ผมมี บ.ที่ปรึกษาซอฟต์แวร์เล็กๆ ที่ศรีราชา พนง.ราวสิบคน ลูกค้าอยู่ กทม.หมด จึงรับผลจากวิกฤติปี 53-54 ลูกค้าหายหมด ปี 54 จึงขาดทุน 2 ล้าน ตลอดปีต้องยืมเงินสดจาก กก.ทุกครั้งที่ช็อตรวม 1.8 ล้าน (ซึ่ง กก. 2 คนกู้จากครอบครัว) ปีถัดมายื่นขอคืนภาษี 7 หมื่น ทำให้ จนท.สรรพากรเริ่มตรวจและขอหลักฐาน เราก็ส่งให้ แต่เงินยืมจะไม่เห็นครบในสเตทเมนต์ เพราะยืมมาไม่ได้เข้าธนาคาร (ตอนนั้นบัญชีไม่รู้ว่าต้องเข้า) บัญชีได้เงินสดมาก็จ่ายอะไรที่รออยู่เลย (ส่วนใหญ่คือเงินเดือน) จนท.จึงตั้งข้อสงสัยว่า 1.8 ล้านเป็นรายได้เงินสดที่เลี่ยงภาษีมาลงเป็นหนี้แทน
เราส่งสัญญากู้กับรายงานประชุม กก.ที่สั่งกู้ แต่ จนท.บอกสัญญากู้กับ กก.ใช้กับสรรพากรไม่ได้ เพราะ กก.ปลอมเองได้ แต่ จนท.จะช่วยโดยเราต้องแก้ไขบัญชีให้เงินกู้ 1.8 ล้านเป็นรายได้แทนก็จะจบ โดยเสียภาษีบวกค่าปรับรวม 4 แสน เรายืนยันว่าบริษัทยืม กก.จริงๆ ถ้าทำแบบนั้น กก.และ 2 ครอบครัวก็สูญหนี้ทั้งก้อน จนท.บอกว่ารู้ว่าเราสุจริตไม่ได้เลี่ยงภาษี แต่ให้ผ่านไม่ได้ เพราะเราไม่มีหลักฐานเงินยืมในสเตทเมนต์ จนท.เรียกไปคุยหลายรอบ เราไม่ยอมจนหมดเวลาตรวจ ผมก็นึกว่าจบแล้ว แต่ จนท.บอกให้บัญชีเซ็นยินยอมให้เลื่อนสอบปีหน้า ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด บัญชีจึงเซ็นไป ผมมารู้ทีหลังยังสงสัยทำไมไม่ให้ กก.ผจก.เซ็น
ปี 56 จนท.กลับมา ผมเขียนเอกสารชี้แจงเงินยืม 1.8 ล้าน อธิบายวิธีดูหลักฐานจากในงบ เช่นวันที่ยืมทุกครั้งจะมีรายการ คชจ.ที่มากกว่าเงินสดที่มีอยู่ตอนนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้บัญชีต้องรีบไปยืมเงิน กก.ทันที และเราไม่มีทางมีรายได้เงินสดเป็นล้านเพราะมีแต่บริการสำหรับองค์กรซึ่งต้องหักภาษี จริงๆ ถ้าเลี่ยงภาษีคงไม่มีใครขอคืนภาษีให้โดนตรวจ แต่เราไม่เคยเลี่ยงภาษีจึงให้ตรวจได้ ถ้าผิดก็แก้ไข แต่อันนี้ไม่ผิดแต่ จนท.ต้องการให้เราทำผิด แต่งงบให้ไม่ขาดทุน ซึ่งต่อไปเราก็กลัวจะโดนเอาผิดตรงนี้อีก อย่างปี 55 เคยมี บ.สนใจจะซื้อกิจการ ถ้าแต่งงบดีลนั้นอาจสำเร็จ แต่เขาต้องหาเจออยู่ดี เราจึงไม่ยอมทำ
