สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆราชดำเนินเนื่องในวันสงกรานต์ 2557 ......
การเมืองในช่วงนี้คงมีเรื่องที่เฝ้าติดตามกันอยู่สองสามเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการวางแผนทำรัฐประหารของกลุ่มไดโนเสา , ข่าวที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนข่าวเชือดนายกฯให้พ้นจากตำแหน่ง ......
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งก็มีจุดมุ่งหมายเดิมๆที่ได้มีความพยายามดำเนินการมาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยมีคำว่า “ ประชาธิปไตย “เกิดขึ้นในประเทศ
การถกเถียงหรือโต้แย้งกับผู้ที่เห็นต่างในเรื่องการเมืองทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็แค่ขำๆเอาฮา หรือสนุกปากกันไปอย่างนั้นเอง หาใช่แก่นของเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาที่แท้จริงไม่
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลายๆคนมองข้ามที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหน้าต่างความคิดของตนเองกลับถูกปิดตายด้วยกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นข้อมูลด้านเดียวที่ป้อนใส่กะโหลกอยู่ทุกวี่วัน
ตั้งแต่เกิดรัฐประหารในปี 49 มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจและทำให้ผมเริ่มให้ความสนใจประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศมากยิ่งขึ้น ผมเริ่มเปิดใจจากที่เคยปิด และเงยหน้าจากที่เคยก้มหน้า ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา มันทำให้ผมพูดเรื่องการเมืองน้อยลง เขียนบทความน้อยลงมากแทบจะไม่นำเสนอเสนออะไรที่เป็นสาระอย่างจริงๆจังหรือเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อนเหมือนในช่วงที่ผมยังเป็น “ โชแปง “
เมื่อปีที่แล้วผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “ ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ “ ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้คือการลำดับเรื่องราวและรวบรวมข้อมูลทั้งหลายที่เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างลงตัว ที่อ่านแล้วสามารถเข้าใจบทบาทของทุกตัวละครได้เป็นอย่างดี
กระทู้นี้ไม่มีอะไรมากกว่าไปกว่าการพูดคุยและเล่าสู่กันฟังก็เท่านั้น .....
สวัสดีครับ
........ “ ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ “ .........
การเมืองในช่วงนี้คงมีเรื่องที่เฝ้าติดตามกันอยู่สองสามเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการวางแผนทำรัฐประหารของกลุ่มไดโนเสา , ข่าวที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนข่าวเชือดนายกฯให้พ้นจากตำแหน่ง ......
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งก็มีจุดมุ่งหมายเดิมๆที่ได้มีความพยายามดำเนินการมาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยมีคำว่า “ ประชาธิปไตย “เกิดขึ้นในประเทศ
การถกเถียงหรือโต้แย้งกับผู้ที่เห็นต่างในเรื่องการเมืองทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็แค่ขำๆเอาฮา หรือสนุกปากกันไปอย่างนั้นเอง หาใช่แก่นของเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาที่แท้จริงไม่
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลายๆคนมองข้ามที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหน้าต่างความคิดของตนเองกลับถูกปิดตายด้วยกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นข้อมูลด้านเดียวที่ป้อนใส่กะโหลกอยู่ทุกวี่วัน
ตั้งแต่เกิดรัฐประหารในปี 49 มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจและทำให้ผมเริ่มให้ความสนใจประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศมากยิ่งขึ้น ผมเริ่มเปิดใจจากที่เคยปิด และเงยหน้าจากที่เคยก้มหน้า ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา มันทำให้ผมพูดเรื่องการเมืองน้อยลง เขียนบทความน้อยลงมากแทบจะไม่นำเสนอเสนออะไรที่เป็นสาระอย่างจริงๆจังหรือเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อนเหมือนในช่วงที่ผมยังเป็น “ โชแปง “
เมื่อปีที่แล้วผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “ ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ “ ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้คือการลำดับเรื่องราวและรวบรวมข้อมูลทั้งหลายที่เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้อย่างลงตัว ที่อ่านแล้วสามารถเข้าใจบทบาทของทุกตัวละครได้เป็นอย่างดี
กระทู้นี้ไม่มีอะไรมากกว่าไปกว่าการพูดคุยและเล่าสู่กันฟังก็เท่านั้น .....
สวัสดีครับ