สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
จขกท. อารมณ์มาเต็มมาก ผมจึงไม่แน่ใจว่าหากผมอธิบายไปแล้ว จขกท.จะยอมรับแนวคิดได้บ้างหรือไม่นะครับ
ก่อนอื่น ขอเรียนว่าผมเคยผ่านมาแล้วทั้งหมด ทุกอย่างที่น่าเกลียดแบบที่ จขกท.กล่าวมาล่ะครับ
ขอเรียนว่า ลักษณะการฝึกแบบนั้น ทำเพื่อ 2 อย่างคือ
1. ความอดทนต่อสิ่งกดดันเมื่อต้องเผชิญ
2. เพื่อความสามัคคีของหมู่คณะ
ความอดทนต่อสิ่งกดดัน หมายถึงว่าหากต้องปฏิบัติงานจริง ต้องรบจริง ความกดดันต่าง ๆ จะมีมาก
และจะไม่มีการแก้ตัว พลาดแล้วอาจหมายถึงชีวิตได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความกดดันระหว่างการฝึกให้มาก
ทั้งนี้ การฝึกก็จะมีวิชาการควบคู่ไปด้วยครับ แต่ก็จะมีสิ่งนี้แฝงมาด้วย .... หากการฝึกไม่มีความกดดัน
การสร้างคนที่จิตใจแข็งแกร่งก็จะยากครับ เพราะมันก็เหมือนกับเรียนวิชาการกลางแดดเท่านั้น
ไม่มีอะไรที่จะไปหลอมจิตใจได้เลย
ความสามัคคีของหมู่คณะ อันนี้ต้องบอกว่าหากไม่เจอกับตัวเองจะไม่ทราบครับ
หากพวกเราเหนื่อยมาด้วยกัน โดนมาด้วยกัน จะเกิดความรู้สึกที่รักพวกพ้อง รักหมู่คณะ
ซึ่งสิ่งนี้คล้ายกับทฤษฏี "การละลายพฤติกรรม" ที่ใช้ในหลายองค์กรนั่นเอง
แต่ของทหารจะเข้มข้นกว่า เพราะในการปฏิบัติงานจริงนั้นต้องการความรัก สามัคคี ที่เข้มข้นกว่าทั่วไป
แต่ในกรณีสุดท้าย เรื่องความอุบาทว์ พิเรณ นั้น ผมก็เห็นด้วยกับ จขกท.นะ
อันนี้เป็นกรณีที่นอกเหนือเกมส์ เป็นเรื่องของครูฝึกที่บ้าอำนาจ บ้าพลัง
จึงสั่งอะไร ๆ ไปอย่างเกินขอบเขตครับ ซึ่งเรื่องแบบนี้พอหลุดออกไปแล้ว ทางกองทัพก็สืบสวนทุกครั้งไป
ผมว่ากรณีนี้แหละ ที่ จขกท.ติดใจสงสัย ซึ่งเรื่องนี้มันแก้ยากครับ หน่วยทหาร 100 หน่วย ต้องมีแบบนี้
หลุดออกมาซัก 20 หน่วยแหละครับ หากผู้บังคับบัญชาจับได้ ครูฝึกก็รับผิดชอบไป
อย่างไรก็ตาม ผมขอยืนยันในข้อ 1. และ 2. ครับ
ว่าวิธีการฝึกของนักเรียนทหาร และนักเรียนหลักสูตรพิเศษทั่วไป มันต้องมีอย่างนั้นจริง ๆ
มิเช่นนั้น จะกลายเป็นพลเรือนที่เรียนวิชาการกลางแดด ให้ตัวมันดำเล่น ๆ ซะอย่างงั้น
แต่ไม่ได้ความอดทน ไม่ได้กำลังใจ ไม่ได้ความจดจำ ไม่ได้ความสามัคคี และที่สำคัญ ไม่ได้ feel ของทหารเลยครับ
และที่ จขกท.กล่าวว่า .....
" ผู้ชายชนชั้นบนๆ อยู่ในสังคม ระดับกลาง - ถึงสูงไม่เลือกที่จะมาเป็นทหารกันก็เพราะแบบนี้
คนในชนชั้นพวกนี้มีใครบ้างอยากเป็นทหาร เขาถูกเลี้ยงมาแบบสุขสบาย มีการศึกษาที่ดี "
ผมก็ขอตอบว่า ท่านเหล่านั้นมีความเคยชินในชีวิตพลเรือน ความสุขสบาย
จึงไม่อยากลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากครับ เป็นที่เข้าใจได้
พวกเค้าติดที่กฏหมายเท่านั้นแหละ หากไม่มีการ "บังคับ" เกณฑ์ทหาร
ท่านเหล่านั้นก็จะหมดกังวลไปทันที ....
แต่ ... ชายไทยท่านอื่น ๆ ที่อยากเป็นทหารยังมีอีกมาก อาจไม่มากเท่าใด
แต่ก็ยังมีครับ ไม่งั้นการสมัครโรงเรียนเตรียมทหารคงไม่อัตราส่วนมากขนาดนี้
สำหรับผมแล้ว การเกณฑ์ทหารเป็นนโยบาย scale ใหญ่เกินไปสำหรับผมที่จะออกความเห็นได้
จึงขอออกความเห็น และ อธิบายในฐานะทหารคนหนึ่งเพียงเท่านี้ครับ
ก่อนอื่น ขอเรียนว่าผมเคยผ่านมาแล้วทั้งหมด ทุกอย่างที่น่าเกลียดแบบที่ จขกท.กล่าวมาล่ะครับ
ขอเรียนว่า ลักษณะการฝึกแบบนั้น ทำเพื่อ 2 อย่างคือ
1. ความอดทนต่อสิ่งกดดันเมื่อต้องเผชิญ
2. เพื่อความสามัคคีของหมู่คณะ
ความอดทนต่อสิ่งกดดัน หมายถึงว่าหากต้องปฏิบัติงานจริง ต้องรบจริง ความกดดันต่าง ๆ จะมีมาก
และจะไม่มีการแก้ตัว พลาดแล้วอาจหมายถึงชีวิตได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความกดดันระหว่างการฝึกให้มาก
ทั้งนี้ การฝึกก็จะมีวิชาการควบคู่ไปด้วยครับ แต่ก็จะมีสิ่งนี้แฝงมาด้วย .... หากการฝึกไม่มีความกดดัน
การสร้างคนที่จิตใจแข็งแกร่งก็จะยากครับ เพราะมันก็เหมือนกับเรียนวิชาการกลางแดดเท่านั้น
ไม่มีอะไรที่จะไปหลอมจิตใจได้เลย
ความสามัคคีของหมู่คณะ อันนี้ต้องบอกว่าหากไม่เจอกับตัวเองจะไม่ทราบครับ
หากพวกเราเหนื่อยมาด้วยกัน โดนมาด้วยกัน จะเกิดความรู้สึกที่รักพวกพ้อง รักหมู่คณะ
ซึ่งสิ่งนี้คล้ายกับทฤษฏี "การละลายพฤติกรรม" ที่ใช้ในหลายองค์กรนั่นเอง
แต่ของทหารจะเข้มข้นกว่า เพราะในการปฏิบัติงานจริงนั้นต้องการความรัก สามัคคี ที่เข้มข้นกว่าทั่วไป
แต่ในกรณีสุดท้าย เรื่องความอุบาทว์ พิเรณ นั้น ผมก็เห็นด้วยกับ จขกท.นะ
อันนี้เป็นกรณีที่นอกเหนือเกมส์ เป็นเรื่องของครูฝึกที่บ้าอำนาจ บ้าพลัง
จึงสั่งอะไร ๆ ไปอย่างเกินขอบเขตครับ ซึ่งเรื่องแบบนี้พอหลุดออกไปแล้ว ทางกองทัพก็สืบสวนทุกครั้งไป
ผมว่ากรณีนี้แหละ ที่ จขกท.ติดใจสงสัย ซึ่งเรื่องนี้มันแก้ยากครับ หน่วยทหาร 100 หน่วย ต้องมีแบบนี้
หลุดออกมาซัก 20 หน่วยแหละครับ หากผู้บังคับบัญชาจับได้ ครูฝึกก็รับผิดชอบไป
อย่างไรก็ตาม ผมขอยืนยันในข้อ 1. และ 2. ครับ
ว่าวิธีการฝึกของนักเรียนทหาร และนักเรียนหลักสูตรพิเศษทั่วไป มันต้องมีอย่างนั้นจริง ๆ
มิเช่นนั้น จะกลายเป็นพลเรือนที่เรียนวิชาการกลางแดด ให้ตัวมันดำเล่น ๆ ซะอย่างงั้น
แต่ไม่ได้ความอดทน ไม่ได้กำลังใจ ไม่ได้ความจดจำ ไม่ได้ความสามัคคี และที่สำคัญ ไม่ได้ feel ของทหารเลยครับ
และที่ จขกท.กล่าวว่า .....
" ผู้ชายชนชั้นบนๆ อยู่ในสังคม ระดับกลาง - ถึงสูงไม่เลือกที่จะมาเป็นทหารกันก็เพราะแบบนี้
คนในชนชั้นพวกนี้มีใครบ้างอยากเป็นทหาร เขาถูกเลี้ยงมาแบบสุขสบาย มีการศึกษาที่ดี "
ผมก็ขอตอบว่า ท่านเหล่านั้นมีความเคยชินในชีวิตพลเรือน ความสุขสบาย
จึงไม่อยากลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากครับ เป็นที่เข้าใจได้
พวกเค้าติดที่กฏหมายเท่านั้นแหละ หากไม่มีการ "บังคับ" เกณฑ์ทหาร
ท่านเหล่านั้นก็จะหมดกังวลไปทันที ....
แต่ ... ชายไทยท่านอื่น ๆ ที่อยากเป็นทหารยังมีอีกมาก อาจไม่มากเท่าใด
แต่ก็ยังมีครับ ไม่งั้นการสมัครโรงเรียนเตรียมทหารคงไม่อัตราส่วนมากขนาดนี้
สำหรับผมแล้ว การเกณฑ์ทหารเป็นนโยบาย scale ใหญ่เกินไปสำหรับผมที่จะออกความเห็นได้
จึงขอออกความเห็น และ อธิบายในฐานะทหารคนหนึ่งเพียงเท่านี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมการฝึกทหารของไทยถึงต้องมีการฝึกที่แบบอุบาทว์ ทุเรศ น่ารังเกียจด้วย
ปล.พูดดักไว้ก่อน ใครจะมาด่าผมว่าไม่เป็นชายไทย กลัวการเกณฑ์ทหาร ตอบตรงๆเออผมไม่อยากเป็น ผมไม่อยากไปอยู่ในสังคมหรือ
สภาพแวดล้อมตากแดด ตรากตรำแบบนั้น ผมอยู่ในสังคมอีกระดับที่ไม่มีใครสนใจอยากจะเป็นทหาร และผมก็เลือกวิธีการหนีทหารแบบถูกกฎหมายแล้วคือเรียน รด. (ใครจะมาเถียงว่าเรียน รด เป็นทหารเหมือนกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่เหมือนกันรู้กันๆอยู่)