สวัสดีค่ะ ตั้งกระทู้แรกในพันทิพ หลังจากเป็นขาประจำมานานนับสิบปี (ถึงตอนนี้อาจมีใครกำลังทายอายุ ^^) เล่นเกือบทุกห้อง สนใจหลายแท็ก
แต่ห้องแรกที่ชักนำมาเล่นพันทิพก็คือห้องแป้งนี่ล่ะค่ะ วันนี้พอจะตั้งกระทู้แรก เลยขออนุญาตได้รับเกียรติ แนะนำตัวในห้องแป้งนะคะ
เนื่องจากเป็นห้องแป้ง ก็เลยอยากจะชวนคุณๆพี่ เพื่อน น้อง สนทนากันเรื่องแป้งน่ะค่ะ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และปัญหาชีวิตเกี่ยวกับแป้งกันค่ะ
ชื่อกระทู้อาจจะเชยๆ เหมือนเรียงความเด็กน้อยมากไปหน่อย ก็ช่วยถือว่าอ่านขำๆไปนะคะ ฉันไม่ค่อยมีศิลปะในการใช้ภาษาสักเท่าไร
ด้วยความที่ผ่านร้อน ผ่านฝน มามาก ผ่านหนาวมานิดหน่อย จึงมีน้องแป้งมากมายหลายยี่ห้อเคยผ่านหนังหน้ามา ก็จะพยายามรวบรวมมาเล่าให้ฟังเท่าที่จะรื้อความทรงจำได้นะคะ ถ้าใครใช้แล้วเห็นต่างอย่างไร มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
ฉันเป็นคนใช้แป้งฝุ่น และใช้แต่แป้งฝุ่นเท่านั้น มานมนาน แต่ไม่ใช่ว่า เริ่มแต่งหน้าก็ใช้แป้งฝุ่นเลยนะคะ ตอนแรกๆที่ยังไม่ประสา ก็ใช้แป้งตลับ ผสมรองพื้นบ้าง ไม่ผสมบ้าง แต่ความที่ฉันเป็นคนผิวขาว (ฉันไม่เคยใช้รองพื้นของ mac แต่ใช้ concealer #nc20 ค่ะ) จัดว่าขาว neutral คือไม่เหลืองและไม่ชมพู อย่างที่รองพื้นบางยี่ห้อจัดว่าเป็น OO ค่ะ จึงทำให้หาสีแป้งพอดีกับหน้ายากเหลือเกิน แป้งตลับที่ทาลงไปเหมือนจะสวยตอนเช้า พอสายสักหน่อยจะหมองจนคนทัก ลองมา 2-3 ตลับจนถอดใจ เลิกใช้ทั้งที่ยังเหลือเต็มตลับ แล้วก็มานั่งเสียดายเงิน ถึงจะไม่ใช่ของราคาแพง (ใช้ประมาณมิสทีน ม้าโยก) แต่ด้วยเป็นคนที่ชอบใช้อันเดียวให้หมด ก็เลยถอดใจ กลับมาใช้แป้งเด็ก จนกระทั่งวันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าดูคลิป หรือแอบอ่านกระทู้รีวิวที่ไหน ที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล
สิ่งมหัศจรรย์นั้นคือ.. แป้งฝุ่น #translucent ^^ แหะๆ สำหรับน้องๆวัยใสที่บังเอิญผ่านเข้ามาอ่าน อาจมีหลุดความคิดว่า โถคุณป้าคนนี้ มันน่าอัศจรรย์ตรงไหนกันคะ ยี่ห้อไหนๆ เค้าก็มี แป้งฝุ่น #translucent