จนท.จึงตั้งข้อสงสัยอีกว่า งบปี 54 สัดส่วน เงินเดือน/รายได้ สูงกว่ากลุ่ม บ.คอมพิวเตอร์ในพื้นที่ แสดงว่าเราจ่ายเงินเดือนสูงเกินไป แต่เราเป็น บ.ที่ปรึกษา ขายบริการไม่ใช่พีซี และลูกค้าอยู่ กทม. จึงเทียบแบบนี้ไม่ได้ เราชี้แจงว่าปี 54 รายได้หายไป 2 ล้านเพราะวิกฤต 53-54 แต่เราจ่ายเงินเดือนเท่าเดิม สัดส่วนก็ต้องเป็นงั้นถูกแล้ว แต่ จนท.ยืนยันว่าสัดส่วนเกินไม่ได้ แต่ จนท.จะช่วยโดยเราต้องแก้ไขบัญชีลด คชจ.ที่นำไปหักภาษีลง (ย้ายไป คชจ.ต้องห้าม) จนสัดส่วนทั้งหลายใกล้เคียงกับ บ.อื่น (ยอดขาดทุนและภาษีที่ขอคืนก็จะลดลงตาม) ถ้าเรายอมก็จะจบ แต่ปัญหาไม่ใช่เราต้องได้ 7 หมื่นเต็มๆ เพราะเงินก้อนนั้นไม่คุ้มกับความปวดหัวและเวลาที่เสียไปตั้งนานแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล
1. จนท.ใช้สัดส่วนนั้นบังคับเราได้ แปลว่าสรรพากรมีนโยบายว่า บ.ที่รายได้หายไป ต้องปลด พนง.ในสัดส่วนเดียวกัน แต่ธุรกิจไอทีไม่ใช่โรงงาน คนขาดแคลนและแทนกันไม่ได้ ถ้าให้ออกแล้วตอนเศรษฐกิจฟื้นก็เหมือนเริ่มบริษัทใหม่ เราเลยไม่ให้ใครออกแต่ให้ศึกษาพัฒนาอะไรใหม่ๆ แทน
2. จนท.บอกให้ลด คชจ.ที่ไปหักภาษี แปลว่าสรรพากรมีนโยบายว่า ถ้า บ.กำไรให้นำ คชจ.มาหักภาษีทั้งก้อน ถ้าขาดทุนให้หักภาษีน้อยลงตามสัดส่วน ดูไม่สมเหตุสมผลเลย
3. ถ้าเราตัดสินใจช่วย จนท. ก็จะมีผลดีทั้งกับสรรพากรเขตนี้ และกับบริษัท แต่ทำให้สรรพากรทำความผิดหรือเปล่า ผมไม่รู้กฎหมายเลยไม่รู้ที่ จนท.ให้เราทำผิดหรือถูก ถ้าถูกผมยอม ถ้าผิด มันจะเหมือนกรณีถูกจราจรเรียก คือเราขับรถปกติแต่จราจรหาว่าขับเร็ว แต่เขาจะช่วยให้ผ่านถ้าเราจ่ายเขาก่อน ไม่งั้นก็ถึงโรงพัก ถ้าเราจ่ายก็จบ แต่ทำให้ สตช.ด่างพร้อยเพิ่มขึ้นอีกจุด เป็นความผิดเราอีก
4. SME ใหม่ๆ เวลาขาดทุนน่าจะตกหลุมพรางนี้เรื่อยๆ (ยืมเงินสด กก.ไม่ผ่านธนาคาร) ซึ่งตกแล้วแก้ไขไม่ได้เลยเพราะ จนท.ไม่สนเหตุผลคำชี้แจง ไม่รับหลักฐานอื่นนอกจากสเตทเมนต์ที่มีเงินก้อนนั้น เราไม่รู้เรื่องภาษียิ่งโดนขู่ว่าไม่ยอมจะโดนอะไร ถ้ายอม บ.ผมก็รอดไป แต่ จนท.ก็สามารถใช้วิธีนี้กับ บ.อื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด โดยไม่มีข้อมูลสรุปว่าอะไรถูกผิดให้ บ.ที่ตกหลุมถัดไปใช้ชี้แจง เพราะผมหาข้อมูลแบบนั้นไม่เจอเลย ทั้งที่น่าจะมี บ.ใหม่พลาดอยู่เรื่อยๆ กรณีของเราไม่ว่าผลจะออกมาไง ผมจะกลับมาอัปเดตจนจบ
จะหมดเวลาตรวจอีกแล้ว จนท.บอกให้ผมเซ็นยินยอมให้เลื่อนสอบต่อปีหน้า (ปีที่ 3) ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด (ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ฟังดูน่าจะแย่มากๆ) ถูก จนท.ตรวจมา 2 ปีทำให้คิดเลิกกิจการหลายหน ขาดทุน 2 ล้านแล้วโดนหาว่าโกงภาษีอีก แถม จนท.ก็รู้ว่าเราไม่ได้โกง แต่ จนท.ก็เลิกสอบไม่ได้อีก เวลาเราไม่ทำตามก็ลุ้นว่าจะโดนอะไร ถ้าโดนประเมินภาษีบวกค่าปรับย้อนหลังจะเป็นเงินเท่าไหร่ มากจนได้เลิกกิจการเลยหรือเปล่า
