อย่างพึ่งตกใจผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง
คัมภีร์ของศาสนาอิสลามคืออัลกุรอาน
งานวิชาการของมนุษย์ที่พยายามรวบรวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านศาสดานั้นเรียกว่าฮะดิษ
"นักฮะดิษนิยม"คือ กลุ่มคนที่บังคับให้มุสลิมยึดถือฮะดิษที่กลุ่มตัวเองคัดสรรค์นั้นเป็นหลักการของอิสลาม
อ้างว่า ฮะดิษเท่าเทียมหรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งเดียวกับอัลกุรอาน
ทั้งๆที่การอ้างงานวิชาการดังกล่าวนั้นไม่ได้รับอำนาจใดๆจากคัมภีร์ต้นทางวคืออัลกุรอานเลย
และ บังคับให้มุสลิมเชื่อทุกอย่าง โดยไม่อนุญาติ ให้มุสลิมเลือก
ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี สอดคล้องกับอัลกุรอาน อะไรคือสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นการเหมาแพ๊กกันไปว่า
ถ้าจะละหมาดตามงานวิชาการนี้ ก็ต้องยอมรับการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา และ ปาหิน
ซึ่งในโลกนี้นั้น ไม่ใช่มุสลิมทุกคนที่เป็ฯนักฮะดิษนิยม
และ ในนักฮะดิษนิยมนั้นก็แตกออกเป็นหลายสายแล้วแต่จะเลือกนิยมฮะดิษแหล่งใด จนก่อเกิดเป็นนิกาย
ในแง่มุมบางส่วนของสังคมมุสลิมการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ของนักฮะดิษนิยม
ดังประโยคนี้
"... คนเปลี่ยนศาสนาถ้าเขาทำแบบอย่าง หรือชักชวนเลิกนับถือศาสนา การทำให้คนออกจากศาสนาอิสลาม
ถือว่าสำคัญมาก เราไม่ต้องการดังกล่าว จึงกำหนดโทษประหาร .. "
ฮุไซนี :กระทู้ 31842773 ความเห็น 72-1
อีกทั้งการฆ่านั้น นักฮะดิษนิยมยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นขบถหรือ บ่อนทำลายแผ่นดิน
แค่หมดศรัทธาในอิสลาม ก็ฆ่าได้แล้ว
"สงครามหรือไม่สงครามไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขนะครับ ถือว่ามีเหตุจากการไม่ศรัทธาก็น่าพอเพียงนะครับ"
ฮุไซนี :กระทู้ 31826083 ความเห็นที่ 16
นักนิยมฮะดิษนั้น จะยึดถือในระบบปราชญ์ หรือผู้รุ้อย่างมาก โดยอ้างว่าผู้รุ้ในสถาบันของตัวเองนั้น
คือผู้รุ้แจ้งตามอัลกุรอาน และอัลกุรอานให้ตามผู้รุ้ แตจากการสืบสาวส่วนใหญ่นั้น
อายะห์ที่กยกมา ไม่ได้ขยายความหรือยืนยันว่าหมายถึง กลุ่มดังกล่าว หรือ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่อย่างใด
เมื่อไม่สามารถสืบสาวได้ก็มีการพยายามยันยันว่าตัวข้านี่แหละผู้รุ้ เกิดความขัดแย้งมากมายในอิสลาม
แตกนิกาย แตกแยกแม้แต่ในระดับสังคมย่อยของมุสลิมเช่นระหว่าง มัสยิด
นอกจากนี้ นักฮะดิษนิยมยังบังคับว่า มุสลิมนั้นคือผู้ปฎิบัติตามงานวิชาการที่ถูกคัดสรรค์ของปราชญ์
