ทีมชาติ : บราซิล
วันเกิด : 10 เมษายน ค.ศ. 1973
สูง : 168 เซนติเมตร
หนัก : 70 กิโลกรัม
ตำแหน่ง : กองหลัง
จุดเด่น : ความแข็งแกร่ง,ความเร็ว,ทักษะที่ดีเยี่ยมและพลังเตะอันมหาศาล
สโมสร :ยูนิเอา เซา เจา ดี อราราส (1990 - 91)
พัลไมรัส (1992 - 94)
อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี/1995 - 96)
เรอัล มาดดริด (สเปน/1996 - มิถุนายน 2007)
เฟเนร์บาห์เช่ (ตุรกี/มิถุนายน 2007 - ธันวาคม 2009)
โครินเธียนส์ (ธันวาคม 2009)
ติดทีมชาติ : 125 นัด
ยิงประตูในทีมชาติ : 11 ลูก
เล่นทีมชาตินัดแรก : 26/02/1992, บราซิล - อเมริกา (3-0)
เล่นทีมชาตินัดล่าสุด : 01/07/2006, บราซิล - ฝรั่งเศส (0-1)
ยิงประตูในทีมชาตินัดแรก : 06/06/1995, บราซิล - ญี่ปุ่น (3-0)
ยิงประตูในทีมชาตินัดล่าสุด : 12/10/2005, บราซิล - เวเนซูเอล่า (3-0)
ประวัติ
Roberto Carlos จัดได้ว่าเป็นแบ็กซ้ายที่ตัวเล็กมาก หากเทียบกับนักเตะคนอื่น ทว่าเขากลับมีลูกยิงฟรีคิกที่ทรงพลังอยางมากซึ่งเป็นฝันร้ายของนายทวารทั้งหลายที่เคยเห็นและเคยสัมผัสลูกยิงของเขามาแล้ว และหากสังเกตุดูที่ขาของเขาให้ดีๆก็จะหายสงสัยทันทีว่าพละกำลังอันมากมายของเขานั้นมาจากไหน
Roberto Carlos ผู้ซึ่งเป็นนักฟุตบอล ที่มีช่วงเวลาที่สุดยอดระหว่างปี 1997-2003 เมื่อเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับ เรอัล มาดริด ต้นสังกัดของเขา และยังช่วยให้ บราซิล ทีมบ้านเกิดของเขา ประสบความยิ่งใหญ่ ระดับโลก อีกด้วย
เขาเกือบจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างทุกวันนี้ เมื่อครอบครัวของเขาทำงานอยู่ในโรงงานเสื้อผ้า และเขาก็ต้องเข้าไปทำด้วย ตั้งแต่อายุ 12 ปี ทว่าความฝันของเขาคือการเล่นฟุตบอล
และเมื่อายุ 17 ปี เขาจึงตัดสินใจ ไปทดสอบฝีเท้ากับทีม ยูนิเอา เซา เจา ดี อราราส ทีมลูกหนังท้องถิ่น และนี่ที่ก็ช่วยสร้างให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่เขาจะได้ไปเซ็นสัญญากับ พัลไมรัส ทีมยักษ์ใหญ่ ในปี 1990
ใน ปี 1995 Roberto Carlos เกือบได้ย้ายไปค้าแข้งกับ เซา เปาโล ทว่าด้วยความเก่งกาจของเขา ทำให้ อินเตอร์ มิลาน ทีมยักษ์ใหญ่จากอิตาลี ทุ่มเงินซื้อเขาไปร่วมทัพ
เขาย้ายไปเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนบอล ทว่าเขากลับทำผลงานได้ไม่ดีนัก เนื่องจากการเป็นโรคคิดถึงบ้าน อีกทั้ง เขายังได้เล่นในตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด เขาจึงขอย้ายทีม จนกระทั่ง เรอัล มาดริด ได้ติดต่อดึงตัวเขาไปร่วมทีม และนี่คือการซื้อที่คุ้มค่าที่สุดในรอบหลายสิบปี ของ รีลมาดริด เลยก็ว่าได้
ด้วยรูปร่างที่แตกต่างจากนักเตะคนอื่น เขามีท่อนขาที่แข็งแกร่งดุจท่อนไม้ มีรูปร่างที่เตี้ย สั้น แถมยังหัวโล้น ทว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่สามารถบดบังความเก่งกาจของเขาได้เลย เพราะเขาคือแบ็กซ้ายที่ทรงพลังที่สุด เขาสกัดแบบหนักหน่วง มีลูกยิงไกล และลูกฟรีคิก ที่จัดอยู่ในระดับขั้นเทพ ทำให้เขาโดดเด่นที่สุดในตำแหน่งแบ็กซ้ายของโลก
