สแกนดิเนเวีย กลุ่มประเทศในฝันของใครหลายๆคน แต่น้อยคนที่จะมีโอกาสได้ไปเยือน อาจจะเพราะไม่รู้ว่าแสกนมีดีอะไร หรืออาจจะเพราะด้วยค่าใช้จ่ายในประเทศแสกนที่แพงหูฉี่ ยิ่งในประเทศนอร์เวย์นี่ขึ้นชื่อเรื่องของแพงเลยครับ ค่าครองชีพเมือง Oslo, Norway แพงที่สุดในโลกเมื่อปี 2013 (แค่ค่าแมคโดนัลก็ตกชุดละ 600 - 700 บาท, โค้กกระป๋องละ 100 ต้นๆ ทำเอาจขกท. กินแทบไม่ลงเลยทีเดียว)
วันนี้ผมเลยมีคำแนะนำง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่ได้กระเป๋าหนักมาก แต่อยากตะลุยประเทศแสกนให้ สนุก มัน และคุ้ม ในช่วงซัมเมอร์ที่อากาศดีๆ
แถมประเทศ Estonia ประเทศในยุโรปเล็กๆที่ติดกับรัซเซียให้ด้วยครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
>>ข้อ 1. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบิน
เพราะตลอดการเดินทางโดยเครื่องบิน คุณแทบจะไม่ได้เห็นภูมิทัศน์อะไรเลยนอกจากตอนเครื่องขึ้น และลง
การเดินทางที่แนะนำคือ นั่งรถไฟครับ รถไฟบ้านเค้าทันสมัย สะดวกสบาย มีห้องอาหารในตัว จะเดินทางภายในประเทศ หรือข้ามประเทศก็ได้ (ถึงแม้บางที นั่งรถไฟจะแพงกว่านั่งเครื่องก็ตาม แต่คุ้มครับ)
นี่เป็นแผนที่การเดินทางของผมครับ สังเกตุได้ว่าแทบไม่มีขึ้นเครื่องเลย
>>ข้อ 2. สายรถไฟที่ไม่ควรพลาดคือ จาก Oslo ไป Bergen ในนอร์เวย์
ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสายรถไฟที่สวยที่สุดในโลก ถ้านั่งจาก Oslo จขกท. แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายของขบวนนะครับ วิวดีกว่านิดนึง แต่ถ้านั่งไป-กลับยิ่งดีเลยครับจะได้เห็นวิวทั้งสองฝั่ง สวยจริงๆ ตลอดการเดินทาง 6 ชม. จขกท. หลับไม่ลงเลยทีเดียว และถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อนก็ยังมีหิมะให้ได้ชมระหว่างทางอยู่บ่อยๆ
ภาพตัวอย่างที่ถ่ายมาจากรถไฟครับ ถ่ายยากใช้ได้เลยครับ เพราะรถไฟเร็วมาก
>>ข้อ 3. เตรียมขวดน้ำส่วนตัวใส่เป้ไปทุกที่
เนื่องจากราคาน้ำเปล่าที่นู้น ราคาสูงลิบ การเติมน้ำก๊อกจากสถานที่ทั่วไปเช่น ห้องน้ำสาธารณะ ไว้ดื่มจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
ป.ล. แต่อย่าดื่มน้ำจนเพลินนะครับ เพราะค่าเข้าห้องน้ำสาธรณะ โดยเฉพาะที่นอร์เวย์ ปาไปครั้งละ 10 โคลน หรือ 55 บาทไทย จขกท. โดนไปครั้งแรก ค่าฉี่ 55 บาท ช็อคไปเบาๆ
>>ข้อ 4. จขกท.ก็ยังยึดหลักที่ว่า "The best way to explore the city is to walk with your own feet"
เที่ยวในเมืองเดินเท้ากันเถอะครับ คนไทยเรามักติดนิดสัย ขี้เกียจเดิน นิดๆหน่อยก็จะนั่งรถ จขกท.คอนเฟิร์มเลยว่า ถ้าเราเดินเราจะเห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นอีกมากมาย
ตัวอย่างภาพที่ผม เดินดุ่มๆไปถ่ายมาครับ