ถ้าต้องเลิก พนง.ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ความผิดผมเองที่บริหารขาดทุนและไม่รู้ว่ายืมเงิน กก.ต้องผ่านธนาคาร เลยโดนตรวจไปเรื่อยๆ เหมือนโดนทวงหนี้แต่ไม่มีเงินจ่าย คนที่ดูแลเรื่องนี้ก็เสียสุขภาพจิต ไม่เป็นอันทำงาน รอดจากวิกฤติแต่จะเจ๊งเพราะโดนสอบนี่แหละ ผมเองก็มาจากภาครัฐ และ บ.นี้เกิดและรอดอยู่ได้ก็ด้วยการปั้นจากหน่วยงานรัฐอย่าง เนคเทค ซอฟต์แวร์ปาร์ค ซิป้า กรมส่งเสริมอุตฯ ทั้ง บ.ก็ได้รับการอุดหนุนจากลูกค้าภาครัฐอย่างดีตั้งแต่ต้น ผมไม่อยากเชื่อถ้าทำสุจริต แล้วหน่วยงานรัฐอย่างสรรพากรจะกลายเป็นอุปสรรคได้ ผมพยายามเข้าใจว่าเขาคงมีอะไรตกหล่น หรือเราไม่รู้วิธีจะชี้แจงมากกว่า
ขอโทษที่เล่ายาวนะครับ พยายามจะไม่บ่นแต่ก็มีบ้างแต่จริงๆ มันมากกว่านั้นอีก คงเหมือนทุก บ.ที่ถูกสอบทั้งที่สุจริต ต้องขอรบกวนท่านที่มีประสบการณ์ความรู้ในเรื่องนี้แนะนำด้วยครับ ว่าจะทำไงให้การตรวจสอบจบเสียที _/|\_
1. ในเมื่อปี 54 เราทำผิดไปแล้ว ยืมเงินสดจาก กก.ไม่ผ่านธนาคาร จะแก้ไขหรือชี้แจงไงให้สรรพากรผ่านได้?
2. ปี 54 ขาดทุนมาก สัดส่วน เงินเดือน/รายได้ ก็เลยสูง จะแก้ไขหรือชี้แจงไงให้สรรพากรผ่านได้?
3. จนท.จะให้ผมเซ็นยินยอมเลื่อนสอบต่อไปปีหน้า ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด ผมควรเซ็นหรือเปล่า? ถ้าไม่เซ็นจะจบหรือเปล่า?
ขอบคุณครับ _/|\_
น้ำท่วมปี 54 บริษัทขาดทุนจนต้องยืมเงินสด กก. พอขอคืนภาษี สรรพากรเลยสอบไปเรื่อยๆ ทำไงถึงจะผ่านครับ?
เราส่งสัญญากู้กับรายงานประชุม กก.ที่สั่งกู้ แต่ จนท.บอกสัญญากู้กับ กก.ใช้กับสรรพากรไม่ได้ เพราะ กก.ปลอมเองได้ แต่ จนท.จะช่วยโดยเราต้องแก้ไขบัญชีให้เงินกู้ 1.8 ล้านเป็นรายได้แทนก็จะจบ โดยเสียภาษีบวกค่าปรับรวม 4 แสน เรายืนยันว่าบริษัทยืม กก.จริงๆ ถ้าทำแบบนั้น กก.และ 2 ครอบครัวก็สูญหนี้ทั้งก้อน จนท.บอกว่ารู้ว่าเราสุจริตไม่ได้เลี่ยงภาษี แต่ให้ผ่านไม่ได้ เพราะเราไม่มีหลักฐานเงินยืมในสเตทเมนต์ จนท.เรียกไปคุยหลายรอบ เราไม่ยอมจนหมดเวลาตรวจ ผมก็นึกว่าจบแล้ว แต่ จนท.บอกให้บัญชีเซ็นยินยอมให้เลื่อนสอบปีหน้า ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด บัญชีจึงเซ็นไป ผมมารู้ทีหลังยังสงสัยทำไมไม่ให้ กก.ผจก.เซ็น
