ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ .... ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
วลีนี้ผุดขึ้นมากลางใจทีเดียว สำหรับเมื่อวาน ... กระทู้ที่แล้วโดยสรุปก็พูดถึงการแก้แค้นของคุณเขมเป็นที่ตั้ง ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็คือรูปแบบหนึ่งของความทุกข์นั่นแหละนะ ไม่ใช่ว่าเขมชาติจะมีความทุกข์แต่เพียงผู้เดียว วดีก็มีความทุกข์ คุณเอื้อก็มีความทุกข์ แม้แต่สาว super positive thinking อย่างเกนหลง ก็ยังมีความทุกข์ มีก้อนหินอยู่ในมือทั้งนั้นเพียงแต่ของใครจะมีมากมีน้อย ก็เปลี่ยนไปตามจริตตามอารมณ์ของแต่ละคนนั่นเอง
สำหรับคุณเอื้อ ก้อนหินก้อนนั้นของคุณเอื้อ จะเป็นอะไรไปได้นอกจากความเสียดาย และ การ judge คนจากภายนอก ตัดสินคนในวันที่ข้อมูลและข้อเท็จจริงไม่เพียงพอ ผลกระทบของมันยิ่งใหญ่และยาวนาน เมื่อมีความรักขึ้นมาจริง ๆ ทำให้ต้องทนกับกระแสสังคม ความถูกต้องเหมาะสมด้านจารีตประเพณี "ถ้า" ถ้าวันนั้นรอบคอบกว่านี้คิดดีกว่านี้ วันนี้อาจจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดสำหรับเราก็ได้ ถึงวันนี้คุณเอื้อก้าวต่อข้างหน้าเพื่อไขว่คว้าหาความสุข เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนก็คงไม่มีอะไรต้องกลัวอีก สุดแท้แต่ว่าจะไปถึงกลางใจหนูเล็กได้รึเปล่า ? หรือ ระหว่างทางอาจจะเจอใครที่ชีวิตจะ sync กันมากกว่าคนที่ตัวเองฝังใจ ? ทางแยกทางเลือกมันก็มาโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ก็เป็นก้อนหินอีกก้อนที่คุณเอื้อจะต้องจัดการ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเอื้อจะใช้อะไรในการตัดสินใจ ความฝังใจของตัวเองในอดีต หรือ ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้า
เกนหลง ก้อนหินของเธอ คือ ความไม่แน่ใจ ก้าวที่พลาดของเจ้าหล่อนคือการไม่ "เชื่อ" ในสัญชาติญาณของตัวเองจนเกินไป มองโลกในแง่ดี ไว้วางใจ ด้วยความเป็นคนไม่ซับซ้อน คิดอะไรก็พูด คิดอะไรก็แสดงออก เข้าใจอยู่เสมอมาว่าคนอื่น ๆ ก็คงคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วไม่ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จิตใจนั้นยากแท้หยั่งถึงเสมอ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น หลายครั้งที่เกนหลงมองออกแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด หลายครั้งจึงติดอยู่กลางสมรภูมิรบโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือในการเหยียบย่ำหัวใจผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในวันที่เกนหลงเสียเซลฟ์เสียความมั่นใจ เราว่ามันช่างเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับการที่ผู้หญิงอีกคนตายทั้งเป็น
สุริยาวดี/สุริยง เธอรู้ว่าเธอมีก้อนหินอยู่ในมือ แต่หินของเธอเป็นทั้งความทุกข์และสุขของชีวิต การแต่งงานขัดดอกคือทุกข์แต่ก็เป็นความสุขเมื่อรู้ว่าทุกข์นั้นมีสิ่งแลกเปลี่ยนและได้อะไรกลับคืนมา เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตสุริยาวดีรู้เสมอว่านั่นคือทุกข์ และ เธอต้องอยู่กับมันให้ได้ ดังนั้นทุกข์ที่มีคือการชั่งตวงวัดกะประมาณ และ ตัดสินใจอย่างดีแล้วทั้งสิ้นที่จะรับมันมา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของเขมชาติมันก็คือทุกข์ที่ปนอยู่ด้วยสุข