ก่อนอื่นต้องขอแก้ตัวกันนิดนึงที่มาโพสต์ช้าไป 3 ช.ม. วันนี้กว่าจะกลับก็เย็นแล้ว เหนื่อยร่างแหลกเลย คนเยอะ เดินก็เยอะ แต่แอบได้ของน้อย ไม่สะใจเลย ฮ่าๆ จากเดิมที่มีลิสท์อยู่ในใจจำนวนนึง ตามที่หาได้วันนี้เป็นหนังสือไทยล้วนๆเลยค่ะ มีหนังสือภาษาอังกฤษปนมาโดยบังเอิญแค่ 2 เล่ม ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะสอยนิยายภาษาอังกฤษมือสองมาให้เต็มคราบ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยสนใจโซนมือสองด้วยไง มางานกี่ทีไม่เคยแล เลยอาจจะตั้งความหวังไว้มากไป พอมาเข้าจริงร้านที่พอจะใช้ได้มีแค่ 2 ร้านเท่านั้น แถมไม่ค่อยมีหนังสือดังๆด้วย ที่ได้มานี่คือฟลุคคุ้ยเจอทั้งนั้น ตามร้านอย่าง Asiabooks ก็แพงขนร่วงเลย เล่มละ 325-375 ลดแล้วยังเหลือ 200 ปลายๆ 300 ต้นๆ มีที่อยากได้ตั้ง 7-8 เล่ม จะซื้อหมดคงไม่ไหว ที่สำคัญแฟนต้องไม่ยอมแน่ๆเลย เพราะเขามาจากประเทศที่หาซื้อหนังสือมือสองได้ถูกมาก และตัวเขาเองไม่เคยซื้ออะไรแพงกว่าเล่มละ 60 บาทไทย ไอ่จะมาซื้อมือหนึ่งเล่มละ 300 กว่าๆนี่นางคงยอมไม่ได้ ฮ่าๆๆ 2 คนนี้พากันงกแฮะ เอาละ พล่ามกันมาพอหอมปากหอมคอ มาชมเลยดีกว่าค่ะว่าวันนี้เราได้อะไรมามั่ง
รูปรวมก่อนเลยค่ะ ทั้งหมด 7 เล่มด้วยกัน อย่างที่บอกไปว่าหนังสือภาษาอังกฤษ 2 เล่ม นอกนั้นหนังสือไทยค่ะ แต่เป็นนิยายแปลซะ 4 เล่ม และมีบันทึกประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนอีกเล่มค่ะ ต่อไปเรามาแยกดูทีละเล่มดีกว่านะ
เล่มแรกเป็นนิยายอินเดียค่ะ แต่งโดย Abha Dawesar ชื่อว่า Babyji เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่มาจากตระกูลดี ถูกคนคาดหวังและมองว่าจะต้องทำตัวดี แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เด็กคนนี้ทำเรื่องไม่ค่อยดีเยอะ ทั้งเซ็กซ์ทั้งอะไรอย่างอื่น เป็นการสะท้อนให้เห็นภาพชีวิตของเด็กผู้หญิงในสังคมชั้นสูงของอินเดียในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เล่มนี้เราอยากได้มาสักพักแล้ว จากบูธสำนักพิมพ์สันสกฤตค่ะ เจ้านี้เขามีหนังสือจากนักเขียนอินเดียเยอะมาก แล้วก็นักเขียนจากประเทศแถบแอฟริกันหรือนักเขียนมุสลิมก็มีเยอะ นักเขียนจีนเขาก็มีค่ะ เรียกว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่น่าจับตามองมากเลย สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบแนวรักหวานแหววหรือพวกแฟนตาซีเวิ่นเว้อ ใครที่ชอบอ่านอะไรจริงๆ โลกไม่สวย ตีแผ่ด้านมืดของคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์จริงและตัวละคร ขอแนะนำสำนักพิมพ์สันสกฤตเลยค่ะ น่าโดนมากๆ