ลูกยิงของเขาเคยถูก บันทึกไว้ว่ามีความเร็วและแรง ถึง 120-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เลยทีเดียว ซึ่งน้อยนักเตะนักที่จะทำได้ใกล้เคียงลูกยิงของเขา
ในปี 1997 คาร์ลอส ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสเปน เป็นครั้งแรกกับ เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ แถมในปีเดียวกัน เขายังคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา เท่านั้นไม่พอ ในเดือนธันวาคม เขาและทีมชาติบราซิล ยังผงาดซิวแชมป์คอนเฟเดอร์เรชั่น คัพ อีกต่างหาก
ในซีซั่นถัดมา คาร์ลอส ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการเฉือนเอาชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ก่อนที่เขาจะเดินทาไปร่วมกับทีมชาติบราซิล เพื่อไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส
ทีมชาติบราซิล ที่มี โรนัลโด้ ดาวเตะซูปเปอร์สตาร์ของ บาร์เซโลนา เป็นทีมเต็ง 1 ในการแข่งขันครั้งนี้ และ ทีมชาติบราซิล ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง จนทะยานเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เพื่อป้องกันแชมป์
คาร์ลอส ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ทว่าเขาคงไม่ค่อยดีใจนัก เมื่อ ทีมชาติบราซิล ที่ปราศจาก โรนัลโด้ ในรอบชิงชนะเลิศ ต้องพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ไปแบบหมดสภาพ 0-3 ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
คาร์ลอส กลับมาเยือนสนาม สต๊าด เดอ ฟร้องค์ อีกครั้ง ในปี 2000 หลังจากต้องอกหักในศึกฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เขา และ เรอัล มาดริด ต้องมาดวลกับ บาเลนเซีย ในรอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ จากที่นี่ ได้สำเร็จ
ในปี 2001 คาร์ลอส ได้มีโอกาสร่วมงานกับซูปเปอร์สตาร์ของโลก อย่าง ซีเนดีน ซีดาน ที่ย้ายมาร่วมทัพ เขามาผนึกกำลัง กับ หลุยส์ ฟิโก้ และ ราอูล กอนซาเลซ ช่วยให้ทีม ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ในปี 2002 หลังเฉือนเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
ในปีเดียวกัน คาร์ลอส ก็ประสบความสำเร็จกับ ทีมชาติบราซิล อีกครั้ง เมื่อ สามารถเอาชนะ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ 2-0 ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกแบบยิ่งใหญ่
หลังจากนั้น Carlos ก็ได้รับการเลือกให้เป็น รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของชีวิตนักเตะของเขา
นอกจากนี้ คาร์ลอส ยังช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ในปี 2003 ขณะที่ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เขาและทีมชาติบราซิล ไปได้ไกลสุดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น และต่อมาในปี 2007 เขาก็ได้โบกมือ เรอัล มาดริด ด้วยการคว้าแชมป์ ลีก สเปน เป็นการส่งท้าย เพื่อย้ายไปร่วมทัพ เฟเนร์บาห์เช่ ในลีกตุรกี และเขาก็ได้ประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติ หลังลงเล่นไปถึง 125 นัด
ไปดูได้ที่วีดีโอข้างล่างครับ