เมืองเก่าอย่าง Gamla Stan ใน Stockholm เมืองหลวงของสวีเดน เค้าไม่อนุญาติให้ขับรถอยู่แล้ว เดินอย่างเดียว แต่จขกท. อยากแนะนำให้เดินไปที่เกาะ Kastellholmen เล็กๆข้างๆ เดินไกลนิดนึง แต่วิวระหว่างทางสวยมาก จะเห็น Gamla Stan โดยรวม สวยสุดๆเลย
>>ข้อ 5. แน่นอนว่ามาต่างถิ่น ก็ต้องลองอาหารท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด
เนื่องจาก taste เรื่องอาหารของคนไทย และ คนแสกน ต่างกันพอสมควร คุณอาจจะพบว่าบางมื้อ คุณกำลังเคี้ยวอาหารรสชาติประหลาดอยู่ก็เป็นได้ แต่ลองเถอะครับ เป็นประสบการณ์และสีสันของชีวิต (ผมลองมาตั้งแต่เนื้อปลาวาฬที่โคตรเหม็นสาบ จนไปถึงแตงโมปิ้งที่รสชาติโคตรตลก) ป.ล. บางเมนูก็อร่อยแบบ หาที่ไทยไม่ได้ก็มีนะครับจขกท. ฟินไปมากพอสมควร
ภาพอาหารถ่ายไว้เยอะมากจริงๆ นี่แค่ตัวอย่างนะครับ เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่ครับ 555
ส่วนตัวแล้ว จขกท. ฟินกับแซลมอน และ ล็อบเสตอร์ นอร์เวย์ที่สุดละครับ สด อร่อยมากกกก
>>ข้อ 6. มาม่าช่วยชีวิตคุณได้
เนื่องจากเรากินอาหาร local ดีๆไปแล้ว มื้อนึงเฉลี่ยตกคนละ 1000 บาท ถ้าจะให้กินสามมื้อสามพันต่อวัน (นี่แค่ค่ากินยังไม่รวมค่าเดินทาง) จขกท. กระเป๋าแฟ่บพอดี การเตรียมมาม่าไปจากไทยจึงเป็นทางออกที่ง่ายและดีที่สุดครับ ที่สำคัญคุณจะนึกถึงรสอาหารไทยแน่นอนเวลาอยู่ที่นู่น ฉะนั้นมาม่ารสต้มยำนี่ทำให้ฟินได้จริงๆ
เรายังสามารถไปหาซื้อไข่ และไส้กรอกราคาถูกๆได้ใน super market ทั่วไป มาใส่มาม่าก็ได้ครับ
>>ข้อ 8. ใช้ แอพมือถือ City Maps 2Go Pro ช่วยคุณท่องเที่ยว
แอพนี้มันช่วยให้เดินทางง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ยอมเสียเงินค่าแอพแค่ไม่กี่บาท ดีกว่าไปซื้อแผนที่กระดาษ ข้อดีของแอพนี้คือ มันสามารถระบุโลเคชั่นปัจจุบันของคุณได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน โดยที่ไม่ต้องต่อ wifi ! หลักการทำงานของมันคือ แค่คุณโหลด map ของเมืองที่คุณจะไปเที่ยวล่วงหน้าก่อนไปเที่ยวในที่ที่มี wifi แอพนี้ยังสามารถบอกทิศทาง จุดท่องเที่ยว และเรายังสามารถ mark สถานที่ต่างๆที่เราสนใจได้อีกด้วย
>>ข้อ 9. นอนโรงแรม Hostel
Hostel ต่างจาก Hotel คือ เป็นห้องนอนรวม และถูกกว่ามาก ส่วนใหญ่แล้วจะนอนห้องละไม่เกิน 6 คน เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แต่ สะอาดครับ เราอาจจะเสียความเป็นส่วนตัวนิดนึง แต่สนุกครับ ได้เจอนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติจากทั่วโลก พูดคุยแชร์ประสบการณ์ แบบที่ ห้องส่วนตัวที่โรงแรมให้ไม่ได้ครับ
>>ข้อ 10. เสื้อกันฝนก็สำคัญ
โดยเฉพาะคนที่อยากไปเที่ยวทางตะวันตกของนอร์เวย์ เช่นเมือง Bergen และ Stavanger ที่ว่ากันว่าในหนึ่งปี 360 วัน ฝนตกปาไป 260 กว่าวันแล้ว