เล่มถัดมาก็ยังคงอยู่ที่สันสกฤตค่ะ ชื่อว่า ฉ่ำ ชื่น ช้ำ ชอก ... อาร์ชี่ Funny Boy แต่งโดยชยัม เชลวาดูไร เท่าที่อ่านเรื่องย่อคร่าวๆหลังปก เหมือนเป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนึงที่เติบโตขึ้นมาผ่านการค้นหาตัวเองว่าจะเป็นเพศไหนดี กับสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้ต้องเผชิญท่ามกลางสังคมอินเดียมันคงไม่ง่ายเลยแหละ เห็นราคาลดเหลือ 150 บาท เราก็คว้ามาอย่างไม่ลังเลเลย ราคาแค่นี้นับว่าถูกมากกับเนื้อหาที่น่าสนใจ
ไปต่อกันที่ A book ค่ะ เป็นบูธที่เราต้องแวะทุกปีแม้ไม่ซื้ออะไรก็ตาม และเป็นบูธที่คนหนาแน่นมากซะด้วยสิ สำหรับ Bon En France โดยบองเต่าเล่มนี้ เรารู้จักจากกระทู้ abaw อันแรกของเรานี่ละค่ะ มีคนอ่านกันหลายคน เราเองส่วนตัวบ้าคลั่งปารีสอยู่แล้ว เห็นหนังสืออะไรที่ว่าด้วยปารีสกับฝรั่งเศสเป็นไม่ได้ เป็นต้องหามาอ่านตลอดค่ะ และได้ยินหลายๆคนบอกว่าอ่านสนุกมาก และก็เป็นจริงดังคาดค่ะ เราอ่านไป 100 กว่าๆหน้าแล้ว สำนวนการเขียนแซ่บมาก อดคิดไม่ได้ว่าคนเขียนเป็นเกย์แน่เลยอะ ฮ่าๆๆ ใครที่ชอบปารีส ฝรั่งเศส หรืออยากอ่านประสบการณ์นักเรียนนอกแบบฮาๆปากจัดๆหน่อย ไม่เน้นสุภาพอะไรมาก เราว่าเล่มนี้สมควรต้องมีเลยค่ะ
ยังคงอยู่กันที่หนังสือว่าด้วยปารีสค่ะ คราวนี้ย้ายมาที่บูธมติชนกันบ้าง ความจริงเราเล็งๆไว้ตั้งแต่งานครั้งก่อนแล้ว แต่มันยังไม่มีแรงกระตุ้นให้อยากอ่านเท่าไหร่กับปรุงรักปารีส ที่เขียนโดย Elizabeth Bard แต่หลังจากที่ได้อ่านตัวอย่างในเวบมติชนแล้วกลับรู้สึกว่าสนุกและสมควรจะต้องมีในครอบครองเป็นที่สุด ก็เลยทำตามหัวใจตัวเองค่ะ เล่มนี้เป็นนิยายรักว่าด้วยเรื่องราวของสาวนิวยอร์คที่มาตกหลุมรักกับหนุ่มปารีส มีสูตรอาหารแรวจับแพะชนแกะหรือจะเรียกให้สวยๆก็คืออาหารฟิวชั่นเยอะมากเลยละ คือเขียนเป็นสูตรและการทำจริงๆเลยนะ เราว่านี่คือจุดที่เพิ่มความน่าสนใจละ คิดว่าคงจะลองทำตามสูตรดูเหมือนกัน อิอิ น่าสนุกดีค่ะ
เมื่อวีคก่อนเราเข้าเพจมติชนแล้วไปสะดุดกับหน้าปกหนังสือเล่มนึงเข้าค่ะ มีรถสีขาวจอดอยู่หน้าประตูอะไรสักอย่าง เห็นแล้วดึงดูดใจมาก แต่หาข้อมูลจากทั้งในเพจและในเวบก็ไม่เจอ ปรากฏว่าเป็นหนังสือที่ออกใหม่สดๆจากเตาเลยค่ะ กับวุ่นสุดฤทธิ์อิตาลีใต้ โดย Chris Harrison ค่ะ เราอ่านมาคร่าวๆว่าเป็นเรื่องของหนุ่มออสซี่ที่หนีตามสาวอิตาลีตอนใต้มา หนุ่มหัวขบถอย่างเขาจะใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นหัวอนุรักษ์ยังไง คงต้องลองติดตามอ่านดูค่ะ เล่มนี้บอกตรงๆว่าซื้อเพราะหน้าปกแท้ๆเลย มันดึงดูดมากอะ
Slumdog Millionaire โดย Vikras Swarup เป็นหนังอีกเรื่องที่เราชอบมากๆเลยค่ะ ส่วนตัวเราชอบอะไรที่เป็นอินเดียอยู่แล้วด้วย เคยคิดว่าจะซื้อหลายทีแล้ว แต่ด้วยความที่ดูหนังแล้วเลยผัดผ่อนมาเรื่อย วันนี้มาเจอเข้าโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือเก่าร้านนึง คือมันคงเก่าเก็บแหละ ไม่น่าใช่มือสอง ราคาแค่ 80 เอง เราเลยรีบคว้าไว้ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว