อัลกุรอานห้ามฆ่าคนบริสุทธิ์ - แต่ไม่ได้ห้ามฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา

อย่างพึ่งตกใจผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง

คัมภีร์ของศาสนาอิสลามคืออัลกุรอาน
งานวิชาการของมนุษย์ที่พยายามรวบรวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านศาสดานั้นเรียกว่าฮะดิษ

"นักฮะดิษนิยม"คือ กลุ่มคนที่บังคับให้มุสลิมยึดถือฮะดิษที่กลุ่มตัวเองคัดสรรค์นั้นเป็นหลักการของอิสลาม
อ้างว่า ฮะดิษเท่าเทียมหรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งเดียวกับอัลกุรอาน
ทั้งๆที่การอ้างงานวิชาการดังกล่าวนั้นไม่ได้รับอำนาจใดๆจากคัมภีร์ต้นทางวคืออัลกุรอานเลย
และ บังคับให้มุสลิมเชื่อทุกอย่าง โดยไม่อนุญาติ ให้มุสลิมเลือก
ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี สอดคล้องกับอัลกุรอาน อะไรคือสิ่งที่ไม่ดี  แต่เป็นการเหมาแพ๊กกันไปว่า
ถ้าจะละหมาดตามงานวิชาการนี้ ก็ต้องยอมรับการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา และ ปาหิน

ซึ่งในโลกนี้นั้น ไม่ใช่มุสลิมทุกคนที่เป็ฯนักฮะดิษนิยม
และ ในนักฮะดิษนิยมนั้นก็แตกออกเป็นหลายสายแล้วแต่จะเลือกนิยมฮะดิษแหล่งใด จนก่อเกิดเป็นนิกาย

ในแง่มุมบางส่วนของสังคมมุสลิมการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ของนักฮะดิษนิยม
ดังประโยคนี้

"...  คนเปลี่ยนศาสนาถ้าเขาทำแบบอย่าง หรือชักชวนเลิกนับถือศาสนา การทำให้คนออกจากศาสนาอิสลาม
           ถือว่าสำคัญมาก เราไม่ต้องการดังกล่าว จึงกำหนดโทษประหาร ..  "
ฮุไซนี :กระทู้ 31842773 ความเห็น 72-1

อีกทั้งการฆ่านั้น นักฮะดิษนิยมยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นขบถหรือ บ่อนทำลายแผ่นดิน
แค่หมดศรัทธาในอิสลาม ก็ฆ่าได้แล้ว

"สงครามหรือไม่สงครามไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขนะครับ ถือว่ามีเหตุจากการไม่ศรัทธาก็น่าพอเพียงนะครับ"
ฮุไซนี :กระทู้ 31826083 ความเห็นที่ 16


นักนิยมฮะดิษนั้น จะยึดถือในระบบปราชญ์ หรือผู้รุ้อย่างมาก โดยอ้างว่าผู้รุ้ในสถาบันของตัวเองนั้น
คือผู้รุ้แจ้งตามอัลกุรอาน และอัลกุรอานให้ตามผู้รุ้ แตจากการสืบสาวส่วนใหญ่นั้น
อายะห์ที่กยกมา ไม่ได้ขยายความหรือยืนยันว่าหมายถึง กลุ่มดังกล่าว หรือ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่อย่างใด
เมื่อไม่สามารถสืบสาวได้ก็มีการพยายามยันยันว่าตัวข้านี่แหละผู้รุ้ เกิดความขัดแย้งมากมายในอิสลาม
แตกนิกาย แตกแยกแม้แต่ในระดับสังคมย่อยของมุสลิมเช่นระหว่าง มัสยิด

นอกจากนี้ นักฮะดิษนิยมยังบังคับว่า มุสลิมนั้นคือผู้ปฎิบัติตามงานวิชาการที่ถูกคัดสรรค์ของปราชญ์
และทำความเข้าใจอัลกุรอาน ได้จากการขยายความและอธิบายของปราชญ์เท่านั้น ไม่เช่นนั้น ถือว่าหลุดพ้นจากศาสนาอิสลาม
ซึ่งปราชญืเหล่นี้เองก็ได้สร้างทางออกให้กับผู้ไม่เชื่องานวิชาการ คือการตกศาสนาและประหาร

เป็นระบบเผด็จการวิชาการเบ็ดเสร็จที่อ้าง ผลงานมนุษย์ว่าเป็นของพระเจ้า และ ฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย
ในขณะที่ ผู้รุ้เหล่านั้นก็สืบสานอำนาจ ในฐานะปราชญ์ระดับสูงหรือ สายเลือดกษัตริย์เหนือแผ่นดินดังกล่าว