และทำความเข้าใจอัลกุรอาน ได้จากการขยายความและอธิบายของปราชญ์เท่านั้น ไม่เช่นนั้น ถือว่าหลุดพ้นจากศาสนาอิสลาม
ซึ่งปราชญืเหล่นี้เองก็ได้สร้างทางออกให้กับผู้ไม่เชื่องานวิชาการ คือการตกศาสนาและประหาร
เป็นระบบเผด็จการวิชาการเบ็ดเสร็จที่อ้าง ผลงานมนุษย์ว่าเป็นของพระเจ้า และ ฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย
ในขณะที่ ผู้รุ้เหล่านั้นก็สืบสานอำนาจ ในฐานะปราชญ์ระดับสูงหรือ สายเลือดกษัตริย์เหนือแผ่นดินดังกล่าว
อิสลามนั้นไม่มีนักบวช และ พระเจ้าสั่งให้มนุษย์นั้นอ่านคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรง
แต่นักฮะดิษนิยมพยายาม บังคับใหมุสลิมหลีกหนี การทำความเข้าใจอัลกุรอานด้วยตัวเอง ซึ่งขัดกับวจนะ
และ ผูกขาดความเข้าใจในแง่มุมของศาสนา
ให้เหลือเพียงเหลี่ยมเดียว การแปลของนักวิชาการนั้น บ้างก็ครบถ้วน บ้างก็มีปัญหา
เช่น พบมีการแปล ว่า พระเจ้าทรงรุ้แม้แต่อยู่ในทรวงอก ว่าคือ การมีเซ็กกลางแจ้งและ สิ่งนี้ ถูกรวมเข้ามาในระบบวิชาการ
และจัดลำดับเป็นความหน้าเชื่อถือระดับสุง ยังไม่นับรวมเรื่องเล่าอื่นๆที่สร้างความมัวมองให้ท่านศาสดา
ไม่ว่าจะเป็นการเล่าถึง การปรึกษาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และหลั่งนอกกับทาสทั้งที่ตัวเองมีภรรยาแล้ว โดยมีท่านศาสดาอยู่ใกล้ๆและให้คำตอบเกี่ยวกับการหลั่งนอกว่าทำได้หรือไม่เป็นต้น
ซึ่งงานเหล่านี้ ล้วนอยู่ในฮะดิษ และ ไม่มีในอัลกุรอานทั้งสิ้น
ในแง่การพิสูจน์หลักฐานของนักฮะดิษนิยมนั้น
สิ่งที่มักกระทำเป็นหลักคือ
(1)การหยิบอัลกุรอานที่ไม่เกี่ยวข้อง มาเพื่ออธิบายฮะดิษว่าถูกต้องอย่างไร
(2)และเอาฮะดิษจากสถาบันเดียวกันนั้นมาสนับสนุนฮะดิษตัวเองซ้ำอีกครั้ง
เช่นกรณี การฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ได้มีการพยายามยกอายะห์สงครามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
มายืนยันว่า นี่คือการอนุญาติที่ให้ฆ่าคนที่เปลี่ยนศาสนา และยกฮะดิษจากแหล่งเดียวกันมาอธิบายซ้ำๆเป็นต้น
(3)แล้วจบด้วยการยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้รุ้ คนที่ไม่รุ้ไม่มีสิทธิแสดงความเห็นแม้ความเห็นนั้นจะเป็นความเห็นที่เรียบง่าย
เป็นภาษาไทยที่เข้าใจตรงกันก็ตาม
แต่นักฮะดิษนิยมที่กระทำสิ่งเหล่านี้มักจะกระทำเป็นหลงลืมการสั่งใช้หลายๆประการที่อยู่ในอัลกุรอาน
เช่น
"..ไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนา.. " อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 256
หรือ การไม่อนุญาติให้ฆ่าคนบริสุทธิ์
{5:32}...ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล....
