เริ่มจากเรื่องราวการเดินทาง ของชายที่ชื่อว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เลยละกันครับ
ร็อดเจอร์สเริ่มต้นเส้นทางผู้จัดการทีมของเขากับวัตฟอร์ด จากนั้นเขาถูกเรดดิ้งคว้าตัวมาในปี 2009 แต่ช่วงเวลาของเขาที่มาเดจสกี สเตเดียม นั้นแสนสั้นและในที่สุดก็สิ้นสุดลงหลังจากผ่านไปเพียงแค่หกเดือน..
ต่อครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“ผมถูกไล่ออกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม” ร็อดเจอร์สหวนคิดถึงความหลัง “ตอนนั้นเป็นเวลาห้าโมงเย็นของวันพุธ และสิ่งแรกที่ผมคิดคือ การโทรไปบอกครอบครัว เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้ยินข่าวนี้จากผมเป็นคนแรก
“เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ที่ไม่มีงานทำและต้องอยู่ห่างไกลจากฟุตบอล เป้าหมายหลังจากนั้นคือ ผมต้องแน่ใจได้ว่ามันจะไม่กระเทือนไปถึงงานคริสต์มาสของครอบครัว
“หลังจากนั้น ผมเดินทางไปยังดูไบ เพื่อใช้เวลา 10 วันในการครุ่นคิดและไตร่ตรอง และเริ่มต้นเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของผม วิธีการที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม สิ่งที่ผมต้องพัฒนา และสิ่งที่ผมควรจะนำมาใช้ในงานต่อไปคืออะไร? ที่ไหนที่ผมจะดีขึ้นได้มากกว่าเดิม เมื่อเป็นผู้จัดการทีมครั้งต่อไป?
“ผมพร้อมที่จะเดินทางกลับบ้าน และแม่ผมเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ดังนั้น ผมจึงอยู่ที่นั่นและไม่มีงานทำ มันเป็นเวลาที่เกิดความว่างเปล่าขึ้นพร้อมกันถึงสองอย่างในชีวิตของผม นั่นก็คือ ผมสูญเสียทั้งคุณแม่และฟุตบอล”
ผู้จัดการทีมวัย 41 ปีเข้าใจได้ดีว่า นั่นคือบันทึกบทหนึ่งของชีวิตคนเรา ร็อดเจอร์สมุ่งมั่นที่จะค้นหาเส้นทางกลับสู่เกมอีกครั้ง เขาเขียนจดหมายพร้อมด้วยข้อมูลคร่าวๆ ของตัวเขา ส่งให้กับหลายสโมสร
ร็อดเจอร์สกล่าวต่อ “ผมกำลังฟื้นฟูสภาพจิตใจและตัดสินใจที่จะไปที่โรงยิม รักษาสภาพร่างกายให้พร้อมสมบูรณ์ และเริ่มต้นเขียนจดหมายถึงสโมสรต่างๆ เพื่ออาจจะได้งานทำ หรือแม้แต่มีใครเรียกไปสัมภาษณ์ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
หลังจากเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ ดูเหมือนว่าในเบื้องลึกแล้ว เขาเองก็ต้องการกำลังใจแม้เพียงเล็กน้อย แต่มันเป็นสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเส้นทางอาชีพโค้ชที่ปรารถนา “ผมได้รับการตอบกลับมาจากสองในสามสโมสรที่ผมติดต่อไป
“สองสโมสรอยู่ในแชมเปียนชิพ และอีกหนึ่งสโมสรอยู่ในลีก วัน ผมไม่ได้รับการสัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมของผมจบสิ้นลงแล้ว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ”
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น สวอนซี ซิตี้ มาต่อเส้นทางชีวิตให้กับร็อดเจอร์สอีกครั้ง และเขาก็ไม่รีรอที่จะไขว่คว้ามันไว้ ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือพาทีมจากเวลส์เลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก และได้รับเสียงชื่นชมมากมายสำหรับสไตล์การเล่นฟุตบอลที่สวยงามและดึงดูดใจในลีกสูงสุดของประเทศ
ร็อดเจอร์สก้าวเข้ามากุมบังเหี่ยนที่ลิเวอร์พูลเมื่อฤดูร้อนปี 2012 และเมื่อผู้จัดการทีมที่มีถิ่นกำเนิดจากคาร์นลอฟ กำลังจะจบฤดูกาลที่สองของเขาที่นี่ หงส์แดงกำลังอยู่ในเส้นทางแห่งชัยชนะอีกเพียงเจ็ดเกมที่เหลือในลีก
ร็อดเจอร์สสรุปว่า
“ผู้คนพากันพูดว่า ‘ความสำเร็จของคุณคืออะไรกันล่ะ?’ คำตอบของผมก็คือ ความล้มเหลว วิธีการที่คุณจะประสบความสำเร็จ ก็คือคุณสามารถจัดการกับความล้มเหลวได้อย่างไร ไม่ว่าวิธีการที่คุณกำลังทำอยู่คืออะไร มันก็อาจจะมีบางสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด
