Captain America : Winter Soldier - เรื่องของ "คนหลงยุค"

Captain America : Winter Soldier - เรื่องของ "คนหลงยุค"

By : TonyMao_NK51
E - Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : TonyMao Nk



"ในอดีต สหรัฐอเมริกามีนโยบายโดดเดี่ยวตนเองจากโลก แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนนโยบายไปสู่การจัดระเบียบโลก"

สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นมัธยม สักราวๆ 10 กว่าปีก่อนนิดๆ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่สนใจประวัติศาสตร์โลกบอกกับผมเช่นนี้ เขาว่าเมื่อครั้งผู้อพยพจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลเข้าไปแสวงหาอนาคตที่ดีกว่ายัง "แผ่นดินใหม่" ผู้นำของรัฐเหล่านั้นที่รวมเข้าด้วยกัน ไม่ต้องการให้อิทธิพลของ "โลกเก่า" อันหมายถึงทวีปยุโรปแผ่ขยายกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้ทำสงครามปลดแอกจนตั้งประเทศของตนขึ้นมาได้

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะโดยความตั้งใจของฝ่ายอักษะเอง หรือเป็นแผนลวงของสหรัฐฯ เพื่อหาข้ออ้างเข้าสู่สงครามก็ตาม ( กรณี Pearl Harbor มีผู้กล่าวว่าสหรัฐฯ กดดันญี่ปุ่น บีบให้ญี่ปุ่นโจมตีเพื่อหาเหตุผลโน้มน้าวประชาชนให้สนับสนุนการเข้าร่วมสงคราม ) แต่ท้ายที่สุด "พญาอินทรี" ก็ผงาด และกลายเป็น 1 ใน 5 เทพ ผู้ปกครองโลกปัจจุบันในนามคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

--------------------------

อาจจะงงว่าประวัติศาสตร์ด้านบน มันเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ตรงไหน? ก็คงต้องบอกว่าเกี่ยวแน่นอน อย่าลืมว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นจุดเปลี่ยนของนโยบายต่างประเทศแดนอินทรี "Steve Rogers" สมัครเป็นทหารเข้าร่วมรบด้วย ( แต่เพราะตัวเล็กเกินไปจึงไม่ผ่าน ถึงกระนั้นด้วยความ "ใจใหญ่" เกินตัวของเขา จึงได้รับโอกาสในการทดลองสร้างยอดมนุษย์ กลายเป็นกัปตันอเมริกาอย่างที่เห็นไปแล้วในภาคแรก ) ที่สำคัญ การ์ตูนที่ตัวเอกเป็นชายหนุ่มถือโล่ สวมชุดลายธงชาติออกไปสู้กับเหล่าร้ายเรื่องนี้ จุดเริ่มต้นมาจากการเป็นเพียงการ์ตูนโฆษณาชวนเชื่อ ( Propaganda ) ให้อเมริกันชนบริจาคเงินสมทบทุนส่งไปสนับสนุนทหารในแนวรบ รวมทั้งให้หนุ่มๆ ทั้งหลายมาสมัครเป็นทหารไปรบอีกด้วย

แต่เพราะว่ามันดัง หรือมันเข้าถึง "บุคลิกในอุดมคติ" ของอเมริกันชนหรือไงก็ไม่ทราบได้ ยอดมนุษย์เก่าแก่รายนี้จึงยืนยาวอยู่ในโลกการ์ตูนแดนอินทรีจนถึงปัจจุบัน

ทว่าหลังจำศีลในน้ำแข็งไปราว 70 ปี  Steve พบว่าโลกและประเทศของเขาได้เปลี่ยนไปหมด แม้เขาจะเข้าร่วมกับหน่วยงานอย่าง SHIELD เพื่อปราบเหล่าร้ายที่เป็นภัยความมั่นคงของชาติ แต่หลายครั้งเขากลับรู้สึกสับสน และตั้งคำถามกับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Natasha Romanoff ( Black Widow ) หรือ Nick Fury ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ตอนนี้ มันถูกต้องแล้วจริงหรือ?

ตลอดทั้งเรื่อง ผู้ชมอาจจะรู้สึกอึดอัดปนสงสารในความ "ซื่อ" ของ Steve ที่ยังติดอยู่กับ "การรบในแบบ" หรือการใช้ทหารจำนวนตั้งแต่หมู่ หมวด กองร้อย  ฯลฯ เข้าประจัญบานกันซึ่งหน้าดังที่ตัวเขาผ่านประสบการณ์มาในช่วงสงครามโลก การรบแบบนี้เป็นการใช้คนจำนวนมาก แน่นอน "ความเชื่อใจ" มีความสำคัญที่สุดในการรบแบบนี้ เช่นที่ทหารทุกประเทศมักถูกสอนเสมอว่า "Leave No Man Behind - ไม่ทิ้งใครไว้ในสนามรบ" แม้กระทั่งเพื่อนร่วมหน่วยตายแล้ว คนที่เหลือก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อแบกศพผู้พลีชีพกลับไปด้วยให้ได้ สังเกตว่าตัว Steve ชอบที่จะมีเพื่อน หรือเข้ากันได้กับคนที่เคยเป็นทหารมาก่อนเสมอ