ไม่จริงนะคะ คุณน้อง สมัยป้าเป็นสาวรุ่นๆ เรียนมหาวิทยาลัย ฝึกงาน เริ่มงานเตาะแตะนั้น แป้งส่วนใหญ่เค้าก็จะมีสี เบอร์นึง ส่อง ซั่ม หรือชื่อสี ivory, etc. อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วถ้าเป็นชื่อภาษาไทย เขาก็จะระบุว่า ผิวขาวเหลือง ผิวขาวชมพู ผิวสองสี ผิวคล้ำ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ฉันสังเกตว่า ชื่อสีเหล่านี้จะเปลี่ยนไป ถ้าแป้งมีสี เขาจะมีชื่อภาษาไทยว่า ผิวขาว-ขาวมาก, ผิวขาวเหลือง, ผิวขาวกลาง ฮิๆ แอบนอกเรื่องไปถึงวิวัฒนาการชื่อสีแป้ง พอให้ได้เห็นว่า ชีวิตฉันเดินทางมานานเหมือนกันนะนี่
ขอมาต่อเรื่อง #translucent นะคะ มันจะมีอีกคำหนึ่งว่า #transparent อีกคำหนึ่ง ซึ่งจากคำและการทดลองใช้ ฉันเห็นความต่างว่า บางครั้ง บางยี่ห้อแป้ง จะใช้คำว่า transparent กับแป้งที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าคุณ โดยที่ไม่มี shimmer, glitter หรือความวาวใดๆ
หลังจากมุมานะ ขยันหมั่นศึกษาหาอ่านรีวิว มาสักพัก ฉันก็เคลิบเคลิ้ม หลงละเมอไปถอยแป้งที่แพงที่สุดในชีวิตมา คือเจ้านี่ค่ะ
La Mer no. 5 #translucent ยืมภาพจากในเวบนะคะ ตัวจริงเหลือแต่กระปุกเปล่าเก็บไว้ในตู้ จะทิ้งก็เสียดายกระปุกแก้ว ซื้อที่เคาน์เตอร์ไทยค่ะ รับรองความมหาโหดของราคา ^^ แต่มันก็สวยคุ้มราคานะคะ ฉันว่ามันคุ้ม เนื้อแป้งเบา มีวิ้งละเอียด ที่ทำให้หน้าดูผ่อง มันช่างสมกับชื่อสี translucent เพราะทาเยอะเท่าไร ก็ไม่รู้สึกว่าคุณผู้หญิงคนนี้โบ๊ะแป้งมา ไม่ว่าจะใช้พัฟ (อ่า พัฟที่แถมมานุ่มฟู เลอค่ามากนะคะ ฉันเก็บมาซักใช้ต่อในแป้งกระปุกถัดไปด้วยล่ะ น่าเสียดายที่จนถึงวันนี้มันเสียสภาพไปแล้ว) หรือใช้แปรง ก็ไม่ทำให้ดูหนานะคะ ถ้าคุณอ่านรีวิวมาแล้วมากมาย บางรีวิวอาจจะเตือนว่าแป้งตัวนี้ถ้าปัดเยอะหน้าอาจจะวอกได้ เพราะมันก็มีสี (ตอนที่เช็ดทำความสะอาดจะพบว่ามันมีสีอมส้มๆ ชัดขึ้นกว่าในกระปุกนะคะ อาจจะเพราะการ oxidize ทำให้สีแป้งเข้มขึ้น แต่ไม่ถึงกับทำให้หน้าหมอง) แต่สำหรับฉัน ไม่เคยพบปัญหานั้นค่ะ อาจจะเป็นเพราะคำว่าหนาของฉันกับเขาไม่เท่ากัน หรืออาจจะเเป็นพราะว่าฉันค่อนข้างขาวมาก หรืออาจจะเป็นเพราะความดีของแป้ง อันนี้ไม่เคยทดลองเพื่อทราบจริงๆค่ะ แต่สำหรับฉัน ไม่เคยมีสักครั้งที่ทาแป้งตัวนี้แล้วรู้สึกว่าโบกแป้งหนา หน้าแป้งๆ
