สวัสดีค่ะทุกคน นางสาวขี้วีน รายงานตัวค่ะ
หลังจากนั่งครึ้มอกครึ้มใจอ่านกระทู้แชร์ประสบการณ์ของคนนั้น คนนี้ในพันทิป
ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยเขียนแชร์ประสบการณ์นี้ในบอร์ดพันทิปเก่าอยู่เหมือนกัน (เก่ามากเลยนะนั่น)
แต่ด้วยความขี้เกียจ และงานที่ยุ่งจนเกินไป เลยทำให้หยุดเขียนไปกลางทาง
วันนี้ได้ฤกษ์อารมณ์ดี อู้งาน เลยคิดว่าอยากที่จะเอากลับมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านค่ะ
เพราะฉะนั้นใครที่อ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ แสดงว่าคุณ “แก่” แล้วนะคะ (ฮ่า ฮ่า)
*ขอเริ่มเล่าใหม่ทั้งหมดนะคะ*
---
โดยเราตั้งใจที่จะเขียนแชร์ประสบการณ์การไป Work&Travel ที่อเมริกาค่ะ
เราไปมานานแล้ว แต่เชื่อว่าประสบการณ์ต่างๆ ในเวลา 4 เดือนที่อเมริกานั้น
ช่วยเราในทุกวันนี้ได้มากค่ะ เรียกได้ว่าเปลี่ยนเราไปเป็นอีกคนเลยทีเดียว
เลยอยากเอามาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ
---
ขออนุญาตข้ามขั้นตอนการทำเอกสาร, หา Agency ไปเลยแล้วกันเนอะ
โดยเราไปทำงานที่ Six Flags America ค่ะ โดยตอนสมัครงานเอเจนซี่เราจั่วหัวว่า Six Flags DC (จริงๆ แล้วพี่ในเอเจนซี่พูดว่า Six Flags DC ค่ะ)
ซึ่งงานนี้กะเหรี่ยงมั่นใจอย่างแรงว่า เราจะได้ไปเฉิดฉายที่เมืองหลวงของอเมริกาเป็นแน่แท้
แต่ปรากฎว่าสวนสนุก Six Flags America หรือ Six Flags DC ที่เราและผองเพื่อนเชื่อมั่น
ตั้งอยู่ในรัฐ Maryland ค่ะคุณๆ ตอนรู้ความจริงนี่น้ำตาจะไหลเลยทีเดียว (อิฉันรักดราม่าเป็นชีวิตจิตใจค่ะ)
คือจริงๆ พอยท์ตรงนี้อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่า เราควรเตรียมตัวหาข้อมูลกันไปบ้างก่อนบินนะคะ
อย่ามโนเหมือนพี่ ที่คิดว่าจะได้ไปเดินเฉิดฉายสวยๆ ในเมืองหลวงของอเมริกา
เอาล่ะค่ะ ก่อนจะเพ้อกันไปมากกว่านี้ เราขอเข้าเรื่องโดยการเริ่มต้นจากสนามบินแล้วกันเนอะ
การจะเดินทางไป Six Flags ที่เรามโนว่าอยู่ DC นั้นต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบิน Washington Dulles International Airport ที่ตั้งอยู่ใน เวอร์จิเนียค่ะ
โดยเรานั่งสายการบิน All Nippon Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่นก่อน
โดยเราโชคดีที่มีพี่จากเอเจนซี่ไปด้วย 1 คน แต่เสียดายที่ขุ่นพี่เป็นผู้หญิง ก็เลยไม่อินเท่าไหร่(วัยรุ่นเซ็งสุดๆ)
นั่งเครื่องบินด้วยความทรหด ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามทวีป ข้ามไทม์โซน ข้ามอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ก็มาถึงแว้ววว (ขออนุญาตวิบัติเพื่อความอิน) อเมริกาที่เราใฝ่ฝัน
โดยความตื่นเต้นเริ่มขึ้นเมื่อ หนึ่งในคณะร่วมทริปของเรา แม่นางเอากุนเชียงมา 3 เส้น
ปากนางบอกว่าไม่รู้ว่าเข้าห้าม แต่สีหน้านางดู Proud สุดๆ (เอ๊ะ ยังไง)
และด้วยความเป็นพี่ที่ดี (คือแกงค์เราแก่ที่สุดในรุ่นนั้นแล้วค่ะ เป็นเด็กปี 4 ที่เรียนจบแล้วทุกคนเลย)
ก็บีบบังคับให้น้องผู้ชายผู้น่ารักว่าที่คุณหมอ เข็นกระเป๋าผ่านด่านไปก่อนเป็นคนแรก
แน่นอนค่ะ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นกะเหรี่ยงมาใช้แรงงาน ขนกระเป๋ามาใบเบ้อเริ่ม ก็เรียนเชิญน้องว่าที่คุณหมอไปเปิดกระเป๋าสักหน่อย
เพื่อนเราเห็นน้องโดนเรียกแล้ว คิดว่าเจ้าหน้าที่คงพอใจ
ก็เลยเข็นตามไปติดๆ เป็นคนที่ 2 ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่ยังคงไม่พอ ขอเพิ่มอีกคน
จึงเรียนเชิญนางเลี้ยวเข้าไปเปิดกระเป๋าเช่นเดียวกัน
ส่วนอีก 10 ชีวิตที่เหลือนับจากนั้นก็ชิลล์ค่ะ เดินเข็นกันมาตามสบาย
พอออกมาจาก Gate ก็จะเจอเอเจนซี่ฝั่งอเมริกามารอรับค่ะ
ตรงนี้ก็มีการเช็คชื่อกันใครมาไม่มา เดินตามใครไปรึเปล่า อะไรยังไง
พอเช็คชื่อเสร็จเรากับเพื่อนก็ไปเข้าห้องน้ำค่ะ
อันนี้เจอ Culture Shock สเตปแรกเลย คือห้องน้ำเมืองลุงแซมมันแบบมัน...