ใครอาจจะตั้งคำถาม กลับมาทำไม เพื่ออะไร ทนให้เขาโขกสับทำไมเพื่ออะไร ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้าใจ ไม่จำเป็นจะต้องมีใครรู้ แต่เมื่อวดีระลึกได้และรู้เจ้าตัวก็เห็นว่าเพียงพอ แต่ก็เถอะ มันจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าทุกข์และสุขนั้นจะให้ใครบางคนได้รับรู้ความหมายของมันร่วมกัน ถ้าสุริยาวดีแบ่งปันและเปิดปากซักนิดเรื่องราวมันคงไม่มาถึงขั้นนี้ ปัญหาคือนอกจาก dictate ความทุกข์ของตนเองแล้ว พยายามคิดเผื่อคนอื่นด้วยนี่สิ
เขมชาติ เริ่มจากทุกข์โดยไม่รู้เหตุเพราะไม่มีใครจะมาบอกกล่าว แล้วกลายเป็นทุกข์โดยไม่รู้ว่าทุกข์เพราะคิดว่าตัวเองหายสบายดี ไม่รู้ว่ากำก้อนหินเอาไว้ยาวนานเท่าใดแล้ว กำเสียแน่นด้วย หินที่ทั้งหนักทั้งคม เปรียบกับทุกข์ที่แบกก็สาหัสและก็แหลมคม โยนไปก็ทำร้ายคนอื่น ทิ้งไว้ก็ทำร้ายตัวเอง เป็นทุกข์ที่แรกเริ่มคนอื่นสร้างให้ คนที่เป็นเหมือนดวงตะวันเป็นโลกทั้งใบ แล้วต่อมาก็ทุกข์เพราะซ้ำเติมตัวเองเข้าไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะดับมัน เพราะหากไม่มีทุกข์นี้ก็อยู่ไม่ได้ ทุกอย่างที่มีทุกวันนี้ก็สร้างมันขึ้นมาจากความทุกข์ทั้งนั้น พอทุกข์จนถึงขีดอะไร ๆ ก็บังตาจะมองไม่เห็นความทุกข์ของคนอื่น เขมชาติจึงทุกข์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทุกข์ที่โดนทำให้เจ็บ ทุกข์ที่ไปทำเขาเจ็บ และ ทุกข์ที่สุดเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาช่างปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เพราะ เหตุจะดับทุกข์ก็อยู่แค่เอื้อม แต่แล้วก็ทำลายโอกาสนั้นด้วยมือของตัวเอง
อย่าลืมฉัน(กึ่งรีวิว)ภาคพิเศษ : ก้อนหินก้อนนั้น ....
วลีนี้ผุดขึ้นมากลางใจทีเดียว สำหรับเมื่อวาน ... กระทู้ที่แล้วโดยสรุปก็พูดถึงการแก้แค้นของคุณเขมเป็นที่ตั้ง ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็คือรูปแบบหนึ่งของความทุกข์นั่นแหละนะ ไม่ใช่ว่าเขมชาติจะมีความทุกข์แต่เพียงผู้เดียว วดีก็มีความทุกข์ คุณเอื้อก็มีความทุกข์ แม้แต่สาว super positive thinking อย่างเกนหลง ก็ยังมีความทุกข์ มีก้อนหินอยู่ในมือทั้งนั้นเพียงแต่ของใครจะมีมากมีน้อย ก็เปลี่ยนไปตามจริตตามอารมณ์ของแต่ละคนนั่นเอง
สำหรับคุณเอื้อ ก้อนหินก้อนนั้นของคุณเอื้อ จะเป็นอะไรไปได้นอกจากความเสียดาย และ การ judge คนจากภายนอก ตัดสินคนในวันที่ข้อมูลและข้อเท็จจริงไม่เพียงพอ ผลกระทบของมันยิ่งใหญ่และยาวนาน เมื่อมีความรักขึ้นมาจริง ๆ ทำให้ต้องทนกับกระแสสังคม ความถูกต้องเหมาะสมด้านจารีตประเพณี "ถ้า" ถ้าวันนั้นรอบคอบกว่านี้คิดดีกว่านี้ วันนี้อาจจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดสำหรับเราก็ได้ ถึงวันนี้คุณเอื้อก้าวต่อข้างหน้าเพื่อไขว่คว้าหาความสุข เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนก็คงไม่มีอะไรต้องกลัวอีก สุดแท้แต่ว่าจะไปถึงกลางใจหนูเล็กได้รึเปล่า ? หรือ ระหว่างทางอาจจะเจอใครที่ชีวิตจะ sync กันมากกว่าคนที่ตัวเองฝังใจ ? ทางแยกทางเลือกมันก็มาโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ก็เป็นก้อนหินอีกก้อนที่คุณเอื้อจะต้องจัดการ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเอื้อจะใช้อะไรในการตัดสินใจ ความฝังใจของตัวเองในอดีต หรือ ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้า