คุณอาจจะเผื่อเวลาการท่องเที่ยวเมืองเหล่านี้ให้นานเป็นพิเศษหน่อย เช่นอาจจะอยู่อย่างน้อยซัก 3 วัน เพราะถ้าวันใดวันนึงฝนตก คุณยังมีอีก วันหรือสองวันที่หวังว่าฝนจะไม่ตก
และนี่คือสิ่งที่ผมเจอตอนไปเที่ยว Preikestolen ซึ่งเป็น fjords ชื่อดังในนอร์เวย์ สวยมากก เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทริปนี้เลย
สิ่งที่คาดหวัง vs ความเป็นจริง
ความเป็นจริงก็คือ ฝนตกจนระยะการมองเห็นไม่เกิน 10 เมตร ภาพซ้ายคือขาขึ้นนะครับ ยังพอควักไอโฟนออกมาถ่ายรูปได้ แต่ขากลับ ลองนึกภาพทางเดินตรงนั้นเป็นน้ำตกนะครับ น้ำเยอะมาก จขกท.เศร้าใจ แต่ก็คิดว่ายังไงก็จะไปพิชิตเขาก้อนนี้ให้ได้อีกครั้งนึง
>>ข้อ 11. ขึ้นเขา Fløyen ที่ Bergen, Norway และกินไอติมบนยอดเขา
เขา Fløyen เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแหล่งหนึ่งในนอร์เวย์ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านตลอดทั้งปี
ขาขึ้นเขาสามารถนั่งรถ tram ไปได้ ส่วนขาลง จขกท. แนะนำให้เดินลงนะครับ ทางเดินผ่านป่าสน และบ้านคน สวยไปอีกแบบ
นี่คือไอติมที่ จขกท.ฟินสุดๆ ถึงแม้จะหนาว ตัวสั่นหงิกๆ แต่ด้วยรสชาติ ไอศกรีม แบบ soft cream ที่ข้นนมสุดๆ บวกกับวิวแล้ว หนาวแค่ไหนก็ยอมครับ
>>ข้อ 12. ในหน้าร้อน เสื้อหนาวเอาไปแต่น้อย
หลายคนพอพูดถึงประเทศ นอร์เวย์ สวีเดน หรือ ฟินแลนด์จะนึกถึงหิมะ และความหนาว เพราะประเทศอยู่ทางเหนือ แต่จริงๆแล้วหน้าร้อนนี่ 30 กว่าองศาได้เลยครับ แดดนี่คือแแรงมาก กลับมาไทยตัวดำเลยครับ ไปบอกใครว่าไปเที่ยวยุโรปมาคงไม่เชื่อ เสื้อกันหนาวที่เอาไปแทบจะไม่ได้ใช้เลยครับ เอาไปเผื่อแค่ตัว 2 ตัวพอครับ ตอนเย็นๆมึดๆอากาศจะเย็นๆ
>>ข้อ 13. ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาด Skagen, Denmark
Skagen เป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่เป็นที่นิยมทั้งของคนเดนมาร์กเอง และคนนอร์เวย์,สวีเดน
ชายหาดนี้เป็นสถานที่ ที่คนมารวมตัวกันเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน พออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็จะมีเสียงปรบมือดังตลอดชายหาด เป็นภาพที่น่าประทับใจที่ควรไปเยือนด้วยตัวเองซักครั้งหนึ่ง
>>ข้อ 14. เช่าจักรยานปั่น เที่ยว Skagen
อย่างที่กล่าวไป Skagen เป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่น่ารักมาก บ้านเรือนมีเอกลักษณ์คือ ทำมาจากซีเมนต์ และทาสีบ้านเป็นสีเหลืองทั้งเมือง (บ้านนอร์เวย์ส่วนใหญ่ทำจากไม้) การได้ปั่นจักรยานชมเมือง ก็เป็นความสุข สนุก ที่ทำได้ง่ายๆที่ Skagen
>>ข้อ 15. นั่งเรือสำราญข้ามทะเลบอลติก จากสวีเดน ไปฟินแลนด์