“เมื่อตอนครั้งแรกในชีวิตของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวที่เรดดิ้ง ผมอาจจะอ่านบทผิดไป โดยคิดว่าตัวเองมีเวลาสามปี แทนที่จะมีเวลาเพียงแค่ 20 เกมเท่านั้น
“ผมอาจจะหายไปเลยและกลายไปเป็นผู้อำนวยการอะคาเดมี ซึ่งผมอยู่มาถึง 14 ปี หรือแสดงความเป็นตัวตนของผมและพยายาม เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็ได้
“โชคดีที่ผมสามารถทำได้แบบนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครเสนอมาให้ผม แต่ผมต้องค้นพบด้วยแนวทางที่ยากลำบาก ผมเคารพอดีตนักเตะที่ได้รับโอกาส แต่ผมต้องทดลองทำในสิ่งที่แตกต่าง ผมคิดว่าความกลัวต่อความล้มเหลวคือ สิ่งที่ผลักดันให้ผมก้าวต่อไปข้างหน้า”
ที่มาครับ
http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/brendan-s-story-from-void-to-victory
ยังจำวันแรกที่รอดเจอร์มาคุมลิเวอร์พูลได้ ผมเองก็เหมือนกับอีกหลายๆคน คำถามเดิมผุดขึ้นในใจ ใคร? คุมทีมใหญ่จะไหวหรือ? นิวฮอดจ์สัน? ฤดูกาลแรกของBR ผมเองก็จัดหนักไปไม่น้อย
หากใครจำความรู้สึกวันนั้นไม่ได้ ผมมีให้รำลึกกันเล่นๆครับ เป็นกระทู้เก่าที่ผมคิดว่าสะท้อนอะไรหลายๆอย่างในทางที่ดี กลับมาอ่านตอนนี้แล้วนึกถึงอารมณ์ตอนนั้นก็ให้ความรู้สึกแปลกๆดีนะครับ
ผมสงสัยว่า "หงส์แดงของเรา" จะกู่ไม่กลับแล้วนะครับ...
http://topicstock.ppantip.com/supachalasai/topicstock/2012/11/S12905179/S12905179.html
พูดถึงรอดเจอร์ และมาติเนซ สองตัวเลือกที่ชัดที่สุดในครั้งแรก วันนี้ทั้งสองต่างทำหน้าที่ได้ดีในทีมใหม่ ถือว่าสเป็คที่บอร์ดหงส์เฟ้นหานั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ รอดเจอร์นั้นมาพร้อมกับปรัชญาการครองเกมส์ tiki taka ครั้งแรกที่ได้ยินบ้างก็หัวเราะ บ้างก็แซวว่าตะกุกตะกัก ส่วนผมในตอนนั้นได้แต่ทำใจและคิดว่านี่มันงานโครตมหาหินเลยนะนั่น จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลเนี้ยนะ!!
ความพยายามครั้งแรกของรอดเจอร์ กับการเปลี่ยนลิเวอร์พูลให้เล่นเป็นทีม
ที่ผ่านมารอดเจอร์เองต้องทำงานยากๆเยอะมาก เริ่มจากเปลี่ยนซัวเรสให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น หากองหน้ามาแบ่งเบาภาระ เซตระบบกองกลาง ดึงเจิดลงต่ำหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับวัย ซื้อเพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งมาปั้นเกมส์แทนเจิด ทุกวันนี้ทุกคนเล่นเป็นระบบมากขึ้น ไล่บีบ วิ่งหาพื้นที่ เข้าไปอยู่ในพื้นที่อันตรายมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม้แต่ยุคตอเรสเจอร์ราด ก็แทบจะพึ่งแค่สองคนนี้ หรือแม้แต่ตอนต้นๆที่ทุกคนพร้อมใจกันโยนบอลให้ซัวเรส หรือหากวันไหนซัวเรสลงต่ำ ในเขตโทษจะเหลือแคโรลแค่คนเดียว ต่างจากทุกวันนี้ที่ทุกคนเหมือนจะโถมกันเข้าไปในกรอบเยอะขึ้น และนั้นคือหนึ่งในหลายสิ่งที่รอดเจอร์ได้ทำไว้ครับ
สุดท้าย..ไม่ว่าฤดูกาลนี้จะเกิดอะไรขี้น บทสรุปตอนจบจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่านั้นคือการเริ่มต้นครับ ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมของรอดเจอร์ยังมีอะไรดีๆรออยู่อีกเยอะแน่นอน #YNWA
Brendan Rodgers จากความว่างเปล่า..สู่เส้นทางแห่งชัยชนะ
ร็อดเจอร์สเริ่มต้นเส้นทางผู้จัดการทีมของเขากับวัตฟอร์ด จากนั้นเขาถูกเรดดิ้งคว้าตัวมาในปี 2009 แต่ช่วงเวลาของเขาที่มาเดจสกี สเตเดียม นั้นแสนสั้นและในที่สุดก็สิ้นสุดลงหลังจากผ่านไปเพียงแค่หกเดือน..
