ภายในเขตเมืองจักรพรรดิมีการเปลี่ยนแปลง ที่ทำการต่างๆกลายเป็นที่พักอาศัย และในเขตเมืองชั้นในก็ทำเป็นเขตเมืองของชาวแมนจู เป็นเขตที่อยู่อาศัยของเหล่ากองทัพ 8 ธงของแมนจู สถานที่ที่เป็นศาลาว่าการ คฤหาสน์ของขุนนาง ชนชั้นสูง คลังสินค้า กลายเป็นที่พักอาศัยของชาวแมนจู และให้ชาวฮั่นย้ายไปอยู่นอกเมือง
ถนนเฉียนเหมินต้าเจีย สมัยปลายราชวงศ์ชิง ถ่ายโดยช่างภาพญี่ปุ่น S. Yamamoto
ปักกิ่งสมัยหมิงมีเปลี่ยนแปลงรูปแบบเมืองจากในสมัยหยวนที่กำหนดว่า “หน้าวังหลังตลาด”
บริเวณโดยรอบประตูเจิ้งหยางเหมิน (เฉียนเหมิน) หูท่งเซียนหยือโข่ว หูท่งหลางฝาง ได้กลายเป็นเขตการค้าขายขนาดใหญ่
กำแพงเมืองปักกิ่งสมัยปลายราชวงศ์ชิง
กำแพงเมืองโบราณปักกิ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี เริ่มต้นสร้างสมัยหยวน กำแพงเมืองมีรูปร่างเหมือนตัวอักษร “凸”
มีความยาว 24 กิโลเมตร กว้าง 24 เมตร สูง 8 เมตร
ทหารรัสเซียบนกำแพงเมือง ปี1900
ปี1900 กองทัพพันธมิตร 8 ชาติบุกปักกิ่ง ทำความเสียหายให้แก่เมืองเก่าปักกิ่งเป็นอย่างมาก ที่ถูกทำลายไปมากคือ หอธนูและหอประตูเมือง
หอธนูเจิ้งหยางเหมินภายหลังการถูกโจมตี
ช่วงที่กองทัพพันธมิตร 8 ชาติบุกปักกิ่ง หอธนูและหอประตูเมืองเจิ้งหยางเหมิน หอธนูฉงเหวินเหมิน หอธนูเฉาหยางเหมินถูกทำลาย กองทัพพันธมิตรยิงปืนใหญ่โจมตีเจิ้งหยางเหมิน หอธนูถูกทำลาย ต่อมาทหารอินเดียไปตั้งค่ายที่หอประตูเมืองเจิ้งหยางเหมิน ครั้งหนึ่งจุดไฟจนเกิดเหตุเพลิงไหม้เผาทำลายหอประตูเมือง
หอธนูเจิ้งหยางเหมินหลังการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ มีนาฬิกาติดตั้งไว้ด้วย ถ่ายโดย Sidney David Gamble ชาวอเมริกัน
หอธนูและหอประตูเมืองเจิ้งหยางเหมิน หอธนูเฉาหยางเหมินได้ทำการบูรณะสร้างขึ้นใหม่ในปี1903
มีคำกล่าวบรรยายลักษณะเมืองเก่าปักกิ่งไว้ว่า “ ใน 9 นอก 7 เมืองจักรพรรดิ 4” ความหมายก็คือ เมืองชั้นในมี 9 ประตูเมือง
เมืองชั้นนอกมี 7 ประตูเมือง และเมืองจักรพรรดิมี 4 ประตูเมือง
หอประตูเมืองอันติ้งเหมิน
เมืองชั้นในปักกิ่งมีอยู่ 9 ประตูเมือง ได้แก่ เจิ้งหยางเหมิน ฉงเหวินเหมิน เซวียนอู่เหมิน เฉาหยางเหมิน ฟู่เฉิงเหมิน ตงจื๋อเหมิน ซีจื๋อเหมิน อันติ้งเหมินและเต๋อเชิ่งเหมิน โดยมีประตูเมืองเจิ้งหยางเหมินถือเป็นประตูใหญ่ประตูหน้าที่จักรพรรดิใช้เป็นเส้นทางเสด็จ ฉงเหวินเหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกสุรา เซวียนอู่เหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกนักโทษ เฉาหยางเหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกข้าว ฟู่เฉิงเหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกถ่านหิน ตงจื๋อเหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกไม้ ซีจื๋อเหมินใช้เป็นเส้นทางบรรทุกน้ำ เต๋อเชิ่งเหมินเป็นประตูที่ทหารออกไปทำศึก อันติ้งเหมินเป็นประตูที่กองทัพเดินทางกลับเข้าเมือง
ประตูฉงเหวินเหมินหลังจากมีทางรถไฟวิ่งผ่าน