ปี 56 จนท.กลับมา ผมเขียนเอกสารชี้แจงเงินยืม 1.8 ล้าน อธิบายวิธีดูหลักฐานจากในงบ เช่นวันที่ยืมทุกครั้งจะมีรายการ คชจ.ที่มากกว่าเงินสดที่มีอยู่ตอนนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้บัญชีต้องรีบไปยืมเงิน กก.ทันที และเราไม่มีทางมีรายได้เงินสดเป็นล้านเพราะมีแต่บริการสำหรับองค์กรซึ่งต้องหักภาษี จริงๆ ถ้าเลี่ยงภาษีคงไม่มีใครขอคืนภาษีให้โดนตรวจ แต่เราไม่เคยเลี่ยงภาษีจึงให้ตรวจได้ ถ้าผิดก็แก้ไข แต่อันนี้ไม่ผิดแต่ จนท.ต้องการให้เราทำผิด แต่งงบให้ไม่ขาดทุน ซึ่งต่อไปเราก็กลัวจะโดนเอาผิดตรงนี้อีก อย่างปี 55 เคยมี บ.สนใจจะซื้อกิจการ ถ้าแต่งงบดีลนั้นอาจสำเร็จ แต่เขาต้องหาเจออยู่ดี เราจึงไม่ยอมทำ
จนท.จึงตั้งข้อสงสัยอีกว่า งบปี 54 สัดส่วน เงินเดือน/รายได้ สูงกว่ากลุ่ม บ.คอมพิวเตอร์ในพื้นที่ แสดงว่าเราจ่ายเงินเดือนสูงเกินไป แต่เราเป็น บ.ที่ปรึกษา ขายบริการไม่ใช่พีซี และลูกค้าอยู่ กทม. จึงเทียบแบบนี้ไม่ได้ เราชี้แจงว่าปี 54 รายได้หายไป 2 ล้านเพราะวิกฤต 53-54 แต่เราจ่ายเงินเดือนเท่าเดิม สัดส่วนก็ต้องเป็นงั้นถูกแล้ว แต่ จนท.ยืนยันว่าสัดส่วนเกินไม่ได้ แต่ จนท.จะช่วยโดยเราต้องแก้ไขบัญชีลด คชจ.ที่นำไปหักภาษีลง (ย้ายไป คชจ.ต้องห้าม) จนสัดส่วนทั้งหลายใกล้เคียงกับ บ.อื่น (ยอดขาดทุนและภาษีที่ขอคืนก็จะลดลงตาม) ถ้าเรายอมก็จะจบ แต่ปัญหาไม่ใช่เราต้องได้ 7 หมื่นเต็มๆ เพราะเงินก้อนนั้นไม่คุ้มกับความปวดหัวและเวลาที่เสียไปตั้งนานแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล
1. จนท.ใช้สัดส่วนนั้นบังคับเราได้ แปลว่าสรรพากรมีนโยบายว่า บ.ที่รายได้หายไป ต้องปลด พนง.ในสัดส่วนเดียวกัน แต่ธุรกิจไอทีไม่ใช่โรงงาน คนขาดแคลนและแทนกันไม่ได้ ถ้าให้ออกแล้วตอนเศรษฐกิจฟื้นก็เหมือนเริ่มบริษัทใหม่ เราเลยไม่ให้ใครออกแต่ให้ศึกษาพัฒนาอะไรใหม่ๆ แทน
2. จนท.บอกให้ลด คชจ.ที่ไปหักภาษี แปลว่าสรรพากรมีนโยบายว่า ถ้า บ.กำไรให้นำ คชจ.มาหักภาษีทั้งก้อน ถ้าขาดทุนให้หักภาษีน้อยลงตามสัดส่วน ดูไม่สมเหตุสมผลเลย
3. ถ้าเราตัดสินใจช่วย จนท. ก็จะมีผลดีทั้งกับสรรพากรเขตนี้ และกับบริษัท แต่ทำให้สรรพากรทำความผิดหรือเปล่า ผมไม่รู้กฎหมายเลยไม่รู้ที่ จนท.ให้เราทำผิดหรือถูก ถ้าถูกผมยอม ถ้าผิด มันจะเหมือนกรณีถูกจราจรเรียก คือเราขับรถปกติแต่จราจรหาว่าขับเร็ว แต่เขาจะช่วยให้ผ่านถ้าเราจ่ายเขาก่อน ไม่งั้นก็ถึงโรงพัก ถ้าเราจ่ายก็จบ แต่ทำให้ สตช.ด่างพร้อยเพิ่มขึ้นอีกจุด เป็นความผิดเราอีก