เกนหลง ก้อนหินของเธอ คือ ความไม่แน่ใจ ก้าวที่พลาดของเจ้าหล่อนคือการไม่ "เชื่อ" ในสัญชาติญาณของตัวเองจนเกินไป มองโลกในแง่ดี ไว้วางใจ ด้วยความเป็นคนไม่ซับซ้อน คิดอะไรก็พูด คิดอะไรก็แสดงออก เข้าใจอยู่เสมอมาว่าคนอื่น ๆ ก็คงคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วไม่ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จิตใจนั้นยากแท้หยั่งถึงเสมอ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น หลายครั้งที่เกนหลงมองออกแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิด หลายครั้งจึงติดอยู่กลางสมรภูมิรบโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือในการเหยียบย่ำหัวใจผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในวันที่เกนหลงเสียเซลฟ์เสียความมั่นใจ เราว่ามันช่างเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับการที่ผู้หญิงอีกคนตายทั้งเป็น
สุริยาวดี/สุริยง เธอรู้ว่าเธอมีก้อนหินอยู่ในมือ แต่หินของเธอเป็นทั้งความทุกข์และสุขของชีวิต การแต่งงานขัดดอกคือทุกข์แต่ก็เป็นความสุขเมื่อรู้ว่าทุกข์นั้นมีสิ่งแลกเปลี่ยนและได้อะไรกลับคืนมา เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตสุริยาวดีรู้เสมอว่านั่นคือทุกข์ และ เธอต้องอยู่กับมันให้ได้ ดังนั้นทุกข์ที่มีคือการชั่งตวงวัดกะประมาณ และ ตัดสินใจอย่างดีแล้วทั้งสิ้นที่จะรับมันมา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของเขมชาติมันก็คือทุกข์ที่ปนอยู่ด้วยสุข ใครอาจจะตั้งคำถาม กลับมาทำไม เพื่ออะไร ทนให้เขาโขกสับทำไมเพื่ออะไร ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้าใจ ไม่จำเป็นจะต้องมีใครรู้ แต่เมื่อวดีระลึกได้และรู้เจ้าตัวก็เห็นว่าเพียงพอ แต่ก็เถอะ มันจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าทุกข์และสุขนั้นจะให้ใครบางคนได้รับรู้ความหมายของมันร่วมกัน ถ้าสุริยาวดีแบ่งปันและเปิดปากซักนิดเรื่องราวมันคงไม่มาถึงขั้นนี้ ปัญหาคือนอกจาก dictate ความทุกข์ของตนเองแล้ว พยายามคิดเผื่อคนอื่นด้วยนี่สิ
เขมชาติ เริ่มจากทุกข์โดยไม่รู้เหตุเพราะไม่มีใครจะมาบอกกล่าว แล้วกลายเป็นทุกข์โดยไม่รู้ว่าทุกข์เพราะคิดว่าตัวเองหายสบายดี ไม่รู้ว่ากำก้อนหินเอาไว้ยาวนานเท่าใดแล้ว กำเสียแน่นด้วย หินที่ทั้งหนักทั้งคม เปรียบกับทุกข์ที่แบกก็สาหัสและก็แหลมคม โยนไปก็ทำร้ายคนอื่น ทิ้งไว้ก็ทำร้ายตัวเอง เป็นทุกข์ที่แรกเริ่มคนอื่นสร้างให้ คนที่เป็นเหมือนดวงตะวันเป็นโลกทั้งใบ แล้วต่อมาก็ทุกข์เพราะซ้ำเติมตัวเองเข้าไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะดับมัน เพราะหากไม่มีทุกข์นี้ก็อยู่ไม่ได้ ทุกอย่างที่มีทุกวันนี้ก็สร้างมันขึ้นมาจากความทุกข์ทั้งนั้น พอทุกข์จนถึงขีดอะไร ๆ ก็บังตาจะมองไม่เห็นความทุกข์ของคนอื่น เขมชาติจึงทุกข์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทุกข์ที่โดนทำให้เจ็บ ทุกข์ที่ไปทำเขาเจ็บ และ ทุกข์ที่สุดเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาช่างปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เพราะ เหตุจะดับทุกข์ก็อยู่แค่เอื้อม แต่แล้วก็ทำลายโอกาสนั้นด้วยมือของตัวเอง