ปีที่กองทัพพันธมิตร 8 ชาติบุกจีน อังกฤษได้ขยายเส้นทางรถไฟสายจิงเฟิ่ง (ปักกิ่ง-เสิ่นหยาง) ในปักกิ่งจากหย่งติ้งเหมินขยายทางไปถึงเจิ้งหยางเหมิน จึงมีการรื้อหย่งติ้งเหมินด้านตะวันออกและกำแพงเมืองตงเปียนเหมิน
อังกฤษได้ทำการเจาะกำแพงเวิ่งเฉิง wèngchéng (กำแพงเล็กที่สร้างอยู่ด้านนอกของประตูเมืองอีกชั้นหนึ่ง)ของประตูฉงเหวินเหมินเป็นอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟ ถ่ายโดย Sidney David Gamble
เวิ่งเฉิง
เจี่ยวโหลวกำแพงเมืองชั้นในปักกิ่ง ราวปี1917 ถ่ายโดย Sidney David Gamble
กำแพงเมืองปักกิ่งชั้นในและชั้นนอกมีการสร้างเจี่ยวโหลว (CORNER TOWER) ขึ้นทั้ง 4 ทิศ หอธนูที่อยู่มุมกำแพงเมืองชั้นใน เรียกว่า เจี่ยวเจี้ยนโหลว เรียกสั้นๆว่า เจี่ยวโหลว สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหมิงเจิ้งถ่ง ปีที่ 4 (ค.ศ.1439) ปัจจุบันมีเหลือเพียง”ตงหนานเจี่ยวโหลว” สมัยหมิงที่ยังคงมีให้เห็นอยู่
เจี่ยวโหลว
หอระฆัง ราวปี1917 ถ่ายโดย Sidney David Gamble
หอกลอง หอระฆังเป่ยจิง ตั้งอยู่บนถนนตี้อันเหมินไหว้ต้าเจีย เป็นจุดสำคัญทางตอนเหนือของเมืองเก่าปักกิ่ง
สมัยหมิงและชิง หอกลอง หอระฆังใช้ตีบอกเวลาวันละ 2 ครั้ง
ซุ้มประตูเค่อหลินเต๋อนี้เยอรมนีเรียกร้องให้รัฐบาลชิงสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ เนื่องในเหตุการณ์ที่ทูตเยอรมัน Klemens ถูกทหารชิงฆ่าตายเมื่อปี 1900 11 พ.ย. 1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง เยอรมนีแพ้สงคราม 13 พ.ย. 1918 รัฐบาลจีนได้ย้ายเอาซุ้มประตูเค่อหลินเต๋อไปไว้ที่สวนสาธารณะจงหยาง (ปัจจุบันคือสวนสาธารณะจงชาน) และเปลี่ยนชื่อเป็น “กงหลี่จ้านเชิ่ง”
ภาพเก่าเมืองปักกิ่ง
31 ม.ค. 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าเมืองเป่ยผิง เดือนกันยายนเปลี่ยนชื่อจากเป่ยผิงเป็นเป่ยจิง เดือนตุลาคมให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆรวมถึงเหลียงซื้อเฉิง สถาปนิกสำคัญยุคนั้นได้มีการถกกันถึงเรื่องเขตที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล ปัญหาเรื่องกำแพงเมืองจะคงไว้หรือรื้อทิ้ง ฯลฯ ... สุดท้ายเมืองเก่าแห่งนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เมืองปักกิ่ง แต่ละด้านมี 3 ประตูเมือง มีถนนแนวตั้ง แนวนอนอย่างละ 9 สาย ทั้งหมด 18 สาย
สีเขียว – เมืองชั้นนอก สีส้มอ่อน – เมืองชั้นใน สีส้มเข้มด้านนอก – เมืองจักรพรรดิ ด้านใน – พระราชวังต้องห้าม
ถือเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐานสำคัญของเมืองต้าตู ซื่อเหอย่วนจะตั้งอยู่ตาม 2 ข้างของหูท่งหรือถนนสายเล็กๆ
บริเวณโดยรอบประตูเจิ้งหยางเหมิน (เฉียนเหมิน) หูท่งเซียนหยือโข่ว หูท่งหลางฝาง ได้กลายเป็นเขตการค้าขายขนาดใหญ่
มีความยาว 24 กิโลเมตร กว้าง 24 เมตร สูง 8 เมตร
มีคำกล่าวบรรยายลักษณะเมืองเก่าปักกิ่งไว้ว่า “ ใน 9 นอก 7 เมืองจักรพรรดิ 4” ความหมายก็คือ เมืองชั้นในมี 9 ประตูเมือง
เมืองชั้นนอกมี 7 ประตูเมือง และเมืองจักรพรรดิมี 4 ประตูเมือง
เวิ่งเฉิง
สมัยหมิงและชิง หอกลอง หอระฆังใช้ตีบอกเวลาวันละ 2 ครั้ง