คือ ระยะห่างระหว่างประตูห้องน้ำและวงกบมันกว้างมากอ่ะค่ะ (นึกภาพออกมั้ยคะคุณๆ)
คือกว้างแบบเกือบนิ้วอ่ะคุณ คือคุณไม่ต้องเอาหน้ามาส่อง แค่คุณเดินผ่านแล้วหันมามอง คุณก็เห็นแล้ว ว่าอิฉันทำอะไรอยู่
เอาฟะ เราอาจเข้าผิดห้อง ประตูห้องนี้อาจพังอยู่
เปลี่ยนห้อง เปลี่ยนห้อง เฮ้ยยยยย ไม่ใช่แระ มันถูกออกแบบมาให้มีช่องว่างแบบนี้จริงๆ ฟ่ะ (ขออนุญาตหยาบคาย)
ก็เลยต้องอาศัยนั่งทำธุระเอียงๆ สักหน่อย
พอออกมาจากห้องน้ำ น้องว่าที่คุณหมอก็ออกมา และสักพักนึงก็ตามมาด้วยแม่นางกุนเชียง
นางทำหน้า Proud และบอกว่า เรามีกุนเชียงกินแล้วโว้ยยย
คือเจ้าหน้าที่เปิดดูแค่ 2 ชั้นบน แต่แม่นางเอากุนเชียงซ่อนไว้ล่างสุดไง
เขาเปิดไปไม่ถึง จ๊ะ ดีใจด้วยนะจ๊ะคุณเธอ
---
Work and Travel at Six Flags America ประสบการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ
หลังจากนั่งครึ้มอกครึ้มใจอ่านกระทู้แชร์ประสบการณ์ของคนนั้น คนนี้ในพันทิป
ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยเขียนแชร์ประสบการณ์นี้ในบอร์ดพันทิปเก่าอยู่เหมือนกัน (เก่ามากเลยนะนั่น)
แต่ด้วยความขี้เกียจ และงานที่ยุ่งจนเกินไป เลยทำให้หยุดเขียนไปกลางทาง
วันนี้ได้ฤกษ์อารมณ์ดี อู้งาน เลยคิดว่าอยากที่จะเอากลับมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านค่ะ
เพราะฉะนั้นใครที่อ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ แสดงว่าคุณ “แก่” แล้วนะคะ (ฮ่า ฮ่า)
*ขอเริ่มเล่าใหม่ทั้งหมดนะคะ*
---
โดยเราตั้งใจที่จะเขียนแชร์ประสบการณ์การไป Work&Travel ที่อเมริกาค่ะ
เราไปมานานแล้ว แต่เชื่อว่าประสบการณ์ต่างๆ ในเวลา 4 เดือนที่อเมริกานั้น
ช่วยเราในทุกวันนี้ได้มากค่ะ เรียกได้ว่าเปลี่ยนเราไปเป็นอีกคนเลยทีเดียว
เลยอยากเอามาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ
---
ขออนุญาตข้ามขั้นตอนการทำเอกสาร, หา Agency ไปเลยแล้วกันเนอะ
โดยเราไปทำงานที่ Six Flags America ค่ะ โดยตอนสมัครงานเอเจนซี่เราจั่วหัวว่า Six Flags DC (จริงๆ แล้วพี่ในเอเจนซี่พูดว่า Six Flags DC ค่ะ)
ซึ่งงานนี้กะเหรี่ยงมั่นใจอย่างแรงว่า เราจะได้ไปเฉิดฉายที่เมืองหลวงของอเมริกาเป็นแน่แท้
แต่ปรากฎว่าสวนสนุก Six Flags America หรือ Six Flags DC ที่เราและผองเพื่อนเชื่อมั่น
ตั้งอยู่ในรัฐ Maryland ค่ะคุณๆ ตอนรู้ความจริงนี่น้ำตาจะไหลเลยทีเดียว (อิฉันรักดราม่าเป็นชีวิตจิตใจค่ะ)
คือจริงๆ พอยท์ตรงนี้อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่า เราควรเตรียมตัวหาข้อมูลกันไปบ้างก่อนบินนะคะ
อย่ามโนเหมือนพี่ ที่คิดว่าจะได้ไปเดินเฉิดฉายสวยๆ ในเมืองหลวงของอเมริกา
เอาล่ะค่ะ ก่อนจะเพ้อกันไปมากกว่านี้ เราขอเข้าเรื่องโดยการเริ่มต้นจากสนามบินแล้วกันเนอะ
