ผมก็รู้มาแบบคร่าวๆ ไม่ Advance

คือระบบ DVB-T เป็นระบบเก่า ระบบทีวีดิจิตอลที่ได้เริ่มใช้จริงอย่างเป็นทางการระบบแรกในปี 1998 ที่อังกฤษ (ATSC อเมริกา ปีเดียวกันแต่มาช้ากว่า, ISDB-T ญี่ปุ่น ปี2003)

โดยรวมๆระบบนี้มีบิทเรตรวมต่อ 1ช่องสัญญาณ (อ้างอิง 8MHz) ได้มากสุดตามค่าเทคนิคประมาณ 30Mbps แต่การใช้จริง ณ ปัจจุบันมากที่สุดที่ 25Mbps
ระบบ DVB-T เมื่อก่อน Fix ให้ใช้กับเฉพาะระบบบีบอัดภาพแบบ MPEG2 เท่านั้น (เสียงได้ทั้งแบบ Dolby Digital, AAC, MPEG Audio) แต่ต่อมาก็มีการปรับมาใช้กับ MPEG4, H264 ด้วยเช่นกัน
เนื่องด้วยระบบมันไม่ค่อยแทรกอะไรได้มาก เช่น ระบบทีวีมือถือ ไม่สามารถใช้ร่วมกับระบบ DVB-T ตรงๆได้ ต้องไปใช้ DVB-H หรือ DMB แยกออกไป, ระบบป้องกัน Noise ที่ยังไม่ดีพอ และปัญหาฝนตกพายุเข้าแล้วสัญญาณหาย

* แต่ถ้าเทียบกัน ยังดีกว่า ATSC ที่อเมริกาคิดค้น ซึ่งระบบบังคับการตั้งค่าไม่กี่แบบ ภาพต้องเป็น MPEG2 เท่านั้น, เสียงต้อง Dolby Digital เท่านั้น, มีบิทเรตรวม (6MHz) แค่ 19.39Mbps, กากสุดในทั้ง3ระบบหลักของโลกในการรับสัญญาณเมื่อมีลมแรง หรือมีการเคลื่อนที่ (ต้องใช้มาตรฐาน V.2 ซึ่งมีการยอมรับนานแล้ว แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบ) *

เพื่อแก้ปัญหาต่างๆเลยเป็นการมาของ DVB-T2 ข้อดีเลยคืออัดบิทเรตรวม (8MHz) มากถึง 45-50Mbps โดยมีการใช้งานจริงมากที่สุดตอนนี้ที่ 40Mbps (BBC Mux B), รองรับการทำระบบทีวีมือถือผ่าน DVB-T2 ทันที (แค่อัพเกรดอุปกรณ์เป็นเวอร์ชั่น 1.3.1 ไม่ต้องไปตั้งระบบใหม่), รองรับการบีบอัดภาพรุ่นล่าสุดอย่าง H264 และ HEVC, รองรับภาพ 4K (ระบบ DVB-T, ATSC ที่ใช้กันปัจจุบันได้แค่ 1080P), มีระบบ Error Correction/Noise Protection ที่ดีกว่าเดิม และการรับสัญญาณตอนฝนตกพายุเข้าทำได้ดีกว่าเดิม (วันนี้คาดว่าพายุฤดูร้อนเข้า จะลองซิว่าเจ๋งแค่ไหน)

* ที่ BBC ลากไป 40Mbps ได้ เพราะตั้งเป็น 256QAM ซอยช่องสัญญาณข้างในถี่มาก ทำให้การรับสัญญาณต้องเก็บชิ้นส่วนสัญญาณเยอะ เสาเล็กหรือเสาในบ้านจะรับได้ยาก (ต้องเสาก้างปลา) และสัญญาณจะเสียง่ายเมื่อพายุมาหรือมีการรบกวน ของไทยเราตั้งเป็น 64QAM ซึ่งใส่บิทเรตรวมได้ใกล้เคียงกับค่าสุดของ DVB-T เดิม (23-26Mbps) และยังรับสัญญาณด้วยเสาในบ้านได้ มีการป้องกันที่โอเค ถือเป็นค่าทั่วไปที่ยอมรับกัน *