เรือขนาดใหญ่ที่มีโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตคาร สระว่ายน้ำ รวมไปถึงคาสิโน อยู่ในเรือ สามารถบรรจุคนได้หลายพันคน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด จขกท. แนะนำให้นั่งจาก Stockholm (Sweden) ไป Helsinki (Finland) หรือ จาก Stockholm (Sweden) ไป Tallin (Estonia) ก็ได้ โดยจะนอน 1 คืน แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือ ธรรมชาติที่เงียบสงบ ระหว่างทางเดินเรือ ทะเลนิ่ง แทบจะไม่มีคลื่น เรียบเหมือนแผ่นกระจก เป็นช่วงเวลาความสงบที่หาในเมืองไม่ได้จริงๆ
>>แถมข้อ 16. ออกนอกประเทศแสกน เที่ยวเมืองเก่า Tallin
Tallin เป็นเมืองหลวงของประเทศ Estonia ซึงเป็นประเทศที่อยู่ติดรัซเซีย จึงมีความน่าสนใจที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งสังเกตุง่ายสุดจากสถาปัตยกรรมของเมือง มองผ่านๆ Tallin ก็เป็นเหมือนเมืองหลวงทั่วไปที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตึกราบ้านช่องก็เป็นตึกสมัยใหม่ แต่ถ้าเพียงผ่านประตูเมือง Old Town เข้าไปปุ๊บ ก็เหมือนหลุดไปอยู่โลกโบราณ อาคารบ้านเรือนเป็นเหมือนปราสาท อาคารเก่าๆยังถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นับวันยิ่งมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา จขกท.เชื่อว่ายังมีคนไทยน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงามของเมืองนี้
หวังว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กันบ้างนะครับ
สามารถดูรูปภาพที่ผมถ่ายเพิ่มเติมได้ที่ Instagram: wm_photograph
15 tips เที่ยว สแกนดิเนเวีย ให้ สนุก มัน และ คุ้มสุดๆ
วันนี้ผมเลยมีคำแนะนำง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่ได้กระเป๋าหนักมาก แต่อยากตะลุยประเทศแสกนให้ สนุก มัน และคุ้ม ในช่วงซัมเมอร์ที่อากาศดีๆ
แถมประเทศ Estonia ประเทศในยุโรปเล็กๆที่ติดกับรัซเซียให้ด้วยครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
>>ข้อ 1. หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบิน
เพราะตลอดการเดินทางโดยเครื่องบิน คุณแทบจะไม่ได้เห็นภูมิทัศน์อะไรเลยนอกจากตอนเครื่องขึ้น และลง
การเดินทางที่แนะนำคือ นั่งรถไฟครับ รถไฟบ้านเค้าทันสมัย สะดวกสบาย มีห้องอาหารในตัว จะเดินทางภายในประเทศ หรือข้ามประเทศก็ได้ (ถึงแม้บางที นั่งรถไฟจะแพงกว่านั่งเครื่องก็ตาม แต่คุ้มครับ)
นี่เป็นแผนที่การเดินทางของผมครับ สังเกตุได้ว่าแทบไม่มีขึ้นเครื่องเลย
>>ข้อ 2. สายรถไฟที่ไม่ควรพลาดคือ จาก Oslo ไป Bergen ในนอร์เวย์
ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสายรถไฟที่สวยที่สุดในโลก ถ้านั่งจาก Oslo จขกท. แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายของขบวนนะครับ วิวดีกว่านิดนึง แต่ถ้านั่งไป-กลับยิ่งดีเลยครับจะได้เห็นวิวทั้งสองฝั่ง สวยจริงๆ ตลอดการเดินทาง 6 ชม. จขกท. หลับไม่ลงเลยทีเดียว และถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อนก็ยังมีหิมะให้ได้ชมระหว่างทางอยู่บ่อยๆ
ภาพตัวอย่างที่ถ่ายมาจากรถไฟครับ ถ่ายยากใช้ได้เลยครับ เพราะรถไฟเร็วมาก
>>ข้อ 3. เตรียมขวดน้ำส่วนตัวใส่เป้ไปทุกที่
เนื่องจากราคาน้ำเปล่าที่นู้น ราคาสูงลิบ การเติมน้ำก๊อกจากสถานที่ทั่วไปเช่น ห้องน้ำสาธารณะ ไว้ดื่มจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
ป.ล. แต่อย่าดื่มน้ำจนเพลินนะครับ เพราะค่าเข้าห้องน้ำสาธรณะ โดยเฉพาะที่นอร์เวย์ ปาไปครั้งละ 10 โคลน หรือ 55 บาทไทย จขกท. โดนไปครั้งแรก ค่าฉี่ 55 บาท ช็อคไปเบาๆ
>>ข้อ 4. จขกท.ก็ยังยึดหลักที่ว่า "The best way to explore the city is to walk with your own feet"
เที่ยวในเมืองเดินเท้ากันเถอะครับ คนไทยเรามักติดนิดสัย ขี้เกียจเดิน นิดๆหน่อยก็จะนั่งรถ จขกท.คอนเฟิร์มเลยว่า ถ้าเราเดินเราจะเห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นอีกมากมาย
ตัวอย่างภาพที่ผม เดินดุ่มๆไปถ่ายมาครับ
เมืองเก่าอย่าง Gamla Stan ใน Stockholm เมืองหลวงของสวีเดน เค้าไม่อนุญาติให้ขับรถอยู่แล้ว เดินอย่างเดียว แต่จขกท. อยากแนะนำให้เดินไปที่เกาะ Kastellholmen เล็กๆข้างๆ เดินไกลนิดนึง แต่วิวระหว่างทางสวยมาก จะเห็น Gamla Stan โดยรวม สวยสุดๆเลย
>>ข้อ 5. แน่นอนว่ามาต่างถิ่น ก็ต้องลองอาหารท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด
เนื่องจาก taste เรื่องอาหารของคนไทย และ คนแสกน ต่างกันพอสมควร คุณอาจจะพบว่าบางมื้อ คุณกำลังเคี้ยวอาหารรสชาติประหลาดอยู่ก็เป็นได้ แต่ลองเถอะครับ เป็นประสบการณ์และสีสันของชีวิต (ผมลองมาตั้งแต่เนื้อปลาวาฬที่โคตรเหม็นสาบ จนไปถึงแตงโมปิ้งที่รสชาติโคตรตลก) ป.ล. บางเมนูก็อร่อยแบบ หาที่ไทยไม่ได้ก็มีนะครับจขกท. ฟินไปมากพอสมควร
ภาพอาหารถ่ายไว้เยอะมากจริงๆ นี่แค่ตัวอย่างนะครับ เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่ครับ 555
ส่วนตัวแล้ว จขกท. ฟินกับแซลมอน และ ล็อบเสตอร์ นอร์เวย์ที่สุดละครับ สด อร่อยมากกกก
>>ข้อ 6. มาม่าช่วยชีวิตคุณได้
เนื่องจากเรากินอาหาร local ดีๆไปแล้ว มื้อนึงเฉลี่ยตกคนละ 1000 บาท ถ้าจะให้กินสามมื้อสามพันต่อวัน (นี่แค่ค่ากินยังไม่รวมค่าเดินทาง) จขกท. กระเป๋าแฟ่บพอดี การเตรียมมาม่าไปจากไทยจึงเป็นทางออกที่ง่ายและดีที่สุดครับ ที่สำคัญคุณจะนึกถึงรสอาหารไทยแน่นอนเวลาอยู่ที่นู่น ฉะนั้นมาม่ารสต้มยำนี่ทำให้ฟินได้จริงๆ
เรายังสามารถไปหาซื้อไข่ และไส้กรอกราคาถูกๆได้ใน super market ทั่วไป มาใส่มาม่าก็ได้ครับ
>>ข้อ 8. ใช้ แอพมือถือ City Maps 2Go Pro ช่วยคุณท่องเที่ยว