แต่ในทางกลับกันนักฮะดิษนิยมกลับใช้คำอ้างที่ คัดค้านกับสภาพนักวิชาการ-ผู้รุ้ที่ฝักฝ่ายตัวเองอย่างมากคือการอ้างว่า
อัลกุรอานไม่ได้ห้ามฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ดังนั้นฆ่าได้? เป็นต้น
ราวกับกล่าวว่า อิสลามห้ามกินหมูแต่ไม่ได้ห้ามกินน้ำซุบกระดูกหมู - (คำเปรียบเทียบของคุณแมทท์)
ก่อนที่จะไปต่อคือ คำถามพื้นฐาน
อะไรคือคุณธรรมของการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา
ทั้งผู้ที่เกิดมาในครอบครัวมุสลิม หรือ ผู้ที่เข้ามาแล้วอยากออกจากการเป็นมุสลิม
การฆ่าคน เหล่านี้ให้อะไรกับโลกใบนี้บ้าง?
นี่คือคำถามในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์
และ คำถามในแง่มุมศาสนาคือ
พระเจ้าย้ำว่าไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนา คุณฆ่าเค้าเพราะเค้า ไม่อยากเป็นมุสลิมได้อย่างไร
พระเจ้าไม่อนุญาติให้ฆ่า คนบริสุทธิ์ นอกจากการลงโทษฆาตกร หรือ ผู้ที่บ่อนทำลายในแผ่นดิน
คนบริสุทธิที่เปลี่ยนศาสนาอยู่บ้าน และไม่ได้เป็นฆาตกร
คุณเอาอำนาจอะไรไปฆ่าเค้า
นั่นคือคำถามที่นักนิยมฮะดิษ ต้องตอบ
สุดท้ายการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดานั้นเป็นเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ
และ มุสลิมควรนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นอุทาหรณืไม่ว่าจะสำหรับเพื่อนต่างศาสนิก
หรือผู้ที่เสียศรัทธาในอิสลามเฉกเช่นเดียวกัน เพราะแท้จริงแล้วเค้าเหล่านี้ไม่ได้เสียศรัทธาในศาสนา
แต่อาจเกิดจากการเสียศรัทธาในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นย่อมเป็นไปได้
ผมขอจบด้วยอัลกุรอานอายะห์นี้ครับ
"จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้า โดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า"
ซูเราะฮ์ อัลนะห์ โองการ 125
อ้างอิง
ฮะดิษเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับทาส
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฮะดิษที่อ้างอิง เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับเชลยศึกด้วยการหลั่งนอก โดยอ้างถึงท่านศาสดาในฮะดิษ
"ซึ่งฮะดิษนี้ผู้รุ้บางท่านอ้างว่าเรื่องในฮะดิษไม่ได้เป็นการกระทำชำเราเชลย แต่เชลยเหล่านั้นสมยอม"
ผมไม่เคยเห็นโลกที่ เชลยถูกจับ แล้ว ยอมมีเพศสัมพันธ์โดยสมยอม
แต่ก็จำเป็นต้องรับๆฟังไป
Translation of Sahih Muslim: Book 008, Number 3371:
Abu Sirma said to Abu Sa'id al Khadri (Allah he pleased with him): O Abu Sa'id, did you hear Allah's Messenger (may peace be upon him) mentioning al-'azl? He said: Yes, and added: We went out with Allah's Messenger (may peace be upon him) on the expedition to the Bi'l-Mustaliq and took captive some "excellent Arab women"; and we desired them, for we were suffering from the absence of our wives, (but at the same time) we also desired ransom for them. So we decided to have sexual intercourse with them but by observing 'azl (Withdrawing the male sexual organ before emission of semen to avoid-conception). But we said: We are doing an act whereas Allah's Messenger is amongst us; why not ask him? So we asked Allah's Messenger (may peace be upon him), and he said: It does not matter if
คำแปลของ ฮะดิมุสลิม เล่ม 8 หมายเลข 3371:
Abu Sirma คุยกับ Abu Sa'id al Khadri โอ Abu Sa'id ท่านได้ยินคำของนบีถึงเรื่อง al-'azl รึเปล่า.
