ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดีและขอแจงสักหน่อย ว่านิยายเรื่องนี้เคยนำมาลงไว้ที่ถนนนักเขียนเมื่อนานมาแล้ว
และได้หยุดไปเมื่อลงได้สิบกว่าตอน หากยังมีนักอ่านที่จำกันได้ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่ไม่ได้แจ้งอะไรไว้เลยให้ติดตาม
ก็มีลงบล็อคแก็งค์ไว้นะคะ แต่ค่อนข้างจะงงกับระบบ เลยไม่ได้ลงต่อ ค้างไว้เท่ากับที่เคยลงในถนนนักเขียนนี่แหละค่ะ
ตอนนี้เขียนจบ(ภาค)แล้วอยู่ระหว่างรีไรต์เตรียมส่งสนพ.เพื่อขอรับการพิจารณา
เลยขอนำฉบับที่ปรับปรุงเสร็จแล้วมาลงให้อ่านกันเพื่อรับทราบความคิดเห็นและขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ขอฝากตัวด้วยนะคะ ^_^
บทที่ 1
นานมาแล้ว ณ ดินแดนซึ่งยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นไอของเวทมนตร์และคาถา ดินแดนที่พ่อมดและแม่มดหาใช่สิ่งที่ถูกตีตราว่าชั่วร้าย หากแต่เป็นบุคคลที่ประชาชนทั่วไปให้ความนับถือในฐานะของจอมเวท พวกเขารวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีชื่อว่ากิลด์เมสทิค เพื่อคอยควบคุมเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์และรับบริการจากข้อร้องขอของผู้คนโดยแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทน มิได้ใช้เวทมนตร์เพียงเพื่อตัวเองอีกต่อไป
เมื่อเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์สอบผ่านหลักสูตรจะได้รับใบประกาศและการบรรจุเข้าสู่สถานะของพ่อมดและแม่มดอย่างแท้จริง หลังจากนั้นจะกระจายกันไปยังดินแดนต่าง ๆ ตามแต่ใครจะปรารถนา บางส่วนเข้าทำงานกับกิลด์เมสทิค แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะขึ้นตรงต่อตนเอง
หากภายในน้ำใสก็ใช่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์เสมอไป จะอย่างไรในหมู่ผู้ใช้เวทมนตร์นั้นก็ไม่ได้มีแต่คนที่จะทำตามกฎบทบัญญัติแห่งกิลด์เมสทิคอย่างสัตย์ซื่อ จึงได้มีการแต่งตั้งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคขึ้นมาเพื่อคอยแฝงตัวตรวจหาผู้กระทำผิดแล้วนำตัวมาลงโทษ ทั้งยังเป็นการกำราบมิให้ใครใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิดอีกด้วย
ถึงกระนั้น...ความหอมหวนอันชั่วร้ายก็ยังไม่วายล่อลวงให้มนุษย์ผู้หลงผิดต้องเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดมน
*/*/*/*/*
สตรีนางหนึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้มสวมทับด้วยผ้าคลุมสีทึบนั่งกระสับกระส่ายอยู่ภายในร้านค้าเวทมนตร์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากภายในเมืองไปไม่ไกลนัก
ทั้งที่เป็นยามวิกาล อากาศนั้นค่อนข้างเย็น ทว่าไม่ทำให้ความร้อนรุ่มภายในใจบรรเทาเบาบางลงได้เลย นางขยับกระชับผ้าคลุมศีรษะอยู่ตลอดเวลาราวกับกลัวว่าใครจะเห็นหน้าแล้วจดจำได้ถึงฐานะของตน
อากัปกิริยาทั้งหมดนั้นเรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฏยังมุมปากของบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“วันนี้ข้าไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกไปจากท่าน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามาเห็นหรอก ท่านหญิงเอลิเซีย” พ่อมดผู้เป็นเจ้าของร้านค้าเวทมนตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เพื่อเป็นการประกันชื่อเสียงของลูกค้า ในหนึ่งวันเขาจะรับเรื่องร้องขอจากลูกค้าเพียงรายเดียว และแขวนป้ายปิดบริการพร้อมกับลงอาคมมิให้ใครลอบเข้ามาก้าวก่ายในงานของตนได้ ซึ่งนั่นก็เพื่อประกันความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน
ท่านหญิงเอลิเซียลดผ้าคลุมศีรษะลงอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองผสมผสานกับความโกรธแค้นและมีริ้วรอยของความกังวลก้มลงต่ำ นางยังไม่แน่ใจในความคิดของตนนัก ว่าดีแล้วหรือที่นำพาตัวเองเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ ทว่าเมื่อนึกถึงความเจ็บแค้นในใจ นางก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับไปเป็นอันขาด
“ข้าอ่านคำขอของท่านแล้ว อยากให้สังหารสตรีผู้นี้สินะ” พ่อมดวางจดหมายของเอลิเซียลงตรงกลางโต๊ะ ในซองจดหมายนั้นมีเพียงกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กที่เขียนคำขอกับชื่อของบุคคลผู้หนึ่ง
“ท่านไปจ้างมือสังหารจะไม่ดีกว่าหรือ”
“ข้าอยากให้นางเพื่อนแพศยานั่นตายอย่างทรมาน น่าอับอายและน่าสมเพชเวทนาอย่างที่สุด” สายตายามเอ่ยคำขอนั้นทอประกายกร้าวน่ากลัว หากเมื่อกล่าวประโยคต่อมาน้ำเสียงกลับสั่นเครือจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ “และ... และข้า... อยากให้เขาคนนั้นกลับมาหาข้า ข้าอยากได้เขาคืนมา ท่านพ่อมด... ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถทำได้ ท่านจะทำให้ข้าใช่ไหม”
ท่านหญิงโผเข้าเกาะแขนทั้งสองข้างของพ่อมดหนุ่มวัยฉกรรจ์เอาไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการจะให้เขากล่าวคำปฏิเสธออกมา
ผู้ค้าเวทมนตร์หรี่ตามองหญิงสาว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงไม่หายไปจากมุมปาก เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้นางและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“คำสาปสังหารกับเวทชักจูงใจ ท่านรู้ไหมว่ามันผิดต่อกฎของผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งสองข้อ”
“ข้ารู้... ” เอลิเซียตอบ “และท่านก็รับทำตามข้อร้องขอนี้มาแล้วมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นท่านก็คงรู้ใช่ไหมว่าค่าตอบแทนต่อข้อร้องขอนี้ราคาสูงและข้าไม่ได้รับแต่เงินเท่านั้น”
ท่านหญิงเอลิเซียเม้มเรียวปากอวบอิ่มสีแดงสดจนแทบจะเป็นเส้นตรงก่อนพยักหน้า
“รู้แล้วอย่างนี้ก็ดี“
พ่อมดหนุ่มยิ้มร่าแล้วจึงกล่าวเชิญนางเข้าไปยังห้องทำพิธีกรรม
ผ้าม่านสีทึบซึ่งผูกกั้นบานประตูเอาไว้ถูกปลดลงทันทีที่เอลิเซียก้าวเท้าเข้าไป ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียนหกเล่มซึ่งตั้งไว้ในแต่ละจุดของวงเวทที่เขียนเป็นลวดลายอ่อนช้อยซ้อนทับสลับกันไว้บนพื้น
หญิงสาวเหลือบมองพ่อมดซึ่งเดินเลี่ยงไปยังชั้นวางของเตรียมพิธีแล้วจึงกวาดมองไปรอบห้องพร้อมกับถอนหายใจ
หากเลือกได้...นางก็ไม่อยากทำนักหรอก
คนหนึ่งนั้นเป็นอดีตเพื่อนรัก ส่วนอีกคนก็เป็นดั่งดวงใจ หากทั้งสองไม่ได้ทรยศนาง ก็คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้
เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าอยากอภัยและขอให้ทั้งสองมีความสุข ทว่าตัวนางที่กำลังหลงวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง ความเศร้าและความโกรธแค้นกลับไม่เห็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์นอกจากจะทำให้คนสารเลวทั้งสองนั้นได้พบกับความพินาศย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา
ทั้งที่เคยอดทนต่อความทุกข์ยากสาหัสมาได้โดยตลอด ทว่านางอดทนต่อความเจ็บแค้นในใจไม่ได้ วันนี้ท่านหญิงเอลิเซียจึงไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว
“ท่านมีสิ่งของส่วนตัวของสองคนนั่นไหม” พ่อมดถามโดยไม่ละสายตาจากหม้อดินเผาขนาดย่อมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุมหนึ่งของห้องอันมืดสลัว เขากำลังเทส่วนผสมอะไรบางอย่างลงไปในนั้น และทั้งที่หม้อไม่ได้ตั้งอยู่บนเตาไฟกลับมีควันและกลิ่นหอมประหลาดลอยกรุ่นออกมา
“มีค่ะ” เอลิเซียซึ่งเพิ่งถูกดึงออกจากห้วงภวังค์ละล่ำละลักบอก นางหยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าถือด้วยท่าทางลนลานและนำไปมอบให้ถึงมือของพ่อมด
มันเป็นผ้าเช็ดหน้ากับหวีสับที่ประดิษฐ์อย่างประณีตงดงาม หญิงร้ายชายเลวคู่นั้นเคยลืมทิ้งเอาไว้ที่บ้านของนางตอนที่ไปร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายอันสดใส ไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นจะมีแต่วันที่เลวร้ายสำหรับนาง
พ่อมดใช้ไม้พายคนของเหลวภายในหม้อดินเผาแล้วร่ายมนต์ด้วยท่วงทำนองสม่ำเสมอโดยไม่รู้สึกถึงบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นส่วนเกินที่รุกล้ำอาณาเขตเข้ามา เมื่อเวทมนตร์ร่ายมาจนถึงบทสุดท้ายเขาจึงหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งเตรียมหย่อนลงไปในหม้อซึ่งใช้สำหรับสร้างคำสาป ชั่วจังหวะนั้นเองที่หางตาพ่อมดพลันเห็นประกายแสงวูบหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามา เขากระโดดถอยหลังหลบในทันที
ประกายแสงนั้นพุ่งปะทะหม้อดินจนแตกกระจาย ของเหลวเหนียวข้นสีคล้ำสาดกระเซ็นไปโดยรอบ ส่วนหนึ่งกระเซ็นไปโดนเอลิเซียซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันและไม่ทันรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจึงไม่ได้หลบ นางกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนสาด หญิงสาวเบิกตากว้างมองแขนตัวเองที่ถูกของเหลวสีคล้ำกัดจนเปื่อยยุ่ยกลายเป็นแผลเหวอะหวะสร้างความทรมานจนน้ำตาไหลพราก
“นี่ข้าคงมาขัดจังหวะอะไรไปแล้วสินะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเกือบเรียบสนิท หากก็ทำให้พ่อมดเบิกตาโพลงมองไปยังอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างระแวดระวัง ประตูทางเข้าทุกด้านนั้นลั่นดาลและลงคาถาเอาไว้แล้วจึงไม่น่าที่จะมีใครผ่านเข้ามาได้
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” พ่อมดถามด้วยน้ำเสียงเครียดข นัยน์ตาของเขาจ้องอีกฝ่ายจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
บุรุษนิรนามในชุดคลุมสีดำเพียงแย้มยิ้มอย่างเบาบางพลางปรายตาไปยังหญิงสาวซึ่งล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานแล้วจึงหันกลับไปยังพ่อมดอีกครั้ง รอยยิ้มบางค่อย ๆ จางไปจากใบหน้า
