สืบเนื่องจากกระทู้
http://ppantip.com/topic/31773607
[CR]ลุงอ้วน กินกะเที่ยว 2014 ๑๑๑๑๑...San - Kyo - Dai...๑๑๑๑๑
ได้สร้างแรงบันดาลใจในการอยากกินซูชิเป็นอย่างมาก จึงไม่รอช้าไปตามรอยแดจังกึม เอ๊ย!!! ลุงอ้วนกันดีกว่า
งานนี้มีได้เสียกันแน่นอน แต่ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อทางเชฟกระซิบมาว่าเมื่อคืนลูกค้าล้นหลาม ทำให้อูนิหมดเกลี้ยง (อะไรนะ!!!)
พอได้ฟังเท่านั้น น้ำตาก็เริ่มไหล
เชฟเลยปลอบใจเบาๆ ว่า เดี๋ยวจัดเซทที่เน้นไปทางปลาเนื้อขาวขั้นเทพให้แทนละกัน
พอได้ฟังเท่านั้น ก็เอามือปาดน้ำตา
สูดหายใจลึกๆ พูดกับตัวเองว่า...
“เอาวะ!!! ไหนๆ ก็มาถึงร้านแล้ว จะปฏิเสธได้ไง”
(แอบเห็นสายตาเชฟมองมา ประมาณว่าไอ้นี่เป็นอะไร พูดอยู่คนเดียว...)
เขี่ยบอลกันด้วยเมนูแรก ซึ่งทางร้านบอกว่าเป็นโปรโมชั่น กับชุด San Sakana Sashimi ที่ประกอบด้วย มาได
แซลมอลนอร์เวย์ และเทนมิ แล่มาหนาบางกำลังดี ช่วงนี้ลด 40%
“มาได” จะออกเนื้อนุ่มๆ หวานๆ แต่ตรงหนังก็แอบกรุบๆ กรอบๆ เล็กน้อย
เชฟยังบอกอีกว่าเป็นปลากระพงแดงน้ำลึกญี่ปุ่น ปกติที่นู่นเขาไม่นิยมมาทอดน้ำปลา หรือราดพริกเท่าไหร่
เลยมาทำซูชิ ซาชิมิแทน (ประโยคหลังๆ ก็เติมเองเนอะคนเรา)
ต่อมาคือ “แซลมอล นอร์เวย์” มันๆ กำลังดี แต่ประเด็นคือมันสดมากไง อย่างฉ่ำ ป้ายวาซาบินิด จิ้มโชยุหน่อย
เคี้ยวนานๆ ค่อยๆให้รสชาติซึมผ่านตุ่มรับรสบนลิ้นทั้ง 6 หมื่นปุ่ม โอย ฟิน!!!
ตบท้ายด้วย “เทนมิ” เห็นเนื้อแดงแปร๊ดๆแบบนี้ แต่ก็แอบมีมันแทรกนะ ทานแล้วรู้สึกมันๆ กำลังดีเลย
เชฟบอกมาว่าที่มันมันมันเพราะมันคือเนื้อแดงของทูน่าส่วนที่ติดกับชูโทโร่ที่สุด (อะไรนะ!!!)
ทำให้มันมันแทรกด้านใน โดยร้านนี้จะใช้ Bluefin Tuna ทั้งหมด
หน้าตา Bluefin Tuna ก็หล่อเหลาประมาณนี้
"สวัสดีครับ ผมชื่อว่าบลูฟิน ฟินสมชื่อ"
ป้ายวาซาบิเล็กน้อย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของร้านนี้คือวาซาบิไม่เผ็ดฉุนแบบร้านอื่น
แต่มอบรสสัมผัสได้มากกว่า ถ้าร้านทั่วไป แสบขึ้นจมูกไปหมดแล้ว
ล้างปากด้วยชาเขียวเย็นแบบรีฟิล ดื่มแก้กระหายชื่นใจ
มาต่อด้วยซูชิปลาคาวาฮางิ เป็นปลาเนื้อขาว ที่เชฟบอกมาว่านานน๊านนนนนจะสั่งเข้ามาที
โดยข้างบนวางชิ้นตับของปลาตัวนี้ไปด้วย ได้รสชาติที่แปลกใหม่ โดยส่วนตับให้รสออกจัดๆ
ตัดกับเนื้อปลาที่ให้รสชาติออกหวานๆ
ต่อด้วยฮิราเมะ เอนกาวะ ซึ่งเป็นเอนกาวะสด ที่เอามีดคมๆ เฉือนอย่างพิถีพิถันจากครีบของปลาฮิราเมะ
(หรือเรียกสั้นๆว่า ตัด น่ะแหละ
) ทั้งสดทั้งเทพ แถมมีการขูดเปลือกส้มยูสุลงบนหน้าด้วย
เปรี้ยวแบบบางส้มจะเปลือกส้ม ผสมกับเนื้อหนึบๆ ของเอนกาวะได้อย่างลงตัว โอ คุณพระ!!!