Abu Sa'id ตอบว่า ใช่ และเพิ่มเติมด้วยว่า เราไปกับ
คณะของนบีเดินทางไปสงครามที่ Bi'l-Mustaliq แล้ว
จับเชลยศึกสตรีอรับ ที่รูปร่างสุดยอด. พวกเราต้องการ
เธอเพื่อเยียวยาการห่างจากภรยาของพวกเรา ขณะ
เดียวกันเราก็ปราถนาค่าไถ่สำหรับตัวพวกเธอ ดังนั้น
เราจึงตัดสินใจ ร่วมเพศกับหญิงอรับเชยศึกเหล่านั้น
โดยใช้ ทำ แบบ azl (คือไม่ปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปภาย
ในตัวเพื่อป้องกันการตั้งครรณ์) แต่เรากล่าวว่า เราทำ
การชำเราเชลยศึกหญิงในขณะที่ท่านรอซูลอยู่ท่าม
กลางพวกเรา แล้วทำไมไม่ถามนบีเล่า? ดังนั้นเราจึง
ถามแล้วแล้วนบีก็กล่าวว่า "ไม่เป็นผลใดหากเจ้าไม่
ได้ทำ ดวงวิญญาณใดจะเกิดจนกระทั่งถึงวันแห่งการ
ตัดสินก็จะเกิด"
นี่คือผลงานของระบบสายรายงาน อีกผลงานหนึ่ง
ฮะดิษเกี่ยวกับการบรรยายอัลกุรอานว่าอนุญาติให้มีเซ็กกลางแจ้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ คุณรอเธอโสด
แค่ฮะดิษ ฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา
หรือ ปาหินใส่คนคบชู้ ซึ่งเป็นฮะดิษนอกอัลกุรอาน ก็น่าจะเป็นการย้ำแล้วว่า เป็นเรื่องไม่สมควรทำ แล้วครับ
หลักฐานฮะดิษผมแปะทิ้งไว้ตรงนี้
อัลกุรอาน
“พระองค์อัลลอฮ์คือจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องกลับไปพบ
พระองค์ผู้ทรงสิทธิเหนือ สรรพสิ่งทั้งปวง (11:4), จงตระหนัก
ไว้เถิดว่าการที่พวกเขาเหล่านั้น(ห่อหุ้มทรวงอกของพวกเขาเพื่อ)
ปกปิดความรู้สึกเคียดแค้นของความเป็นศัตรูไว่ในใจ, ถึงแม้ว่า,
เมื่อพวกเขาปกคลุมร่างกายด้วยเครื่งแต่งกายใดๆก็ตาม,พระองค์
อัลลอฮ์ทรงทราบดีถึงสิ่งที่พวกเขาซ่อนเร้น และสิ่งที่พวกเขาเปิด
เผย,เนื่องจากว่าพระองค์ทรงทราบถึงความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัว
ใจของพวกเขา (11:5), และไม่ว่าสัตว์ตัวใดที่เคลื่อนไหวอยู่
บนแผ่นดิน, เว้นแต่เครื่องยังชีพของมันซึ่งเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์,
และพระองค์ทรงรู้ดีถึงที่พำนัก และที่พักชั่วคราวของมัน ทุกๆสิ่ง
อยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง (11:6)
คำแปลด้วยฮะดิษ ของคนที่คุณเชื่อว่าเป็นผู้รู้
นายมูฮัมมัด บิน อับบัด บิน ญาอะฟัรฺไม่เข้าใจ จึงขอ ให้นาย
อิบนุ อับบาส. อธิบายให้เขา เข้าใจ
นาย อิบนุ อับบาส. ก็อธิบายว่า, มีบางคนเคย ปกปิดเมื่อ
เวลาถ่ายทุกข์ใน ที่แจ้งมิฉนั้นตัวเขาจะประเจิดประเจ้อต่อท้อง
ฟ้า(เกรงกลัวว่าพระเจ้าจะเห็น), และเช่นเดียวกันมีบางคนที่เคย
ปกปิดเมื่อ“ร่วมรัก” กับภรรยาของพวกเขาในที่แจ้ง เพื่อไม่ให้
ประเจิดประเจ้อต่อท้องฟ้า (เกรงกลัวว่าพระเจ้าจะเห็น), ด้วย
เหตุนี้พระเจ้าจึง ประทานอัลกุรอานบัญญัตินี้ 11:5 ลงมาเพื่อ