ทว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 "หลักนิยมการรบ" ของโลกก็เปลี่ยนไป กลายเป็น "การรบนอกแบบ" ที่มีทั้งการใช้กองโจรบ้าง สายลับบ้าง เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงและเสถียรภาพของฝ่ายตรงข้าม แน่นอนสงครามแบบนี้เล่นกันทุกมิติ ทั้งการบ่อนทำลายกลุ่มขั้วการเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจ การปลุกระดมมวลชนทางสังคม เห็นได้ชัดในยุคสงครามเย็น มีเรื่องเล่ามากมายของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ( CIA ) และสหภาพโซเวียตรัสเซีย ( KGB ) ที่เข้าไปปฏิบัติการในประเทศอื่นๆ ทั้งการฝึกสอนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และจัดการกับบุคคลที่อาจจะเป็นภัยกับฝ่ายตน สงครามแบบหลังนี้ ผู้เข้าร่วมต้อง "ไม่มีตัวตน" ต้องละทิ้งในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งสิ่งที่มนุษย์โหยหาที่สุด นั่นคือ "ความไว้ใจ" ใครที่สนใจเรื่องของจารชน คงทราบกันอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ถูกฝึกมาให้ทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสาร รวมถึงการปลิดชีพเป้าหมายก็ต้องทำ หากเป็นสิ่งที่ภารกิจกำหนดมาแล้ว ( และนี่เป็นประสบการณ์ที่ Natasha ผ่านมาตลอดการทำงานให้ KGB )

ตลอดทั้งเรื่อง บทสนทนาระหว่าง Steve กับ Natasha หรือ Steve กับ Nick จะว่ากันด้วยเรื่องของ "ความไว้ใจ" และความต่างในวิธีคิดของ "ทหาร - สายลับ" ที่ฟังแล้วอาจจะอึดอัดแทนตัวเอก เพราะมันเป็นสิ่งที่ขัดกันระหว่าง "อุดมคติ" กับ "ความเป็นจริง" โดยแท้ ( มีผู้ที่สนใจเรื่องจารชนบางท่าน บอกว่าวิธีคิดแบบจารชนนี่แหละ เป็น "ความจริงของโลก" มากที่สุด แต่เป็นความจริงที่มนุษย์ทั่วไป ที่ถูกสอนตั้งแต่เด็กถึงคุณธรรม จริยธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่ค่อยจะรับได้เท่าไรนัก )

เหนือกว่าการรบในแบบ - นอกแบบ กลายเป็นเรื่องของ "การจัดระเบียบโลก" ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะเห็นข่าวโครงการลับๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ มากมาย ที่พยายามจะบงการหรือแทรกแซงการใช้ชีวิตของมนุษย์ ( ล่าสุดคงเป็นเรื่องที่สโนว์เดนออกมาแฉว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีโครงการดักฟังการสื่อสารของคนทั่วโลก ) เช่นเดียวกัน ในหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง มักพูดถึงความพยายามของหน่วยงานรัฐ ที่จะสร้างเครื่องมือสักอย่างขึ้นมาควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ ก่อนที่มันจะเกิดความผิดพลาด ทั้งโดยตัวระบบเอง หรือถูกผู้ไม่หวังดีเข้ายึดครองเพื่อนำไปใช้ในทางที่ิผิด แล้วพวกตัวเอกก็จะต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปทำลายเจ้าเครื่องมือที่ว่านี้เสมอ

ในกัปตันอเมริกาภาค 2 นี้ก็ด้วย เมื่อ SHIELD มีแผนสร้างป้อมปืนขนาดยักษ์ให้ลอยเหนือวงโคจรโลก  Fury อธิบายกับ Steve ว่ามันสามารถสอยใครก็ตามที่พยายามจะก่อเหตุร้าย เปรียบเหมือน "อำนาจเทวดา" ที่อยู่บนสวรรค์ สามารถลงทัณฑ์มนุษย์ชั่วๆ ได้ทันทีที่พวกมันคิดก่อการ แน่นอน Steve รู้สึกไม่ดีตั้งแต่แรกทันทีที่เห็นโครงการดังกล่าว

ก่อนจะเกิดเหตุขึ้นตามพล็อตหนังแอ็คชั่นทั่วๆ ไป และตรงนี้คงต้องไปดูกันเอง  เล่าหมดเดี๋ยวจะไม่สนุก