แอพนี้มันช่วยให้เดินทางง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ยอมเสียเงินค่าแอพแค่ไม่กี่บาท ดีกว่าไปซื้อแผนที่กระดาษ ข้อดีของแอพนี้คือ มันสามารถระบุโลเคชั่นปัจจุบันของคุณได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน โดยที่ไม่ต้องต่อ wifi ! หลักการทำงานของมันคือ แค่คุณโหลด map ของเมืองที่คุณจะไปเที่ยวล่วงหน้าก่อนไปเที่ยวในที่ที่มี wifi แอพนี้ยังสามารถบอกทิศทาง จุดท่องเที่ยว และเรายังสามารถ mark สถานที่ต่างๆที่เราสนใจได้อีกด้วย
>>ข้อ 9. นอนโรงแรม Hostel
Hostel ต่างจาก Hotel คือ เป็นห้องนอนรวม และถูกกว่ามาก ส่วนใหญ่แล้วจะนอนห้องละไม่เกิน 6 คน เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แต่ สะอาดครับ เราอาจจะเสียความเป็นส่วนตัวนิดนึง แต่สนุกครับ ได้เจอนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติจากทั่วโลก พูดคุยแชร์ประสบการณ์ แบบที่ ห้องส่วนตัวที่โรงแรมให้ไม่ได้ครับ
>>ข้อ 10. เสื้อกันฝนก็สำคัญ
โดยเฉพาะคนที่อยากไปเที่ยวทางตะวันตกของนอร์เวย์ เช่นเมือง Bergen และ Stavanger ที่ว่ากันว่าในหนึ่งปี 360 วัน ฝนตกปาไป 260 กว่าวันแล้ว
คุณอาจจะเผื่อเวลาการท่องเที่ยวเมืองเหล่านี้ให้นานเป็นพิเศษหน่อย เช่นอาจจะอยู่อย่างน้อยซัก 3 วัน เพราะถ้าวันใดวันนึงฝนตก คุณยังมีอีก วันหรือสองวันที่หวังว่าฝนจะไม่ตก
และนี่คือสิ่งที่ผมเจอตอนไปเที่ยว Preikestolen ซึ่งเป็น fjords ชื่อดังในนอร์เวย์ สวยมากก เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทริปนี้เลย
สิ่งที่คาดหวัง vs ความเป็นจริง
ความเป็นจริงก็คือ ฝนตกจนระยะการมองเห็นไม่เกิน 10 เมตร ภาพซ้ายคือขาขึ้นนะครับ ยังพอควักไอโฟนออกมาถ่ายรูปได้ แต่ขากลับ ลองนึกภาพทางเดินตรงนั้นเป็นน้ำตกนะครับ น้ำเยอะมาก จขกท.เศร้าใจ แต่ก็คิดว่ายังไงก็จะไปพิชิตเขาก้อนนี้ให้ได้อีกครั้งนึง
>>ข้อ 11. ขึ้นเขา Fløyen ที่ Bergen, Norway และกินไอติมบนยอดเขา
เขา Fløyen เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแหล่งหนึ่งในนอร์เวย์ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านตลอดทั้งปี
ขาขึ้นเขาสามารถนั่งรถ tram ไปได้ ส่วนขาลง จขกท. แนะนำให้เดินลงนะครับ ทางเดินผ่านป่าสน และบ้านคน สวยไปอีกแบบ
นี่คือไอติมที่ จขกท.ฟินสุดๆ ถึงแม้จะหนาว ตัวสั่นหงิกๆ แต่ด้วยรสชาติ ไอศกรีม แบบ soft cream ที่ข้นนมสุดๆ บวกกับวิวแล้ว หนาวแค่ไหนก็ยอมครับ
>>ข้อ 12. ในหน้าร้อน เสื้อหนาวเอาไปแต่น้อย
หลายคนพอพูดถึงประเทศ นอร์เวย์ สวีเดน หรือ ฟินแลนด์จะนึกถึงหิมะ และความหนาว เพราะประเทศอยู่ทางเหนือ แต่จริงๆแล้วหน้าร้อนนี่ 30 กว่าองศาได้เลยครับ แดดนี่คือแแรงมาก กลับมาไทยตัวดำเลยครับ ไปบอกใครว่าไปเที่ยวยุโรปมาคงไม่เชื่อ เสื้อกันหนาวที่เอาไปแทบจะไม่ได้ใช้เลยครับ เอาไปเผื่อแค่ตัว 2 ตัวพอครับ ตอนเย็นๆมึดๆอากาศจะเย็นๆ