ขจัดความลำบากในการปกปิดร่างกายของพวกเขา
(เพื่อให้พวกเขารู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะปกปิดซ่อนเร้นอย่างไรก็
ตาม ไม่มี อะไรที่เราจะซ่อนเร้นต่อพระเจ้าได้, เนื่องจากบัญ
ญัตินี้ พวกเขา ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดร่างกายต่อพระเจ้า
อีกต่อไปแล้ว,การถ่ายทุกข์ และ “ร่วมรัก” ในที่แจ้งนี้ เข้าใจ
ว่า อยู่ในระหว่างการเดินทางในทะเลทราย, ซึ่งมีแต่พื้น ทราย
กับท้องฟ้าเท่านั้น)
Bukhari's Vol. 6 Hadith no. 203:
Narrated Muhammed bin Abbad bin Jaafar that he heard
Ibn Abbas reciting:"No doubt! they fold up their breasts."
11:5 and asked him about the explanation.
He said, "Some people used to hide themselves while
answering the call of nature in an open space lest they
be exposed to the sky,and also when they have sexual
relation with their wives in an open space lest they be
exposed to the sky, so the above revelation was sent
down regarding them.
หรือ ก็คือ
การสอนว่า การมีเซ็ก และ ขับถ่ายกลางแจ้ง ไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะ พระเจ้าทรงเห็นอยู่ดีอ้างอิงจาก “หะดีษศอหี้หฺ” บุคอรี
http://topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2010/12/Y9984597/Y9984597.html
อัลกุรอานห้ามฆ่าคนบริสุทธิ์ - แต่ไม่ได้ห้ามฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาอิสลามคืออัลกุรอาน
งานวิชาการของมนุษย์ที่พยายามรวบรวมเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านศาสดานั้นเรียกว่าฮะดิษ
"นักฮะดิษนิยม"คือ กลุ่มคนที่บังคับให้มุสลิมยึดถือฮะดิษที่กลุ่มตัวเองคัดสรรค์นั้นเป็นหลักการของอิสลาม
อ้างว่า ฮะดิษเท่าเทียมหรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งเดียวกับอัลกุรอาน
ทั้งๆที่การอ้างงานวิชาการดังกล่าวนั้นไม่ได้รับอำนาจใดๆจากคัมภีร์ต้นทางวคืออัลกุรอานเลย
และ บังคับให้มุสลิมเชื่อทุกอย่าง โดยไม่อนุญาติ ให้มุสลิมเลือก
ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี สอดคล้องกับอัลกุรอาน อะไรคือสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นการเหมาแพ๊กกันไปว่า
ถ้าจะละหมาดตามงานวิชาการนี้ ก็ต้องยอมรับการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา และ ปาหิน
ซึ่งในโลกนี้นั้น ไม่ใช่มุสลิมทุกคนที่เป็ฯนักฮะดิษนิยม
และ ในนักฮะดิษนิยมนั้นก็แตกออกเป็นหลายสายแล้วแต่จะเลือกนิยมฮะดิษแหล่งใด จนก่อเกิดเป็นนิกาย
ในแง่มุมบางส่วนของสังคมมุสลิมการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ของนักฮะดิษนิยม