กระปุกขนาด 25 กรัม ฉันใช้ทุกเช้า โดยไม่เติมระหว่างวัน ใช้มาได้เป็นเวลา 3 ปีกว่าๆ นะคะ จึงจะหมด เฉลี่ยปีละพันพอดี คุ้มนะคะ Happy ^^ อยู่กันมา 3 ปีดีดัก ฉันพบว่าข้อเสียตัวเดียวของคุณละเมอเธอก็คือ ถ้าใช้แปรงปัดแป้งธรรมดา หรือแปรงแบบ finishing คือแปรงปัดแป้งแบบที่ขนเรียงตัวแบนๆหน่อย ทา จะได้ลุคที่งดงามกำลังดีได้ตอนเช้าที่แต่งหน้าใหม่ๆ แต่พอออกไปผจญภัยในหน้าร้อนแล้วล่ะก็ จะพบว่าหน้ามันง่ายค่ะ ปกติฉันไม่ซับมันนะคะ ถ้าปัดเบาๆเกินไปในหน้าร้อน พอตกเย็น หน้าจะดูมันและเหนื่อยล้า ไม่มีออร่าเหมือนตอนเช้าน่ะค่ะ ฉันว่าในหน้าร้อน แป้งตัวนี้เหมาะใช้กับแปรงบัฟ หรือพัฟมากกว่าค่ะ ก็จะดูหนาขึ้นหน่อย ไม่ค่อยโชว์ผิว แต่ไม่ถึงกับดูโบก และอยู่ได้ถึงเย็นค่ะ
แป้งฝุ่นกระปุกที่สองในชีวิต หลังจากบอกลาคุณละเมอ คือตัวนี้ค่ะ ขอบคุณภาพจากในเวบอีกครั้งนะคะ
Botanics Whitening Moisture Lock Loose Powder แป้งตัวนี้ถูกและดีมากค่ะ น่าเสียดายที่เลิกผลิตไปแล้ว เนื้อแป้งละเอียด อาจจะเบาไม่เท่า La Mer แต่ละเอียดค่ะ ปัดได้มากโดยไม่ดูโบ๊ะ ตกเย็นหน้าก็ไม่หมอง จำได้ว่ามีขายสองสี คือสีชมพูและสี translucent ฉันใช้ translucent ตามเคยค่ะ ซื้อมาตอนโปรโมชั่น 1 แถม 1 ที่ Boots ตอนนั้นฉันเลือกอีกชิ้นเป็นลิปกลอส และเสียดายจนวันนี้ที่เลือกหยิบแป้งมาทั้งสองชิ้น แป้งตัวนี้ไม่มีวิ้งนะคะ จำได้ว่าไม่มี ใช้แล้วหน้าผ่องแต่ไม่แห้งแมทเกินไป กำลังดีน่ะค่ะ ฉันผิวขาดน้ำ จึงไม่ชอบใช้แป้งที่ทำให้หน้าดูด้านจนเกินไป ถัดจากตัวนี้ Botanics เขาก็ไปผลิตรุ่น Lighter than air รุ่นนี้ค่ะ (ขอบคุณภาพจากในเวบ)
ด้วยติดใจในความถูกและดีของตัว Moisture Lock พอเป็นรุ่นนี้ ฉันก็เลยตามไปซื้อ แต่แล้วก็ผิดหวังค่ะ ไม่ดีเท่าตัวที่แล้ว ชื่อว่า lighter than air แต่จริงๆแล้วไม่เบานะคะ ความละเอียด ฉันก็รู้สึกว่าไม่เท่ากับรุ่นก่อน ถ้าใช้กับแปรงบัฟ แล้วไม่เคาะแป้งออกดีๆ จะดูหนานะคะ ถึงแม้ว่าวันนั้นจะทาเพียงกันแดด ไม่ลงรองพื้น หรือบีบี แต่สำหรับฉัน ถึงมันจะไม่ดีเท่าไร (ผิดคาด) แต่ก็อยู่ในระดับดีสมราคานะคะ ก็ใช้จนหมดกระปุก 20 กรัม เพิ่งบอกลากันไปไม่กี่สัปดาห์มานี้เองค่ะ กลับไปดูที่ Boots เห็น packaging design ใหม่ แต่ไม่ได้ซื้อต่อค่ะ ไม่ประทับใจเลย ทนใช้ให้หมดก็เพราะเสียดายเงินเท่านั้น อิอิ
แต่ฉันสังเกตว่าปริมาณ 20 กรัม ใช้ได้เพียง 11 เดือนเท่านั้นนะคะ ต่างจากเมื่อตอนใช้แป้ง La Mer ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเดี๋ยวนี้มือหนัก หรือว่าเป็นเพราะตัวแป้งหนัก จึงทำให้หมดเร็วกว่าที่คิดไว้
เมื่อเจ้า lighter than air เดินทางมาเกินครึ่งกระปุก ฉันมีโอกาสได้เดินทางไปแถบยุโรป ไปเดินห้าง และได้ซื้อแป้งตัวดังมาด้วยค่ะ ขออนุญาตแบ่งหน้าพิมพ์นะคะ เดี๋ยวจะยาวไป