เครดิตข้อมูล
http://scoretheball.blogspot.com/
สุขสันต์คล้ายวันเกิดอายุ 41 ปี แบ็คซ้ายตีนระเบิด โรเบิร์ตโต้ คาร์ลอส
วันเกิด : 10 เมษายน ค.ศ. 1973
สูง : 168 เซนติเมตร
หนัก : 70 กิโลกรัม
ตำแหน่ง : กองหลัง
จุดเด่น : ความแข็งแกร่ง,ความเร็ว,ทักษะที่ดีเยี่ยมและพลังเตะอันมหาศาล
สโมสร :ยูนิเอา เซา เจา ดี อราราส (1990 - 91)
พัลไมรัส (1992 - 94)
อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี/1995 - 96)
เรอัล มาดดริด (สเปน/1996 - มิถุนายน 2007)
เฟเนร์บาห์เช่ (ตุรกี/มิถุนายน 2007 - ธันวาคม 2009)
โครินเธียนส์ (ธันวาคม 2009)
ติดทีมชาติ : 125 นัด
ยิงประตูในทีมชาติ : 11 ลูก
เล่นทีมชาตินัดแรก : 26/02/1992, บราซิล - อเมริกา (3-0)
เล่นทีมชาตินัดล่าสุด : 01/07/2006, บราซิล - ฝรั่งเศส (0-1)
ยิงประตูในทีมชาตินัดแรก : 06/06/1995, บราซิล - ญี่ปุ่น (3-0)
ยิงประตูในทีมชาตินัดล่าสุด : 12/10/2005, บราซิล - เวเนซูเอล่า (3-0)
ประวัติ
Roberto Carlos จัดได้ว่าเป็นแบ็กซ้ายที่ตัวเล็กมาก หากเทียบกับนักเตะคนอื่น ทว่าเขากลับมีลูกยิงฟรีคิกที่ทรงพลังอยางมากซึ่งเป็นฝันร้ายของนายทวารทั้งหลายที่เคยเห็นและเคยสัมผัสลูกยิงของเขามาแล้ว และหากสังเกตุดูที่ขาของเขาให้ดีๆก็จะหายสงสัยทันทีว่าพละกำลังอันมากมายของเขานั้นมาจากไหน
Roberto Carlos ผู้ซึ่งเป็นนักฟุตบอล ที่มีช่วงเวลาที่สุดยอดระหว่างปี 1997-2003 เมื่อเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับ เรอัล มาดริด ต้นสังกัดของเขา และยังช่วยให้ บราซิล ทีมบ้านเกิดของเขา ประสบความยิ่งใหญ่ ระดับโลก อีกด้วย
เขาเกือบจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างทุกวันนี้ เมื่อครอบครัวของเขาทำงานอยู่ในโรงงานเสื้อผ้า และเขาก็ต้องเข้าไปทำด้วย ตั้งแต่อายุ 12 ปี ทว่าความฝันของเขาคือการเล่นฟุตบอล
และเมื่อายุ 17 ปี เขาจึงตัดสินใจ ไปทดสอบฝีเท้ากับทีม ยูนิเอา เซา เจา ดี อราราส ทีมลูกหนังท้องถิ่น และนี่ที่ก็ช่วยสร้างให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่เขาจะได้ไปเซ็นสัญญากับ พัลไมรัส ทีมยักษ์ใหญ่ ในปี 1990
ใน ปี 1995 Roberto Carlos เกือบได้ย้ายไปค้าแข้งกับ เซา เปาโล ทว่าด้วยความเก่งกาจของเขา ทำให้ อินเตอร์ มิลาน ทีมยักษ์ใหญ่จากอิตาลี ทุ่มเงินซื้อเขาไปร่วมทัพ
เขาย้ายไปเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนบอล ทว่าเขากลับทำผลงานได้ไม่ดีนัก เนื่องจากการเป็นโรคคิดถึงบ้าน อีกทั้ง เขายังได้เล่นในตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด เขาจึงขอย้ายทีม จนกระทั่ง เรอัล มาดริด ได้ติดต่อดึงตัวเขาไปร่วมทีม และนี่คือการซื้อที่คุ้มค่าที่สุดในรอบหลายสิบปี ของ รีลมาดริด เลยก็ว่าได้
ด้วยรูปร่างที่แตกต่างจากนักเตะคนอื่น เขามีท่อนขาที่แข็งแกร่งดุจท่อนไม้ มีรูปร่างที่เตี้ย สั้น แถมยังหัวโล้น ทว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่สามารถบดบังความเก่งกาจของเขาได้เลย เพราะเขาคือแบ็กซ้ายที่ทรงพลังที่สุด เขาสกัดแบบหนักหน่วง มีลูกยิงไกล และลูกฟรีคิก ที่จัดอยู่ในระดับขั้นเทพ ทำให้เขาโดดเด่นที่สุดในตำแหน่งแบ็กซ้ายของโลก