“สิ่งนี้คงพอจะบอกสถานะของข้าได้กระมัง” เขาพูดพร้อมกับหยิบเหรียญโลหะขนาดครึ่งฝ่ามือสลักลวดลายอ่อนช้อยเกี่ยวกระหวัดซ้อนทับกันจนเป็นวงเวทออกมาชูให้อีกฝ่ายดู
“เจ้าคือผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิค! “
จอมเวทผู้มีชนักปักร่างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับถอยหลังไปครึ่งก้าว คิดไม่ถึงว่าเรื่องของตนจะส่งกลิ่นไปถึงองค์กรได้อย่างรวดเร็วนัก
“เจ้าใช้เวทมนตร์ในเรื่องที่ไม่สมควร หลอกลวงผู้อื่นด้วยเวทชักจูงใจ กลับไปรับโทษที่องค์กรเสียดี ๆ เถอะ”
“เรื่องอะไรข้าจะยอมถูกจับง่าย ๆ “ พ่อมดซึ่งแปรสถานะไปเป็นผู้ต้องหาอย่างกะทันหันเอ่ยลอดไรฟัน เขายกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมร่ายคาถา หากยังช้าเกินไป
ลำแสงสีแดงทอดเป็นเส้นยาวพุ่งตรงเข้าหาผู้กระทำความผิดก่อนม้วนรัดพันร่างของเขา พ่อมดขยับขลุกขลักพยายามดิ้นรนให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ ทว่าก็ไร้ผล
“ยังอ่อนหัดไปนัก” ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคกล่าวอย่างทอดถอนใจพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา “เจ้าคิดว่าข้าต้องรับมือผู้กระทำผิดกฎมาแล้วเท่าไหร่กัน”
ผู้คุมกฎโบกมือขึ้นครั้งหนึ่งพร้อมกับพึมพำร่ายคาถาสั้น ๆ ควันสีขาวพลันพวยพุ่งขึ้นห่อหุ้มร่างของพ่อมดผู้ค้าเวทมนตร์ผิดกฎ เพียงชั่วอึดใจกลุ่มควันนั้นก็ค่อย ๆ หดตัวลงราวกับถูกดูดเข้าสู่ใจกลางกลุ่มก้อนควันขาวจนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงหนูขาวตัวจิ๋วเข้ามายืนอยู่แทนที่ในตำแหน่งเดียวกับที่พ่อมดเคยยืนอยู่ ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคจับเจ้าหนูตัวนั้นใส่เข้าไปในกรงโลหะรูปโดมซึ่งเขาเสกมันขึ้นมาเมื่อครู่
ดวงเนตรคมสีน้ำเงินส่องประกายวาวสีม่วงแปลกตาตวัดหันไปจ้องหญิงสาวที่ยังนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ถึงจะรู้สึกทรมานจนแทบสิ้นสติแต่ท่านหญิงก็ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขาย่างเท้าเข้ามาใกล้
“น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่ความหวังของท่านจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก” ผู้คุมกฎพูดพร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะแผ่วบนใบหน้านาง รอยยิ้มเบาบางบนเรียวปากฉาบไปด้วยความเวทนา เขาร่ายคาถาสั้น ๆ บทหนึ่งลำแสงสีน้ำเงินพลันอาบไปทั่วร่างเอลิเซียแล้วความเจ็บปวดทั้งปวงก็บรรเทาเบาลง
“ข้ารักษาบาดแผลและพิษที่ไหลเวียนอยู่ในตัวท่านไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยระงับความเจ็บปวดเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
เอลิเซียลุกขึ้นนั่งมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดของตนด้วยกายสั่นระริก นางอยากจะอ้าปากบอกขอบคุณเขาแต่เมื่อเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายก็ต้องหุบปากลงทันที
“ท่านว่าจ้างพ่อมดให้ใช้เวทมนตร์บังคับชักจูงใจและสร้างคำสาปร้ายเพื่อสังหารผู้อื่น แม้ว่าเขาจะทำตามคำร้องขอของท่านไม่สำเร็จ แต่นั่นก็นับมีความผิดแล้ว ท่านจึงต้องไปรับโทษที่กิลด์เมสทิคเช่นกัน” กล่าวจบแล้วผู้คุมกฎก็ร่ายคาถาเกิดเป็นควันขาวขึ้นมาเช่นเดียวกับพ่อมดก่อนหน้านี้ ท่านหญิงเอลิเซียซึ่งกลายเป็นหนูขาวถูกจับใส่กรงใบเดียวกันกับพ่อมด เขามองหนูขาวทั้งสองในกรงแล้วเอ่ยเบา ๆ “อย่างน้อยถึงจะต้องได้รับโทษ แต่อยู่ที่องค์กรเวทมนตร์แล้วพวกเขาก็คงจะรักษาบาดแผลให้ท่านได้ล่ะนะ”