แป้งฝุ่นบนทางเดินของชีวิตฉัน
แต่ห้องแรกที่ชักนำมาเล่นพันทิพก็คือห้องแป้งนี่ล่ะค่ะ วันนี้พอจะตั้งกระทู้แรก เลยขออนุญาตได้รับเกียรติ แนะนำตัวในห้องแป้งนะคะ
เนื่องจากเป็นห้องแป้ง ก็เลยอยากจะชวนคุณๆพี่ เพื่อน น้อง สนทนากันเรื่องแป้งน่ะค่ะ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และปัญหาชีวิตเกี่ยวกับแป้งกันค่ะ
ชื่อกระทู้อาจจะเชยๆ เหมือนเรียงความเด็กน้อยมากไปหน่อย ก็ช่วยถือว่าอ่านขำๆไปนะคะ ฉันไม่ค่อยมีศิลปะในการใช้ภาษาสักเท่าไร
ด้วยความที่ผ่านร้อน ผ่านฝน มามาก ผ่านหนาวมานิดหน่อย จึงมีน้องแป้งมากมายหลายยี่ห้อเคยผ่านหนังหน้ามา ก็จะพยายามรวบรวมมาเล่าให้ฟังเท่าที่จะรื้อความทรงจำได้นะคะ ถ้าใครใช้แล้วเห็นต่างอย่างไร มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
ฉันเป็นคนใช้แป้งฝุ่น และใช้แต่แป้งฝุ่นเท่านั้น มานมนาน แต่ไม่ใช่ว่า เริ่มแต่งหน้าก็ใช้แป้งฝุ่นเลยนะคะ ตอนแรกๆที่ยังไม่ประสา ก็ใช้แป้งตลับ ผสมรองพื้นบ้าง ไม่ผสมบ้าง แต่ความที่ฉันเป็นคนผิวขาว (ฉันไม่เคยใช้รองพื้นของ mac แต่ใช้ concealer #nc20 ค่ะ) จัดว่าขาว neutral คือไม่เหลืองและไม่ชมพู อย่างที่รองพื้นบางยี่ห้อจัดว่าเป็น OO ค่ะ จึงทำให้หาสีแป้งพอดีกับหน้ายากเหลือเกิน แป้งตลับที่ทาลงไปเหมือนจะสวยตอนเช้า พอสายสักหน่อยจะหมองจนคนทัก ลองมา 2-3 ตลับจนถอดใจ เลิกใช้ทั้งที่ยังเหลือเต็มตลับ แล้วก็มานั่งเสียดายเงิน ถึงจะไม่ใช่ของราคาแพง (ใช้ประมาณมิสทีน ม้าโยก) แต่ด้วยเป็นคนที่ชอบใช้อันเดียวให้หมด ก็เลยถอดใจ กลับมาใช้แป้งเด็ก จนกระทั่งวันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าดูคลิป หรือแอบอ่านกระทู้รีวิวที่ไหน ที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล
สิ่งมหัศจรรย์นั้นคือ.. แป้งฝุ่น #translucent ^^ แหะๆ สำหรับน้องๆวัยใสที่บังเอิญผ่านเข้ามาอ่าน อาจมีหลุดความคิดว่า โถคุณป้าคนนี้ มันน่าอัศจรรย์ตรงไหนกันคะ ยี่ห้อไหนๆ เค้าก็มี แป้งฝุ่น #translucent ไม่จริงนะคะ คุณน้อง สมัยป้าเป็นสาวรุ่นๆ เรียนมหาวิทยาลัย ฝึกงาน เริ่มงานเตาะแตะนั้น แป้งส่วนใหญ่เค้าก็จะมีสี เบอร์นึง ส่อง ซั่ม หรือชื่อสี ivory, etc. อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วถ้าเป็นชื่อภาษาไทย เขาก็จะระบุว่า ผิวขาวเหลือง ผิวขาวชมพู ผิวสองสี ผิวคล้ำ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ฉันสังเกตว่า ชื่อสีเหล่านี้จะเปลี่ยนไป ถ้าแป้งมีสี เขาจะมีชื่อภาษาไทยว่า ผิวขาว-ขาวมาก, ผิวขาวเหลือง, ผิวขาวกลาง ฮิๆ แอบนอกเรื่องไปถึงวิวัฒนาการชื่อสีแป้ง พอให้ได้เห็นว่า ชีวิตฉันเดินทางมานานเหมือนกันนะนี่