ลูกยิงของเขาเคยถูก บันทึกไว้ว่ามีความเร็วและแรง ถึง 120-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เลยทีเดียว ซึ่งน้อยนักเตะนักที่จะทำได้ใกล้เคียงลูกยิงของเขา
ในปี 1997 คาร์ลอส ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสเปน เป็นครั้งแรกกับ เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ แถมในปีเดียวกัน เขายังคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา เท่านั้นไม่พอ ในเดือนธันวาคม เขาและทีมชาติบราซิล ยังผงาดซิวแชมป์คอนเฟเดอร์เรชั่น คัพ อีกต่างหาก
ในซีซั่นถัดมา คาร์ลอส ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการเฉือนเอาชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ก่อนที่เขาจะเดินทาไปร่วมกับทีมชาติบราซิล เพื่อไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส
ทีมชาติบราซิล ที่มี โรนัลโด้ ดาวเตะซูปเปอร์สตาร์ของ บาร์เซโลนา เป็นทีมเต็ง 1 ในการแข่งขันครั้งนี้ และ ทีมชาติบราซิล ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง จนทะยานเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เพื่อป้องกันแชมป์
คาร์ลอส ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ทว่าเขาคงไม่ค่อยดีใจนัก เมื่อ ทีมชาติบราซิล ที่ปราศจาก โรนัลโด้ ในรอบชิงชนะเลิศ ต้องพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ไปแบบหมดสภาพ 0-3 ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
คาร์ลอส กลับมาเยือนสนาม สต๊าด เดอ ฟร้องค์ อีกครั้ง ในปี 2000 หลังจากต้องอกหักในศึกฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เขา และ เรอัล มาดริด ต้องมาดวลกับ บาเลนเซีย ในรอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ จากที่นี่ ได้สำเร็จ
ในปี 2001 คาร์ลอส ได้มีโอกาสร่วมงานกับซูปเปอร์สตาร์ของโลก อย่าง ซีเนดีน ซีดาน ที่ย้ายมาร่วมทัพ เขามาผนึกกำลัง กับ หลุยส์ ฟิโก้ และ ราอูล กอนซาเลซ ช่วยให้ทีม ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ในปี 2002 หลังเฉือนเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
ในปีเดียวกัน คาร์ลอส ก็ประสบความสำเร็จกับ ทีมชาติบราซิล อีกครั้ง เมื่อ สามารถเอาชนะ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ 2-0 ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกแบบยิ่งใหญ่
นอกจากนี้ คาร์ลอส ยังช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ในปี 2003 ขณะที่ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เขาและทีมชาติบราซิล ไปได้ไกลสุดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น และต่อมาในปี 2007 เขาก็ได้โบกมือ เรอัล มาดริด ด้วยการคว้าแชมป์ ลีก สเปน เป็นการส่งท้าย เพื่อย้ายไปร่วมทัพ เฟเนร์บาห์เช่ ในลีกตุรกี และเขาก็ได้ประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติ หลังลงเล่นไปถึง 125 นัด
เครดิตข้อมูล http://scoretheball.blogspot.com/