จริงๆคือไม่ได้อ่านชื่อล่ะ อิอิ มันเป็นร้านหนังสือเก่าที่หันหน้าเข้าด้านใน ไม่ใช่ริมนอก ร้านนี้มีขายนิยายไทยเยอะเหมือนกันด้วย นิตยสารแฟชั่นจากนอกก็มีหลายหัว เรางมนานมากที่ร้านนี้ หวังว่าจะเจออะไรดีๆเพิ่มอีก แต่ก็เปล่า จริงๆเจอนิยายของ Jojo Moyes ด้วยเรื่อง Me Before You น่าจะเป็นนิยายรักแหละ แต่ว่าไม่กล้าซื้อ ไม่เคยอ่านรีวิวมาก่อน รู้แค่นักเขียนคนนี้ดังพอสมควรเลย
มากันที่เล่มสุดท้ายค่ะ เป็นหนังสือเด็กของ Beverly Cleary ชื่อ Henry and Ribsy เล่มนี้เราเคยอ่านตอนเด็กค่ะ เป็นแบบแปลไทย แม่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์เล่มไหนสักเล่มว่าเขามีให้เขียนไปขอรับได้ฟรี แม่เลยเขียนไปแล้วเอาให้เราอ่าน เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่เก็บเจ้าหมาหลงได้ มันผอมมากจนเห็นซี่โครง เขาเลยตั้งชื่อมันว่า Ribsy ค่ะ ส่วนเล่มที่ได้มานี้เป็นตอนที่ต่อมาจากเล่มก่อนค่ะ ราคาเบาๆ 40 บาท เก่านิดนึงแต่ไม่น่าเกลียด
จบแล้วสำหรับส่วนของเรา ใครที่ไปงานหนังสือมาแล้วอย่าลืมเอามาเห่อกันในกระทู้เราได้นะคะ เป็นการกระตุ้นคนที่ยังไม่ได้ไปให้อยากไปอีกด้วย อิอิ ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรือกะว่าไม่ไปแน่นอน ในวีคก่อนอ่านอะไรกันมาก็เอามาเล่าสู่กันฟังได้เช่นเคยค่ะ เผื่อคนที่จะไปงานเห็นแล้วอยากได้ จะได้ซิ้อตาม ฮ่าๆ ชวนเสียงตังค์จริงๆเรา สำหรับสัปดาห์หน้าก็จะยังคงอยู่กับการเห่อหนังสือค่ะ ทิ้งท้ายให้กับงานหนังสือเขาซะหน่อย ส่วนใครที่อ่านอะไรก็เอาไปโพสได้ตามปกติเลยนะคะ หลังจากนั้นกระทู้ก็จะกลับเข้าโหมดเดิมแล้วค่ะ จะมีพิเศษแบบนี้เฉพาะช่วงงานหนังสือนี่ละค่ะ
ป.ล. ใครที่สนใจอยากเข้าร่วมกลุ่ม A book a week ก็ลองหาได้ในเฟซบุคนะคะ เน้นที่หนังสือภาษาอังกฤษเป็นหลัก คนต่างชาติเยอะหน่อย แต่คนไทยก็เริ่มมีเยอะขึ้นทุกวันแล้วค่ะ ตอนนี้มี 99 คนแล้ว ใครน้าจะมาเป็นคนที่ 100 อิอิ
*** A book A week: วีคนี้พิเศษต้อนรับงานหนังสือ HAUL & HAUL จ้า #5 ***
รูปรวมก่อนเลยค่ะ ทั้งหมด 7 เล่มด้วยกัน อย่างที่บอกไปว่าหนังสือภาษาอังกฤษ 2 เล่ม นอกนั้นหนังสือไทยค่ะ แต่เป็นนิยายแปลซะ 4 เล่ม และมีบันทึกประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนอีกเล่มค่ะ ต่อไปเรามาแยกดูทีละเล่มดีกว่านะ
เล่มแรกเป็นนิยายอินเดียค่ะ แต่งโดย Abha Dawesar ชื่อว่า Babyji เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่มาจากตระกูลดี ถูกคนคาดหวังและมองว่าจะต้องทำตัวดี แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เด็กคนนี้ทำเรื่องไม่ค่อยดีเยอะ ทั้งเซ็กซ์ทั้งอะไรอย่างอื่น เป็นการสะท้อนให้เห็นภาพชีวิตของเด็กผู้หญิงในสังคมชั้นสูงของอินเดียในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ เล่มนี้เราอยากได้มาสักพักแล้ว จากบูธสำนักพิมพ์สันสกฤตค่ะ เจ้านี้เขามีหนังสือจากนักเขียนอินเดียเยอะมาก แล้วก็นักเขียนจากประเทศแถบแอฟริกันหรือนักเขียนมุสลิมก็มีเยอะ นักเขียนจีนเขาก็มีค่ะ เรียกว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่น่าจับตามองมากเลย สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบแนวรักหวานแหววหรือพวกแฟนตาซีเวิ่นเว้อ ใครที่ชอบอ่านอะไรจริงๆ โลกไม่สวย ตีแผ่ด้านมืดของคนที่มาจากต่างวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์จริงและตัวละคร ขอแนะนำสำนักพิมพ์สันสกฤตเลยค่ะ น่าโดนมากๆ
เล่มถัดมาก็ยังคงอยู่ที่สันสกฤตค่ะ ชื่อว่า ฉ่ำ ชื่น ช้ำ ชอก ... อาร์ชี่ Funny Boy แต่งโดยชยัม เชลวาดูไร เท่าที่อ่านเรื่องย่อคร่าวๆหลังปก เหมือนเป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนึงที่เติบโตขึ้นมาผ่านการค้นหาตัวเองว่าจะเป็นเพศไหนดี กับสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้ต้องเผชิญท่ามกลางสังคมอินเดียมันคงไม่ง่ายเลยแหละ เห็นราคาลดเหลือ 150 บาท เราก็คว้ามาอย่างไม่ลังเลเลย ราคาแค่นี้นับว่าถูกมากกับเนื้อหาที่น่าสนใจ
ไปต่อกันที่ A book ค่ะ เป็นบูธที่เราต้องแวะทุกปีแม้ไม่ซื้ออะไรก็ตาม และเป็นบูธที่คนหนาแน่นมากซะด้วยสิ สำหรับ Bon En France โดยบองเต่าเล่มนี้ เรารู้จักจากกระทู้ abaw อันแรกของเรานี่ละค่ะ มีคนอ่านกันหลายคน เราเองส่วนตัวบ้าคลั่งปารีสอยู่แล้ว เห็นหนังสืออะไรที่ว่าด้วยปารีสกับฝรั่งเศสเป็นไม่ได้ เป็นต้องหามาอ่านตลอดค่ะ และได้ยินหลายๆคนบอกว่าอ่านสนุกมาก และก็เป็นจริงดังคาดค่ะ เราอ่านไป 100 กว่าๆหน้าแล้ว สำนวนการเขียนแซ่บมาก อดคิดไม่ได้ว่าคนเขียนเป็นเกย์แน่เลยอะ ฮ่าๆๆ ใครที่ชอบปารีส ฝรั่งเศส หรืออยากอ่านประสบการณ์นักเรียนนอกแบบฮาๆปากจัดๆหน่อย ไม่เน้นสุภาพอะไรมาก เราว่าเล่มนี้สมควรต้องมีเลยค่ะ
ยังคงอยู่กันที่หนังสือว่าด้วยปารีสค่ะ คราวนี้ย้ายมาที่บูธมติชนกันบ้าง ความจริงเราเล็งๆไว้ตั้งแต่งานครั้งก่อนแล้ว แต่มันยังไม่มีแรงกระตุ้นให้อยากอ่านเท่าไหร่กับปรุงรักปารีส ที่เขียนโดย Elizabeth Bard แต่หลังจากที่ได้อ่านตัวอย่างในเวบมติชนแล้วกลับรู้สึกว่าสนุกและสมควรจะต้องมีในครอบครองเป็นที่สุด ก็เลยทำตามหัวใจตัวเองค่ะ เล่มนี้เป็นนิยายรักว่าด้วยเรื่องราวของสาวนิวยอร์คที่มาตกหลุมรักกับหนุ่มปารีส มีสูตรอาหารแรวจับแพะชนแกะหรือจะเรียกให้สวยๆก็คืออาหารฟิวชั่นเยอะมากเลยละ คือเขียนเป็นสูตรและการทำจริงๆเลยนะ เราว่านี่คือจุดที่เพิ่มความน่าสนใจละ คิดว่าคงจะลองทำตามสูตรดูเหมือนกัน อิอิ น่าสนุกดีค่ะ