ดังประโยคนี้
ถือว่าสำคัญมาก เราไม่ต้องการดังกล่าว จึงกำหนดโทษประหาร .. "
ฮุไซนี :กระทู้ 31842773 ความเห็น 72-1
อีกทั้งการฆ่านั้น นักฮะดิษนิยมยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเป็นขบถหรือ บ่อนทำลายแผ่นดิน
แค่หมดศรัทธาในอิสลาม ก็ฆ่าได้แล้ว
ฮุไซนี :กระทู้ 31826083 ความเห็นที่ 16
นักนิยมฮะดิษนั้น จะยึดถือในระบบปราชญ์ หรือผู้รุ้อย่างมาก โดยอ้างว่าผู้รุ้ในสถาบันของตัวเองนั้น
คือผู้รุ้แจ้งตามอัลกุรอาน และอัลกุรอานให้ตามผู้รุ้ แตจากการสืบสาวส่วนใหญ่นั้น
อายะห์ที่กยกมา ไม่ได้ขยายความหรือยืนยันว่าหมายถึง กลุ่มดังกล่าว หรือ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่อย่างใด
เมื่อไม่สามารถสืบสาวได้ก็มีการพยายามยันยันว่าตัวข้านี่แหละผู้รุ้ เกิดความขัดแย้งมากมายในอิสลาม
แตกนิกาย แตกแยกแม้แต่ในระดับสังคมย่อยของมุสลิมเช่นระหว่าง มัสยิด
นอกจากนี้ นักฮะดิษนิยมยังบังคับว่า มุสลิมนั้นคือผู้ปฎิบัติตามงานวิชาการที่ถูกคัดสรรค์ของปราชญ์
และทำความเข้าใจอัลกุรอาน ได้จากการขยายความและอธิบายของปราชญ์เท่านั้น ไม่เช่นนั้น ถือว่าหลุดพ้นจากศาสนาอิสลาม
ซึ่งปราชญืเหล่นี้เองก็ได้สร้างทางออกให้กับผู้ไม่เชื่องานวิชาการ คือการตกศาสนาและประหาร
เป็นระบบเผด็จการวิชาการเบ็ดเสร็จที่อ้าง ผลงานมนุษย์ว่าเป็นของพระเจ้า และ ฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย
ในขณะที่ ผู้รุ้เหล่านั้นก็สืบสานอำนาจ ในฐานะปราชญ์ระดับสูงหรือ สายเลือดกษัตริย์เหนือแผ่นดินดังกล่าว
อิสลามนั้นไม่มีนักบวช และ พระเจ้าสั่งให้มนุษย์นั้นอ่านคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรง
แต่นักฮะดิษนิยมพยายาม บังคับใหมุสลิมหลีกหนี การทำความเข้าใจอัลกุรอานด้วยตัวเอง ซึ่งขัดกับวจนะ
และ ผูกขาดความเข้าใจในแง่มุมของศาสนา
ให้เหลือเพียงเหลี่ยมเดียว การแปลของนักวิชาการนั้น บ้างก็ครบถ้วน บ้างก็มีปัญหา
เช่น พบมีการแปล ว่า พระเจ้าทรงรุ้แม้แต่อยู่ในทรวงอก ว่าคือ การมีเซ็กกลางแจ้งและ สิ่งนี้ ถูกรวมเข้ามาในระบบวิชาการ
และจัดลำดับเป็นความหน้าเชื่อถือระดับสุง ยังไม่นับรวมเรื่องเล่าอื่นๆที่สร้างความมัวมองให้ท่านศาสดา
ไม่ว่าจะเป็นการเล่าถึง การปรึกษาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และหลั่งนอกกับทาสทั้งที่ตัวเองมีภรรยาแล้ว โดยมีท่านศาสดาอยู่ใกล้ๆและให้คำตอบเกี่ยวกับการหลั่งนอกว่าทำได้หรือไม่เป็นต้น
ซึ่งงานเหล่านี้ ล้วนอยู่ในฮะดิษ และ ไม่มีในอัลกุรอานทั้งสิ้น
ในแง่การพิสูจน์หลักฐานของนักฮะดิษนิยมนั้น
สิ่งที่มักกระทำเป็นหลักคือ