อิสลามนั้นไม่มีนักบวช และ พระเจ้าสั่งให้มนุษย์นั้นอ่านคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรง
แต่นักฮะดิษนิยมพยายาม บังคับใหมุสลิมหลีกหนี การทำความเข้าใจอัลกุรอานด้วยตัวเอง ซึ่งขัดกับวจนะ
และ ผูกขาดความเข้าใจในแง่มุมของศาสนา
ให้เหลือเพียงเหลี่ยมเดียว  การแปลของนักวิชาการนั้น บ้างก็ครบถ้วน บ้างก็มีปัญหา
เช่น พบมีการแปล ว่า พระเจ้าทรงรุ้แม้แต่อยู่ในทรวงอก ว่าคือ การมีเซ็กกลางแจ้งและ สิ่งนี้ ถูกรวมเข้ามาในระบบวิชาการ
และจัดลำดับเป็นความหน้าเชื่อถือระดับสุง ยังไม่นับรวมเรื่องเล่าอื่นๆที่สร้างความมัวมองให้ท่านศาสดา
ไม่ว่าจะเป็นการเล่าถึง การปรึกษาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และหลั่งนอกกับทาสทั้งที่ตัวเองมีภรรยาแล้ว โดยมีท่านศาสดาอยู่ใกล้ๆและให้คำตอบเกี่ยวกับการหลั่งนอกว่าทำได้หรือไม่เป็นต้น
ซึ่งงานเหล่านี้ ล้วนอยู่ในฮะดิษ และ ไม่มีในอัลกุรอานทั้งสิ้น


ในแง่การพิสูจน์หลักฐานของนักฮะดิษนิยมนั้น
สิ่งที่มักกระทำเป็นหลักคือ
(1)การหยิบอัลกุรอานที่ไม่เกี่ยวข้อง มาเพื่ออธิบายฮะดิษว่าถูกต้องอย่างไร
(2)และเอาฮะดิษจากสถาบันเดียวกันนั้นมาสนับสนุนฮะดิษตัวเองซ้ำอีกครั้ง
เช่นกรณี การฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ได้มีการพยายามยกอายะห์สงครามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
มายืนยันว่า นี่คือการอนุญาติที่ให้ฆ่าคนที่เปลี่ยนศาสนา และยกฮะดิษจากแหล่งเดียวกันมาอธิบายซ้ำๆเป็นต้น
(3)แล้วจบด้วยการยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้รุ้  คนที่ไม่รุ้ไม่มีสิทธิแสดงความเห็นแม้ความเห็นนั้นจะเป็นความเห็นที่เรียบง่าย
เป็นภาษาไทยที่เข้าใจตรงกันก็ตาม


แต่นักฮะดิษนิยมที่กระทำสิ่งเหล่านี้มักจะกระทำเป็นหลงลืมการสั่งใช้หลายๆประการที่อยู่ในอัลกุรอาน
เช่น

"..ไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนา.. "  อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 256

หรือ การไม่อนุญาติให้ฆ่าคนบริสุทธิ์

{5:32}...ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล....

แต่ในทางกลับกันนักฮะดิษนิยมกลับใช้คำอ้างที่ คัดค้านกับสภาพนักวิชาการ-ผู้รุ้ที่ฝักฝ่ายตัวเองอย่างมากคือการอ้างว่า
อัลกุรอานไม่ได้ห้ามฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ดังนั้นฆ่าได้? เป็นต้น

ราวกับกล่าวว่า อิสลามห้ามกินหมูแต่ไม่ได้ห้ามกินน้ำซุบกระดูกหมู - (คำเปรียบเทียบของคุณแมทท์)

ก่อนที่จะไปต่อคือ คำถามพื้นฐาน
อะไรคือคุณธรรมของการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา
ทั้งผู้ที่เกิดมาในครอบครัวมุสลิม หรือ ผู้ที่เข้ามาแล้วอยากออกจากการเป็นมุสลิม
การฆ่าคน เหล่านี้ให้อะไรกับโลกใบนี้บ้าง?
นี่คือคำถามในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์

และ คำถามในแง่มุมศาสนาคือ
พระเจ้าย้ำว่าไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนา คุณฆ่าเค้าเพราะเค้า ไม่อยากเป็นมุสลิมได้อย่างไร
พระเจ้าไม่อนุญาติให้ฆ่า คนบริสุทธิ์ นอกจากการลงโทษฆาตกร หรือ ผู้ที่บ่อนทำลายในแผ่นดิน
คนบริสุทธิที่เปลี่ยนศาสนาอยู่บ้าน และไม่ได้เป็นฆาตกร
คุณเอาอำนาจอะไรไปฆ่าเค้า
นั่นคือคำถามที่นักนิยมฮะดิษ ต้องตอบ

สุดท้ายการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดานั้นเป็นเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ
และ มุสลิมควรนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นอุทาหรณืไม่ว่าจะสำหรับเพื่อนต่างศาสนิก
หรือผู้ที่เสียศรัทธาในอิสลามเฉกเช่นเดียวกัน เพราะแท้จริงแล้วเค้าเหล่านี้ไม่ได้เสียศรัทธาในศาสนา
แต่อาจเกิดจากการเสียศรัทธาในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นย่อมเป็นไปได้
ผมขอจบด้วยอัลกุรอานอายะห์นี้ครับ

"จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้า โดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า"
ซูเราะฮ์ อัลนะห์ โองการ 125





อ้างอิง
ฮะดิษเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับทาส [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฮะดิษเกี่ยวกับการบรรยายอัลกุรอานว่าอนุญาติให้มีเซ็กกลางแจ้ง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่