ขอมาต่อเรื่อง #translucent นะคะ มันจะมีอีกคำหนึ่งว่า #transparent อีกคำหนึ่ง ซึ่งจากคำและการทดลองใช้ ฉันเห็นความต่างว่า บางครั้ง บางยี่ห้อแป้ง จะใช้คำว่า transparent กับแป้งที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าคุณ โดยที่ไม่มี shimmer, glitter หรือความวาวใดๆ
หลังจากมุมานะ ขยันหมั่นศึกษาหาอ่านรีวิว มาสักพัก ฉันก็เคลิบเคลิ้ม หลงละเมอไปถอยแป้งที่แพงที่สุดในชีวิตมา คือเจ้านี่ค่ะ
La Mer no. 5 #translucent ยืมภาพจากในเวบนะคะ ตัวจริงเหลือแต่กระปุกเปล่าเก็บไว้ในตู้ จะทิ้งก็เสียดายกระปุกแก้ว ซื้อที่เคาน์เตอร์ไทยค่ะ รับรองความมหาโหดของราคา ^^ แต่มันก็สวยคุ้มราคานะคะ ฉันว่ามันคุ้ม เนื้อแป้งเบา มีวิ้งละเอียด ที่ทำให้หน้าดูผ่อง มันช่างสมกับชื่อสี translucent เพราะทาเยอะเท่าไร ก็ไม่รู้สึกว่าคุณผู้หญิงคนนี้โบ๊ะแป้งมา ไม่ว่าจะใช้พัฟ (อ่า พัฟที่แถมมานุ่มฟู เลอค่ามากนะคะ ฉันเก็บมาซักใช้ต่อในแป้งกระปุกถัดไปด้วยล่ะ น่าเสียดายที่จนถึงวันนี้มันเสียสภาพไปแล้ว) หรือใช้แปรง ก็ไม่ทำให้ดูหนานะคะ ถ้าคุณอ่านรีวิวมาแล้วมากมาย บางรีวิวอาจจะเตือนว่าแป้งตัวนี้ถ้าปัดเยอะหน้าอาจจะวอกได้ เพราะมันก็มีสี (ตอนที่เช็ดทำความสะอาดจะพบว่ามันมีสีอมส้มๆ ชัดขึ้นกว่าในกระปุกนะคะ อาจจะเพราะการ oxidize ทำให้สีแป้งเข้มขึ้น แต่ไม่ถึงกับทำให้หน้าหมอง) แต่สำหรับฉัน ไม่เคยพบปัญหานั้นค่ะ อาจจะเป็นเพราะคำว่าหนาของฉันกับเขาไม่เท่ากัน หรืออาจจะเเป็นพราะว่าฉันค่อนข้างขาวมาก หรืออาจจะเป็นเพราะความดีของแป้ง อันนี้ไม่เคยทดลองเพื่อทราบจริงๆค่ะ แต่สำหรับฉัน ไม่เคยมีสักครั้งที่ทาแป้งตัวนี้แล้วรู้สึกว่าโบกแป้งหนา หน้าแป้งๆ
กระปุกขนาด 25 กรัม ฉันใช้ทุกเช้า โดยไม่เติมระหว่างวัน ใช้มาได้เป็นเวลา 3 ปีกว่าๆ นะคะ จึงจะหมด เฉลี่ยปีละพันพอดี คุ้มนะคะ Happy ^^ อยู่กันมา 3 ปีดีดัก ฉันพบว่าข้อเสียตัวเดียวของคุณละเมอเธอก็คือ ถ้าใช้แปรงปัดแป้งธรรมดา หรือแปรงแบบ finishing คือแปรงปัดแป้งแบบที่ขนเรียงตัวแบนๆหน่อย ทา จะได้ลุคที่งดงามกำลังดีได้ตอนเช้าที่แต่งหน้าใหม่ๆ แต่พอออกไปผจญภัยในหน้าร้อนแล้วล่ะก็ จะพบว่าหน้ามันง่ายค่ะ ปกติฉันไม่ซับมันนะคะ ถ้าปัดเบาๆเกินไปในหน้าร้อน พอตกเย็น หน้าจะดูมันและเหนื่อยล้า ไม่มีออร่าเหมือนตอนเช้าน่ะค่ะ ฉันว่าในหน้าร้อน แป้งตัวนี้เหมาะใช้กับแปรงบัฟ หรือพัฟมากกว่าค่ะ ก็จะดูหนาขึ้นหน่อย ไม่ค่อยโชว์ผิว แต่ไม่ถึงกับดูโบก และอยู่ได้ถึงเย็นค่ะ
แป้งฝุ่นกระปุกที่สองในชีวิต หลังจากบอกลาคุณละเมอ คือตัวนี้ค่ะ ขอบคุณภาพจากในเวบอีกครั้งนะคะ
Botanics Whitening Moisture Lock Loose Powder แป้งตัวนี้ถูกและดีมากค่ะ น่าเสียดายที่เลิกผลิตไปแล้ว เนื้อแป้งละเอียด อาจจะเบาไม่เท่า La Mer แต่ละเอียดค่ะ ปัดได้มากโดยไม่ดูโบ๊ะ ตกเย็นหน้าก็ไม่หมอง จำได้ว่ามีขายสองสี คือสีชมพูและสี translucent ฉันใช้ translucent ตามเคยค่ะ ซื้อมาตอนโปรโมชั่น 1 แถม 1 ที่ Boots ตอนนั้นฉันเลือกอีกชิ้นเป็นลิปกลอส และเสียดายจนวันนี้ที่เลือกหยิบแป้งมาทั้งสองชิ้น แป้งตัวนี้ไม่มีวิ้งนะคะ จำได้ว่าไม่มี ใช้แล้วหน้าผ่องแต่ไม่แห้งแมทเกินไป กำลังดีน่ะค่ะ ฉันผิวขาดน้ำ จึงไม่ชอบใช้แป้งที่ทำให้หน้าดูด้านจนเกินไป ถัดจากตัวนี้ Botanics เขาก็ไปผลิตรุ่น Lighter than air รุ่นนี้ค่ะ (ขอบคุณภาพจากในเวบ)
ด้วยติดใจในความถูกและดีของตัว Moisture Lock พอเป็นรุ่นนี้ ฉันก็เลยตามไปซื้อ แต่แล้วก็ผิดหวังค่ะ ไม่ดีเท่าตัวที่แล้ว ชื่อว่า lighter than air แต่จริงๆแล้วไม่เบานะคะ ความละเอียด ฉันก็รู้สึกว่าไม่เท่ากับรุ่นก่อน ถ้าใช้กับแปรงบัฟ แล้วไม่เคาะแป้งออกดีๆ จะดูหนานะคะ ถึงแม้ว่าวันนั้นจะทาเพียงกันแดด ไม่ลงรองพื้น หรือบีบี แต่สำหรับฉัน ถึงมันจะไม่ดีเท่าไร (ผิดคาด) แต่ก็อยู่ในระดับดีสมราคานะคะ ก็ใช้จนหมดกระปุก 20 กรัม เพิ่งบอกลากันไปไม่กี่สัปดาห์มานี้เองค่ะ กลับไปดูที่ Boots เห็น packaging design ใหม่ แต่ไม่ได้ซื้อต่อค่ะ ไม่ประทับใจเลย ทนใช้ให้หมดก็เพราะเสียดายเงินเท่านั้น อิอิ
แต่ฉันสังเกตว่าปริมาณ 20 กรัม ใช้ได้เพียง 11 เดือนเท่านั้นนะคะ ต่างจากเมื่อตอนใช้แป้ง La Mer ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเดี๋ยวนี้มือหนัก หรือว่าเป็นเพราะตัวแป้งหนัก จึงทำให้หมดเร็วกว่าที่คิดไว้
เมื่อเจ้า lighter than air เดินทางมาเกินครึ่งกระปุก ฉันมีโอกาสได้เดินทางไปแถบยุโรป ไปเดินห้าง และได้ซื้อแป้งตัวดังมาด้วยค่ะ ขออนุญาตแบ่งหน้าพิมพ์นะคะ เดี๋ยวจะยาวไป