ตามด้วยชิมาอาจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปลาทู ญาติห่างๆ กับปลาทูแม่กลอง
ที่ว่าห่างคือน้องแม่กลองหนักตัวละ 2-3 ขีด แต่พี่ชิมาอาจิแกล่อไปตัวละ 2-3 โล
เนื้อนี่แน่นปั้ก รสชาติกลมกล่อม ไม่ต้องหักคอ ไม่ต้องจับยัดเข่งนึ่ง
ไม่ต้องจิ้มน้ำพริกกะปิ (พอแล้ว!!!
) แค่โปะบนข่าว จิ้มโชยุ จบ
นี่เขากำลังทำอะไร มีลนไฟด้วย!!! หรือจะมีเมนูปลาเผา
ไม่ใช่เมนูแปลกใหม่ที่ไหน นอกเสียจากซูชิจานเด็ดของร้านนี้นี่เอง โฟกรา มัตซึซากะ เอนกาวะ
ที่ทานโดยไม่ต้องจิ้มอะไร บอกได้คำเดียวว่า อร๊างงง......เคี้ยวจนไม่อยากกลืน
แต่มันทำไม่ได้ เพราะยังเหลือเมนูอื่นอีกที่อยากลอง (กลั้นใจกลืนทั้งน้ำตา)
ว่าแล้วก็มาต่อด้วย แซลมอล อิคุระ เทมากิ ที่เนื้อแซลมอลอัดแน่นถึงปลายโคน
(ยังกะคอนเน็ตโต้เนื้อปลาแซลมอล) กัดทีนี่ไข่ไหล
อันนี้ทีเด็ด รอนานนิดนึง เพราะย่างให้ใหม่ๆ กับอุนางิ เท็นเน็น ปลาไหลจากธรรมชาติ
ย่างจนหนังกรอบ ที่ทานแล้วแทบไม่อยากกลับไปทานอุนางิแบบเดิมๆ
เสิร์ฟแบบควันโขมงโฉงเฉง เสียงลวกลิ้น ขอวางทิ้งไว้สักพักให้หายระอุก่อน
หมดโซนของคาว ก็ตบท้ายด้วยทามาโกะ สปองจ์ ฉลาดสุดๆ (ไม่ใช่ละ...)
เนื้อนุ่มละมุน แถมยังมีปลามีกุ้งแทรกในเนื้อสปอนซ์อีก (อ้าว ตกลงของคาวหรือของหวาน......ช่างมัน อร่อยจนลืมของคาวหวาน)
รวมค่าเสียหายของคืนนั้น เจ็บแต่จบ ฟินกันไป
แต่เดี๋ยว ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีของหวาน ได้แก่ ไอติมคิทแคทชาเขียว
ฟังไม่ผิด ไม่ใช่ไอติมชาเขียว ไม่ใช่ไอติมคิทแคท แต่เป็นไอติมที่ทำจาก คิทแคทชาเขียว
ได้ทั้งรสชาเขียว ได้ทั้งความกรอบๆ หวานๆ ของคิทแคท
เดินออกจากร้านมาแบบตัวเบา กระเป๋าฉีก และความฟินที่มาเป็นระลอกๆ ขอบอกเลยว่าร้านนี้ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน สำหรับคอซูชิซาชิมิ ไว้มีโอกาส จะกลับมากินใหม่แน่นอน (ขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงิน ณ ขณะนั้นด้วย)
สวัสดี
[CR] ตามรอยลุงอ้วน @ San Kyo Dai
[CR]ลุงอ้วน กินกะเที่ยว 2014 ๑๑๑๑๑...San - Kyo - Dai...๑๑๑๑๑
ได้สร้างแรงบันดาลใจในการอยากกินซูชิเป็นอย่างมาก จึงไม่รอช้าไปตามรอยแดจังกึม เอ๊ย!!! ลุงอ้วนกันดีกว่า
งานนี้มีได้เสียกันแน่นอน แต่ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อทางเชฟกระซิบมาว่าเมื่อคืนลูกค้าล้นหลาม ทำให้อูนิหมดเกลี้ยง (อะไรนะ!!!)