>>ข้อ 13. ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาด Skagen, Denmark
Skagen เป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่เป็นที่นิยมทั้งของคนเดนมาร์กเอง และคนนอร์เวย์,สวีเดน
ชายหาดนี้เป็นสถานที่ ที่คนมารวมตัวกันเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน พออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็จะมีเสียงปรบมือดังตลอดชายหาด เป็นภาพที่น่าประทับใจที่ควรไปเยือนด้วยตัวเองซักครั้งหนึ่ง
>>ข้อ 14. เช่าจักรยานปั่น เที่ยว Skagen
อย่างที่กล่าวไป Skagen เป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ที่น่ารักมาก บ้านเรือนมีเอกลักษณ์คือ ทำมาจากซีเมนต์ และทาสีบ้านเป็นสีเหลืองทั้งเมือง (บ้านนอร์เวย์ส่วนใหญ่ทำจากไม้) การได้ปั่นจักรยานชมเมือง ก็เป็นความสุข สนุก ที่ทำได้ง่ายๆที่ Skagen
>>ข้อ 15. นั่งเรือสำราญข้ามทะเลบอลติก จากสวีเดน ไปฟินแลนด์
เรือขนาดใหญ่ที่มีโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตคาร สระว่ายน้ำ รวมไปถึงคาสิโน อยู่ในเรือ สามารถบรรจุคนได้หลายพันคน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด จขกท. แนะนำให้นั่งจาก Stockholm (Sweden) ไป Helsinki (Finland) หรือ จาก Stockholm (Sweden) ไป Tallin (Estonia) ก็ได้ โดยจะนอน 1 คืน แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือ ธรรมชาติที่เงียบสงบ ระหว่างทางเดินเรือ ทะเลนิ่ง แทบจะไม่มีคลื่น เรียบเหมือนแผ่นกระจก เป็นช่วงเวลาความสงบที่หาในเมืองไม่ได้จริงๆ
>>แถมข้อ 16. ออกนอกประเทศแสกน เที่ยวเมืองเก่า Tallin
Tallin เป็นเมืองหลวงของประเทศ Estonia ซึงเป็นประเทศที่อยู่ติดรัซเซีย จึงมีความน่าสนใจที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งสังเกตุง่ายสุดจากสถาปัตยกรรมของเมือง มองผ่านๆ Tallin ก็เป็นเหมือนเมืองหลวงทั่วไปที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตึกราบ้านช่องก็เป็นตึกสมัยใหม่ แต่ถ้าเพียงผ่านประตูเมือง Old Town เข้าไปปุ๊บ ก็เหมือนหลุดไปอยู่โลกโบราณ อาคารบ้านเรือนเป็นเหมือนปราสาท อาคารเก่าๆยังถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นับวันยิ่งมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา จขกท.เชื่อว่ายังมีคนไทยน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงามของเมืองนี้
หวังว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กันบ้างนะครับ
สามารถดูรูปภาพที่ผมถ่ายเพิ่มเติมได้ที่ Instagram: wm_photograph