ต่อครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ร็อดเจอร์สสรุปว่า “ผู้คนพากันพูดว่า ‘ความสำเร็จของคุณคืออะไรกันล่ะ?’ คำตอบของผมก็คือ ความล้มเหลว วิธีการที่คุณจะประสบความสำเร็จ ก็คือคุณสามารถจัดการกับความล้มเหลวได้อย่างไร ไม่ว่าวิธีการที่คุณกำลังทำอยู่คืออะไร มันก็อาจจะมีบางสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด
“เมื่อตอนครั้งแรกในชีวิตของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวที่เรดดิ้ง ผมอาจจะอ่านบทผิดไป โดยคิดว่าตัวเองมีเวลาสามปี แทนที่จะมีเวลาเพียงแค่ 20 เกมเท่านั้น
“ผมอาจจะหายไปเลยและกลายไปเป็นผู้อำนวยการอะคาเดมี ซึ่งผมอยู่มาถึง 14 ปี หรือแสดงความเป็นตัวตนของผมและพยายาม เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็ได้
“โชคดีที่ผมสามารถทำได้แบบนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครเสนอมาให้ผม แต่ผมต้องค้นพบด้วยแนวทางที่ยากลำบาก ผมเคารพอดีตนักเตะที่ได้รับโอกาส แต่ผมต้องทดลองทำในสิ่งที่แตกต่าง ผมคิดว่าความกลัวต่อความล้มเหลวคือ สิ่งที่ผลักดันให้ผมก้าวต่อไปข้างหน้า”
ที่มาครับ http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/brendan-s-story-from-void-to-victory
ยังจำวันแรกที่รอดเจอร์มาคุมลิเวอร์พูลได้ ผมเองก็เหมือนกับอีกหลายๆคน คำถามเดิมผุดขึ้นในใจ ใคร? คุมทีมใหญ่จะไหวหรือ? นิวฮอดจ์สัน? ฤดูกาลแรกของBR ผมเองก็จัดหนักไปไม่น้อย
หากใครจำความรู้สึกวันนั้นไม่ได้ ผมมีให้รำลึกกันเล่นๆครับ เป็นกระทู้เก่าที่ผมคิดว่าสะท้อนอะไรหลายๆอย่างในทางที่ดี กลับมาอ่านตอนนี้แล้วนึกถึงอารมณ์ตอนนั้นก็ให้ความรู้สึกแปลกๆดีนะครับ
ผมสงสัยว่า "หงส์แดงของเรา" จะกู่ไม่กลับแล้วนะครับ...
http://topicstock.ppantip.com/supachalasai/topicstock/2012/11/S12905179/S12905179.html
พูดถึงรอดเจอร์ และมาติเนซ สองตัวเลือกที่ชัดที่สุดในครั้งแรก วันนี้ทั้งสองต่างทำหน้าที่ได้ดีในทีมใหม่ ถือว่าสเป็คที่บอร์ดหงส์เฟ้นหานั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ รอดเจอร์นั้นมาพร้อมกับปรัชญาการครองเกมส์ tiki taka ครั้งแรกที่ได้ยินบ้างก็หัวเราะ บ้างก็แซวว่าตะกุกตะกัก ส่วนผมในตอนนั้นได้แต่ทำใจและคิดว่านี่มันงานโครตมหาหินเลยนะนั่น จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลเนี้ยนะ!!
ความพยายามครั้งแรกของรอดเจอร์ กับการเปลี่ยนลิเวอร์พูลให้เล่นเป็นทีม
ที่ผ่านมารอดเจอร์เองต้องทำงานยากๆเยอะมาก เริ่มจากเปลี่ยนซัวเรสให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น หากองหน้ามาแบ่งเบาภาระ เซตระบบกองกลาง ดึงเจิดลงต่ำหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับวัย ซื้อเพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งมาปั้นเกมส์แทนเจิด ทุกวันนี้ทุกคนเล่นเป็นระบบมากขึ้น ไล่บีบ วิ่งหาพื้นที่ เข้าไปอยู่ในพื้นที่อันตรายมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม้แต่ยุคตอเรสเจอร์ราด ก็แทบจะพึ่งแค่สองคนนี้ หรือแม้แต่ตอนต้นๆที่ทุกคนพร้อมใจกันโยนบอลให้ซัวเรส หรือหากวันไหนซัวเรสลงต่ำ ในเขตโทษจะเหลือแคโรลแค่คนเดียว ต่างจากทุกวันนี้ที่ทุกคนเหมือนจะโถมกันเข้าไปในกรอบเยอะขึ้น และนั้นคือหนึ่งในหลายสิ่งที่รอดเจอร์ได้ทำไว้ครับ
สุดท้าย..ไม่ว่าฤดูกาลนี้จะเกิดอะไรขี้น บทสรุปตอนจบจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่านั้นคือการเริ่มต้นครับ ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมของรอดเจอร์ยังมีอะไรดีๆรออยู่อีกเยอะแน่นอน #YNWA