การจะเดินทางไป Six Flags ที่เรามโนว่าอยู่ DC นั้นต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบิน Washington Dulles International Airport ที่ตั้งอยู่ใน เวอร์จิเนียค่ะ
โดยเรานั่งสายการบิน All Nippon Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่นก่อน
โดยเราโชคดีที่มีพี่จากเอเจนซี่ไปด้วย 1 คน แต่เสียดายที่ขุ่นพี่เป็นผู้หญิง ก็เลยไม่อินเท่าไหร่(วัยรุ่นเซ็งสุดๆ)
นั่งเครื่องบินด้วยความทรหด ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามทวีป ข้ามไทม์โซน ข้ามอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ก็มาถึงแว้ววว (ขออนุญาตวิบัติเพื่อความอิน) อเมริกาที่เราใฝ่ฝัน
โดยความตื่นเต้นเริ่มขึ้นเมื่อ หนึ่งในคณะร่วมทริปของเรา แม่นางเอากุนเชียงมา 3 เส้น
ปากนางบอกว่าไม่รู้ว่าเข้าห้าม แต่สีหน้านางดู Proud สุดๆ (เอ๊ะ ยังไง)
และด้วยความเป็นพี่ที่ดี (คือแกงค์เราแก่ที่สุดในรุ่นนั้นแล้วค่ะ เป็นเด็กปี 4 ที่เรียนจบแล้วทุกคนเลย)
ก็บีบบังคับให้น้องผู้ชายผู้น่ารักว่าที่คุณหมอ เข็นกระเป๋าผ่านด่านไปก่อนเป็นคนแรก
แน่นอนค่ะ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นกะเหรี่ยงมาใช้แรงงาน ขนกระเป๋ามาใบเบ้อเริ่ม ก็เรียนเชิญน้องว่าที่คุณหมอไปเปิดกระเป๋าสักหน่อย
เพื่อนเราเห็นน้องโดนเรียกแล้ว คิดว่าเจ้าหน้าที่คงพอใจ
ก็เลยเข็นตามไปติดๆ เป็นคนที่ 2 ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่ยังคงไม่พอ ขอเพิ่มอีกคน
จึงเรียนเชิญนางเลี้ยวเข้าไปเปิดกระเป๋าเช่นเดียวกัน
ส่วนอีก 10 ชีวิตที่เหลือนับจากนั้นก็ชิลล์ค่ะ เดินเข็นกันมาตามสบาย
พอออกมาจาก Gate ก็จะเจอเอเจนซี่ฝั่งอเมริกามารอรับค่ะ
ตรงนี้ก็มีการเช็คชื่อกันใครมาไม่มา เดินตามใครไปรึเปล่า อะไรยังไง
พอเช็คชื่อเสร็จเรากับเพื่อนก็ไปเข้าห้องน้ำค่ะ
อันนี้เจอ Culture Shock สเตปแรกเลย คือห้องน้ำเมืองลุงแซมมันแบบมัน...
คือ ระยะห่างระหว่างประตูห้องน้ำและวงกบมันกว้างมากอ่ะค่ะ (นึกภาพออกมั้ยคะคุณๆ)
คือกว้างแบบเกือบนิ้วอ่ะคุณ คือคุณไม่ต้องเอาหน้ามาส่อง แค่คุณเดินผ่านแล้วหันมามอง คุณก็เห็นแล้ว ว่าอิฉันทำอะไรอยู่
เอาฟะ เราอาจเข้าผิดห้อง ประตูห้องนี้อาจพังอยู่
เปลี่ยนห้อง เปลี่ยนห้อง เฮ้ยยยยย ไม่ใช่แระ มันถูกออกแบบมาให้มีช่องว่างแบบนี้จริงๆ ฟ่ะ (ขออนุญาตหยาบคาย)
ก็เลยต้องอาศัยนั่งทำธุระเอียงๆ สักหน่อย
พอออกมาจากห้องน้ำ น้องว่าที่คุณหมอก็ออกมา และสักพักนึงก็ตามมาด้วยแม่นางกุนเชียง
นางทำหน้า Proud และบอกว่า เรามีกุนเชียงกินแล้วโว้ยยย
คือเจ้าหน้าที่เปิดดูแค่ 2 ชั้นบน แต่แม่นางเอากุนเชียงซ่อนไว้ล่างสุดไง
เขาเปิดไปไม่ถึง จ๊ะ ดีใจด้วยนะจ๊ะคุณเธอ
---