(1)การหยิบอัลกุรอานที่ไม่เกี่ยวข้อง มาเพื่ออธิบายฮะดิษว่าถูกต้องอย่างไร
(2)และเอาฮะดิษจากสถาบันเดียวกันนั้นมาสนับสนุนฮะดิษตัวเองซ้ำอีกครั้ง
เช่นกรณี การฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ได้มีการพยายามยกอายะห์สงครามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
มายืนยันว่า นี่คือการอนุญาติที่ให้ฆ่าคนที่เปลี่ยนศาสนา และยกฮะดิษจากแหล่งเดียวกันมาอธิบายซ้ำๆเป็นต้น
(3)แล้วจบด้วยการยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้รุ้ คนที่ไม่รุ้ไม่มีสิทธิแสดงความเห็นแม้ความเห็นนั้นจะเป็นความเห็นที่เรียบง่าย
เป็นภาษาไทยที่เข้าใจตรงกันก็ตาม
แต่นักฮะดิษนิยมที่กระทำสิ่งเหล่านี้มักจะกระทำเป็นหลงลืมการสั่งใช้หลายๆประการที่อยู่ในอัลกุรอาน
เช่น
หรือ การไม่อนุญาติให้ฆ่าคนบริสุทธิ์
แต่ในทางกลับกันนักฮะดิษนิยมกลับใช้คำอ้างที่ คัดค้านกับสภาพนักวิชาการ-ผู้รุ้ที่ฝักฝ่ายตัวเองอย่างมากคือการอ้างว่า
อัลกุรอานไม่ได้ห้ามฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา ดังนั้นฆ่าได้? เป็นต้น
ก่อนที่จะไปต่อคือ คำถามพื้นฐาน
อะไรคือคุณธรรมของการฆ่าคนเปลี่ยนศาสนา
ทั้งผู้ที่เกิดมาในครอบครัวมุสลิม หรือ ผู้ที่เข้ามาแล้วอยากออกจากการเป็นมุสลิม
การฆ่าคน เหล่านี้ให้อะไรกับโลกใบนี้บ้าง?
นี่คือคำถามในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์
และ คำถามในแง่มุมศาสนาคือ
พระเจ้าย้ำว่าไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนา คุณฆ่าเค้าเพราะเค้า ไม่อยากเป็นมุสลิมได้อย่างไร
พระเจ้าไม่อนุญาติให้ฆ่า คนบริสุทธิ์ นอกจากการลงโทษฆาตกร หรือ ผู้ที่บ่อนทำลายในแผ่นดิน
คนบริสุทธิที่เปลี่ยนศาสนาอยู่บ้าน และไม่ได้เป็นฆาตกร
คุณเอาอำนาจอะไรไปฆ่าเค้า
นั่นคือคำถามที่นักนิยมฮะดิษ ต้องตอบ
สุดท้ายการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดานั้นเป็นเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ
และ มุสลิมควรนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นอุทาหรณืไม่ว่าจะสำหรับเพื่อนต่างศาสนิก
หรือผู้ที่เสียศรัทธาในอิสลามเฉกเช่นเดียวกัน เพราะแท้จริงแล้วเค้าเหล่านี้ไม่ได้เสียศรัทธาในศาสนา
แต่อาจเกิดจากการเสียศรัทธาในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นย่อมเป็นไปได้
ผมขอจบด้วยอัลกุรอานอายะห์นี้ครับ
ซูเราะฮ์ อัลนะห์ โองการ 125
อ้างอิง
ฮะดิษเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับทาส [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฮะดิษเกี่ยวกับการบรรยายอัลกุรอานว่าอนุญาติให้มีเซ็กกลางแจ้ง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้