--------------------------

- Chris Evans ยังคงเป็น     Steve Rogers ที่แววตาดูซื่อๆ และเป็นคนหลงยุคได้เหมือนเดิม ชีวิตวันๆ หนึ่งหากไม่ออกปฏิบัติการในนาม Captain America ก็จะวนไปมาระหว่างการออกกำลังกาย พบปะทหารผ่านศึกในสโมสร หรือไม่ก็ไปเยี่ยมคนในยุคเดียวกับเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ ดูแล้วเป็นพระเอกที่ไม่มีสีสันเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับ Hero ร่วมค่ายคนอื่นๆ สะท้อนได้ถึงความสับสนและโดดเดี่ยวได้เป็นอย่างดี เพราะแม้จะเรียนรู้ Trend ในยุคสมัยใหม่ได้แล้ว แต่กลับไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมไปกับมันเท่าไรนัก

- Scarlett Johansson กับบทบาทอดีตจารชนรัสเซีย Natasha Romanoff นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ตัวละครนี้ชัดเจนในมุมของ "ความเหงา" และ "ความรู้สึกผิด" จากงานของตนในอดีตมากที่สุด หลังจากที่โผล่ออกมาโชว์เทพถึง 2 ครั้งใน Iron Man 2 และ The Avengers ที่ต้องขอชมคือทีม Make Up ที่ทำให้ใบหน้าของ Black Widow ในภาคนี้ดูโทรมๆ ไม่สดใสสวยเท่แบบ 2 ครั้งแรกที่ปรากฏตัว ( ลองนึกถึงตัวละครแนวเดียวกันอย่าง 007 ที่ Bond แบบ Pierce Brosnan จะดูหล่อ เนี้ยบ เก่งเทพทุกๆ เรื่อง แต่ Bond แบบ  Daniel Craig จะดูโทรมๆ เจ็บได้เหงาเป็น และบางครั้งก็รู้สึกสับสนกับการต้องทำภารกิจที่ MI-6 มอบหมายมา )

- Samuel L. Jackson จริงๆ แล้วในหนังหลายเรื่อง ผมว่าแกเป็นตัวขโมยซีนของแท้ เรียกว่าผู้ชมอาจจะจำได้มากกว่าตัวเอกเสียอีก ( เช่นล่าสุดใน Django Unchained และ Robocop ) พูดง่ายๆ พี่แกมือขึ้นมากกับบทสมทบทั้งหลาย และการเป็น Nick Fury ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน เอาว่าไปดูกันเองว่าจะเด่นกว่าตัวเอกแค่ไหน ( แนะนำดูแบบ Soundtrack ผมขำตอนฉากที่แกโดนไล่ล่าจริงๆ นะ บ่นยังกับจะแร็ปโชว์เลย - -! )

นอกจากนี้ยังมี Sebastian Stan กับการเป็น Winter Soldier ตัวร้ายที่เท่พอๆ กับตัวเอก ( แต่ไม่มีบทพูด เพราะอะไรไปดูกันเอง ) และนักแสดงระดับตำนานอย่าง Robert Redford ในบท Alexander Pierce อีกตัวละครสำคัญ ( สำคัญยังไง? ใบ้ให้นิดว่าบทที่ได้นั้นสมศักดิ์ศรีมากกว่าบทของตำนานอีกคนอย่าง Ben Kingsley ใน Iron Man 3 ละกัน )

ใครที่ชอบ Hero แบบที่มีสีสัน เร้าใจ ไม่จิดชืด อาจจะไม่ค่อยชอบกัปตันอเมริกาเท่าไรนัก เห็นภาคแรกหลายคนบ่นว่าน่าเบื่อ ( กระทั่งผมเองก็เคยเปรียบเทียบว่าบทพูดเหมือนหนังไทยยุค มิตร - สมบัติ - สรพงษ์ ที่เป็น Trend บุคลิกพระเอกหนังสมัยนั้น )  แต่ภาคนี้อาจจะถือว่าดีขึ้นก็ได้ เพราะบทภาค 2 หันไปเล่นกับความเป็นคนที่มาอยู่ผิดยุคของตัว Steve เอง ถึงกระนั้นตัวเอกของเราก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากภาคแรก ไม่มีความกวนส้นเท้าแบบ Iron Man ไม่ดูอลังการแบบ Thor ( คนรุ่นใหม่คงชอบ Hero 2 คนหลังมากกว่า )

ความเห็นส่วนตัว ไม่มีหลักการ ไม่มีทฤษฎีอะไรทั้งสิ้น ผมให้ 9+ จากเต็ม 10 ครับ

ปล.อ่านที่ผมเคยเขียนถึงกัปตันอเมริกาภาคแรกได้ที่นี่ http://bbs.pramool.com/webboard/view.php3?katoo=C110583

ปล.2 อันนี้สปอยครับ สงสัยจริงๆ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่