เมื่อวีคก่อนเราเข้าเพจมติชนแล้วไปสะดุดกับหน้าปกหนังสือเล่มนึงเข้าค่ะ มีรถสีขาวจอดอยู่หน้าประตูอะไรสักอย่าง เห็นแล้วดึงดูดใจมาก แต่หาข้อมูลจากทั้งในเพจและในเวบก็ไม่เจอ ปรากฏว่าเป็นหนังสือที่ออกใหม่สดๆจากเตาเลยค่ะ กับวุ่นสุดฤทธิ์อิตาลีใต้ โดย Chris Harrison ค่ะ เราอ่านมาคร่าวๆว่าเป็นเรื่องของหนุ่มออสซี่ที่หนีตามสาวอิตาลีตอนใต้มา หนุ่มหัวขบถอย่างเขาจะใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นหัวอนุรักษ์ยังไง คงต้องลองติดตามอ่านดูค่ะ เล่มนี้บอกตรงๆว่าซื้อเพราะหน้าปกแท้ๆเลย มันดึงดูดมากอะ
Slumdog Millionaire โดย Vikras Swarup เป็นหนังอีกเรื่องที่เราชอบมากๆเลยค่ะ ส่วนตัวเราชอบอะไรที่เป็นอินเดียอยู่แล้วด้วย เคยคิดว่าจะซื้อหลายทีแล้ว แต่ด้วยความที่ดูหนังแล้วเลยผัดผ่อนมาเรื่อย วันนี้มาเจอเข้าโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือเก่าร้านนึง คือมันคงเก่าเก็บแหละ ไม่น่าใช่มือสอง ราคาแค่ 80 เอง เราเลยรีบคว้าไว้ จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว จริงๆคือไม่ได้อ่านชื่อล่ะ อิอิ มันเป็นร้านหนังสือเก่าที่หันหน้าเข้าด้านใน ไม่ใช่ริมนอก ร้านนี้มีขายนิยายไทยเยอะเหมือนกันด้วย นิตยสารแฟชั่นจากนอกก็มีหลายหัว เรางมนานมากที่ร้านนี้ หวังว่าจะเจออะไรดีๆเพิ่มอีก แต่ก็เปล่า จริงๆเจอนิยายของ Jojo Moyes ด้วยเรื่อง Me Before You น่าจะเป็นนิยายรักแหละ แต่ว่าไม่กล้าซื้อ ไม่เคยอ่านรีวิวมาก่อน รู้แค่นักเขียนคนนี้ดังพอสมควรเลย
มากันที่เล่มสุดท้ายค่ะ เป็นหนังสือเด็กของ Beverly Cleary ชื่อ Henry and Ribsy เล่มนี้เราเคยอ่านตอนเด็กค่ะ เป็นแบบแปลไทย แม่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์เล่มไหนสักเล่มว่าเขามีให้เขียนไปขอรับได้ฟรี แม่เลยเขียนไปแล้วเอาให้เราอ่าน เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายที่เก็บเจ้าหมาหลงได้ มันผอมมากจนเห็นซี่โครง เขาเลยตั้งชื่อมันว่า Ribsy ค่ะ ส่วนเล่มที่ได้มานี้เป็นตอนที่ต่อมาจากเล่มก่อนค่ะ ราคาเบาๆ 40 บาท เก่านิดนึงแต่ไม่น่าเกลียด
จบแล้วสำหรับส่วนของเรา ใครที่ไปงานหนังสือมาแล้วอย่าลืมเอามาเห่อกันในกระทู้เราได้นะคะ เป็นการกระตุ้นคนที่ยังไม่ได้ไปให้อยากไปอีกด้วย อิอิ ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรือกะว่าไม่ไปแน่นอน ในวีคก่อนอ่านอะไรกันมาก็เอามาเล่าสู่กันฟังได้เช่นเคยค่ะ เผื่อคนที่จะไปงานเห็นแล้วอยากได้ จะได้ซิ้อตาม ฮ่าๆ ชวนเสียงตังค์จริงๆเรา สำหรับสัปดาห์หน้าก็จะยังคงอยู่กับการเห่อหนังสือค่ะ ทิ้งท้ายให้กับงานหนังสือเขาซะหน่อย ส่วนใครที่อ่านอะไรก็เอาไปโพสได้ตามปกติเลยนะคะ หลังจากนั้นกระทู้ก็จะกลับเข้าโหมดเดิมแล้วค่ะ จะมีพิเศษแบบนี้เฉพาะช่วงงานหนังสือนี่ละค่ะ
ป.ล. ใครที่สนใจอยากเข้าร่วมกลุ่ม A book a week ก็ลองหาได้ในเฟซบุคนะคะ เน้นที่หนังสือภาษาอังกฤษเป็นหลัก คนต่างชาติเยอะหน่อย แต่คนไทยก็เริ่มมีเยอะขึ้นทุกวันแล้วค่ะ ตอนนี้มี 99 คนแล้ว ใครน้าจะมาเป็นคนที่ 100 อิอิ