พอได้ฟังเท่านั้น น้ำตาก็เริ่มไหล เชฟเลยปลอบใจเบาๆ ว่า เดี๋ยวจัดเซทที่เน้นไปทางปลาเนื้อขาวขั้นเทพให้แทนละกัน
พอได้ฟังเท่านั้น ก็เอามือปาดน้ำตา สูดหายใจลึกๆ พูดกับตัวเองว่า...
“เอาวะ!!! ไหนๆ ก็มาถึงร้านแล้ว จะปฏิเสธได้ไง” (แอบเห็นสายตาเชฟมองมา ประมาณว่าไอ้นี่เป็นอะไร พูดอยู่คนเดียว...)
เขี่ยบอลกันด้วยเมนูแรก ซึ่งทางร้านบอกว่าเป็นโปรโมชั่น กับชุด San Sakana Sashimi ที่ประกอบด้วย มาได
แซลมอลนอร์เวย์ และเทนมิ แล่มาหนาบางกำลังดี ช่วงนี้ลด 40%
“มาได” จะออกเนื้อนุ่มๆ หวานๆ แต่ตรงหนังก็แอบกรุบๆ กรอบๆ เล็กน้อย
เชฟยังบอกอีกว่าเป็นปลากระพงแดงน้ำลึกญี่ปุ่น ปกติที่นู่นเขาไม่นิยมมาทอดน้ำปลา หรือราดพริกเท่าไหร่
เลยมาทำซูชิ ซาชิมิแทน (ประโยคหลังๆ ก็เติมเองเนอะคนเรา)
ต่อมาคือ “แซลมอล นอร์เวย์” มันๆ กำลังดี แต่ประเด็นคือมันสดมากไง อย่างฉ่ำ ป้ายวาซาบินิด จิ้มโชยุหน่อย
เคี้ยวนานๆ ค่อยๆให้รสชาติซึมผ่านตุ่มรับรสบนลิ้นทั้ง 6 หมื่นปุ่ม โอย ฟิน!!!
ตบท้ายด้วย “เทนมิ” เห็นเนื้อแดงแปร๊ดๆแบบนี้ แต่ก็แอบมีมันแทรกนะ ทานแล้วรู้สึกมันๆ กำลังดีเลย
เชฟบอกมาว่าที่มันมันมันเพราะมันคือเนื้อแดงของทูน่าส่วนที่ติดกับชูโทโร่ที่สุด (อะไรนะ!!!)
ทำให้มันมันแทรกด้านใน โดยร้านนี้จะใช้ Bluefin Tuna ทั้งหมด
หน้าตา Bluefin Tuna ก็หล่อเหลาประมาณนี้
"สวัสดีครับ ผมชื่อว่าบลูฟิน ฟินสมชื่อ"
ป้ายวาซาบิเล็กน้อย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของร้านนี้คือวาซาบิไม่เผ็ดฉุนแบบร้านอื่น
แต่มอบรสสัมผัสได้มากกว่า ถ้าร้านทั่วไป แสบขึ้นจมูกไปหมดแล้ว
ล้างปากด้วยชาเขียวเย็นแบบรีฟิล ดื่มแก้กระหายชื่นใจ
มาต่อด้วยซูชิปลาคาวาฮางิ เป็นปลาเนื้อขาว ที่เชฟบอกมาว่านานน๊านนนนนจะสั่งเข้ามาที
โดยข้างบนวางชิ้นตับของปลาตัวนี้ไปด้วย ได้รสชาติที่แปลกใหม่ โดยส่วนตับให้รสออกจัดๆ
ตัดกับเนื้อปลาที่ให้รสชาติออกหวานๆ
ต่อด้วยฮิราเมะ เอนกาวะ ซึ่งเป็นเอนกาวะสด ที่เอามีดคมๆ เฉือนอย่างพิถีพิถันจากครีบของปลาฮิราเมะ
(หรือเรียกสั้นๆว่า ตัด น่ะแหละ) ทั้งสดทั้งเทพ แถมมีการขูดเปลือกส้มยูสุลงบนหน้าด้วย
เปรี้ยวแบบบางส้มจะเปลือกส้ม ผสมกับเนื้อหนึบๆ ของเอนกาวะได้อย่างลงตัว โอ คุณพระ!!!