4. SME ใหม่ๆ เวลาขาดทุนน่าจะตกหลุมพรางนี้เรื่อยๆ (ยืมเงินสด กก.ไม่ผ่านธนาคาร) ซึ่งตกแล้วแก้ไขไม่ได้เลยเพราะ จนท.ไม่สนเหตุผลคำชี้แจง ไม่รับหลักฐานอื่นนอกจากสเตทเมนต์ที่มีเงินก้อนนั้น เราไม่รู้เรื่องภาษียิ่งโดนขู่ว่าไม่ยอมจะโดนอะไร ถ้ายอม บ.ผมก็รอดไป แต่ จนท.ก็สามารถใช้วิธีนี้กับ บ.อื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด โดยไม่มีข้อมูลสรุปว่าอะไรถูกผิดให้ บ.ที่ตกหลุมถัดไปใช้ชี้แจง เพราะผมหาข้อมูลแบบนั้นไม่เจอเลย ทั้งที่น่าจะมี บ.ใหม่พลาดอยู่เรื่อยๆ กรณีของเราไม่ว่าผลจะออกมาไง ผมจะกลับมาอัปเดตจนจบ
จะหมดเวลาตรวจอีกแล้ว จนท.บอกให้ผมเซ็นยินยอมให้เลื่อนสอบต่อปีหน้า (ปีที่ 3) ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด (ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ฟังดูน่าจะแย่มากๆ) ถูก จนท.ตรวจมา 2 ปีทำให้คิดเลิกกิจการหลายหน ขาดทุน 2 ล้านแล้วโดนหาว่าโกงภาษีอีก แถม จนท.ก็รู้ว่าเราไม่ได้โกง แต่ จนท.ก็เลิกสอบไม่ได้อีก เวลาเราไม่ทำตามก็ลุ้นว่าจะโดนอะไร ถ้าโดนประเมินภาษีบวกค่าปรับย้อนหลังจะเป็นเงินเท่าไหร่ มากจนได้เลิกกิจการเลยหรือเปล่า
ถ้าต้องเลิก พนง.ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ความผิดผมเองที่บริหารขาดทุนและไม่รู้ว่ายืมเงิน กก.ต้องผ่านธนาคาร เลยโดนตรวจไปเรื่อยๆ เหมือนโดนทวงหนี้แต่ไม่มีเงินจ่าย คนที่ดูแลเรื่องนี้ก็เสียสุขภาพจิต ไม่เป็นอันทำงาน รอดจากวิกฤติแต่จะเจ๊งเพราะโดนสอบนี่แหละ ผมเองก็มาจากภาครัฐ และ บ.นี้เกิดและรอดอยู่ได้ก็ด้วยการปั้นจากหน่วยงานรัฐอย่าง เนคเทค ซอฟต์แวร์ปาร์ค ซิป้า กรมส่งเสริมอุตฯ ทั้ง บ.ก็ได้รับการอุดหนุนจากลูกค้าภาครัฐอย่างดีตั้งแต่ต้น ผมไม่อยากเชื่อถ้าทำสุจริต แล้วหน่วยงานรัฐอย่างสรรพากรจะกลายเป็นอุปสรรคได้ ผมพยายามเข้าใจว่าเขาคงมีอะไรตกหล่น หรือเราไม่รู้วิธีจะชี้แจงมากกว่า
ขอโทษที่เล่ายาวนะครับ พยายามจะไม่บ่นแต่ก็มีบ้างแต่จริงๆ มันมากกว่านั้นอีก คงเหมือนทุก บ.ที่ถูกสอบทั้งที่สุจริต ต้องขอรบกวนท่านที่มีประสบการณ์ความรู้ในเรื่องนี้แนะนำด้วยครับ ว่าจะทำไงให้การตรวจสอบจบเสียที _/|\_
1. ในเมื่อปี 54 เราทำผิดไปแล้ว ยืมเงินสดจาก กก.ไม่ผ่านธนาคาร จะแก้ไขหรือชี้แจงไงให้สรรพากรผ่านได้?
2. ปี 54 ขาดทุนมาก สัดส่วน เงินเดือน/รายได้ ก็เลยสูง จะแก้ไขหรือชี้แจงไงให้สรรพากรผ่านได้?
3. จนท.จะให้ผมเซ็นยินยอมเลื่อนสอบต่อไปปีหน้า ถ้าไม่เซ็นจะออกหมายเรียกสอบอย่างละเอียด ผมควรเซ็นหรือเปล่า? ถ้าไม่เซ็นจะจบหรือเปล่า?
ขอบคุณครับ _/|\_