ตามด้วยชิมาอาจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปลาทู ญาติห่างๆ กับปลาทูแม่กลอง
ที่ว่าห่างคือน้องแม่กลองหนักตัวละ 2-3 ขีด แต่พี่ชิมาอาจิแกล่อไปตัวละ 2-3 โล
เนื้อนี่แน่นปั้ก รสชาติกลมกล่อม ไม่ต้องหักคอ ไม่ต้องจับยัดเข่งนึ่ง
ไม่ต้องจิ้มน้ำพริกกะปิ (พอแล้ว!!! ) แค่โปะบนข่าว จิ้มโชยุ จบ
นี่เขากำลังทำอะไร มีลนไฟด้วย!!! หรือจะมีเมนูปลาเผา
ไม่ใช่เมนูแปลกใหม่ที่ไหน นอกเสียจากซูชิจานเด็ดของร้านนี้นี่เอง โฟกรา มัตซึซากะ เอนกาวะ
ที่ทานโดยไม่ต้องจิ้มอะไร บอกได้คำเดียวว่า อร๊างงง......เคี้ยวจนไม่อยากกลืน
แต่มันทำไม่ได้ เพราะยังเหลือเมนูอื่นอีกที่อยากลอง (กลั้นใจกลืนทั้งน้ำตา)
ว่าแล้วก็มาต่อด้วย แซลมอล อิคุระ เทมากิ ที่เนื้อแซลมอลอัดแน่นถึงปลายโคน
(ยังกะคอนเน็ตโต้เนื้อปลาแซลมอล) กัดทีนี่ไข่ไหล
อันนี้ทีเด็ด รอนานนิดนึง เพราะย่างให้ใหม่ๆ กับอุนางิ เท็นเน็น ปลาไหลจากธรรมชาติ
ย่างจนหนังกรอบ ที่ทานแล้วแทบไม่อยากกลับไปทานอุนางิแบบเดิมๆ
เสิร์ฟแบบควันโขมงโฉงเฉง เสียงลวกลิ้น ขอวางทิ้งไว้สักพักให้หายระอุก่อน
หมดโซนของคาว ก็ตบท้ายด้วยทามาโกะ สปองจ์ ฉลาดสุดๆ (ไม่ใช่ละ...)
เนื้อนุ่มละมุน แถมยังมีปลามีกุ้งแทรกในเนื้อสปอนซ์อีก (อ้าว ตกลงของคาวหรือของหวาน......ช่างมัน อร่อยจนลืมของคาวหวาน)
รวมค่าเสียหายของคืนนั้น เจ็บแต่จบ ฟินกันไป
แต่เดี๋ยว ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีของหวาน ได้แก่ ไอติมคิทแคทชาเขียว
ฟังไม่ผิด ไม่ใช่ไอติมชาเขียว ไม่ใช่ไอติมคิทแคท แต่เป็นไอติมที่ทำจาก คิทแคทชาเขียว
ได้ทั้งรสชาเขียว ได้ทั้งความกรอบๆ หวานๆ ของคิทแคท
เดินออกจากร้านมาแบบตัวเบา กระเป๋าฉีก และความฟินที่มาเป็นระลอกๆ ขอบอกเลยว่าร้านนี้ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน สำหรับคอซูชิซาชิมิ ไว้มีโอกาส จะกลับมากินใหม่แน่นอน (ขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงิน ณ ขณะนั้นด้วย)
สวัสดี
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น