จบงานแล้วผู้คุมกฎก็ถอนหายใจเบา ๆ เขาเดินไปที่ประตูทางเข้าร้านแล้วส่งกรงให้ชายอีกคนซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกพร้อมกับกล่าว “ฝากที่เหลือด้วยนะ”
“เรียบร้อยแล้วสินะครับ ท่านคิสเซ่” เขาเอ่ยพร้อมกับรับกรงบรรจุหนูขาวทั้งสองตัวมาไว้ในมือ ทว่าไม่ได้รีบลาจากไปเหมือนทุกครั้ง
“ได้ยินว่าท่านลาพัก จะไปไหนหรือครับ” ผู้คุมนักโทษชะงักเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขออภัย...ข้าไม่ควรถาม”
ผู้คุมกฎยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนตอบ
“ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสักหน่อยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย และหวังว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกในเร็ววัน”
เรมิเรส คิสเซ่ หนึ่งในผู้ดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะลงก่อนที่คนส่งตัวนักโทษจะจากไป เขาพึมพำคำหนึ่งออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปไกลมากแล้ว
“ข้าก็หวังว่าจะมีวันที่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งนี้อีกเช่นกัน”
เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 1 - 2
และได้หยุดไปเมื่อลงได้สิบกว่าตอน หากยังมีนักอ่านที่จำกันได้ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่ไม่ได้แจ้งอะไรไว้เลยให้ติดตาม
ก็มีลงบล็อคแก็งค์ไว้นะคะ แต่ค่อนข้างจะงงกับระบบ เลยไม่ได้ลงต่อ ค้างไว้เท่ากับที่เคยลงในถนนนักเขียนนี่แหละค่ะ
ตอนนี้เขียนจบ(ภาค)แล้วอยู่ระหว่างรีไรต์เตรียมส่งสนพ.เพื่อขอรับการพิจารณา
เลยขอนำฉบับที่ปรับปรุงเสร็จแล้วมาลงให้อ่านกันเพื่อรับทราบความคิดเห็นและขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ขอฝากตัวด้วยนะคะ ^_^
บทที่ 1
นานมาแล้ว ณ ดินแดนซึ่งยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นไอของเวทมนตร์และคาถา ดินแดนที่พ่อมดและแม่มดหาใช่สิ่งที่ถูกตีตราว่าชั่วร้าย หากแต่เป็นบุคคลที่ประชาชนทั่วไปให้ความนับถือในฐานะของจอมเวท พวกเขารวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีชื่อว่ากิลด์เมสทิค เพื่อคอยควบคุมเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์และรับบริการจากข้อร้องขอของผู้คนโดยแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทน มิได้ใช้เวทมนตร์เพียงเพื่อตัวเองอีกต่อไป
เมื่อเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์สอบผ่านหลักสูตรจะได้รับใบประกาศและการบรรจุเข้าสู่สถานะของพ่อมดและแม่มดอย่างแท้จริง หลังจากนั้นจะกระจายกันไปยังดินแดนต่าง ๆ ตามแต่ใครจะปรารถนา บางส่วนเข้าทำงานกับกิลด์เมสทิค แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะขึ้นตรงต่อตนเอง
หากภายในน้ำใสก็ใช่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์เสมอไป จะอย่างไรในหมู่ผู้ใช้เวทมนตร์นั้นก็ไม่ได้มีแต่คนที่จะทำตามกฎบทบัญญัติแห่งกิลด์เมสทิคอย่างสัตย์ซื่อ จึงได้มีการแต่งตั้งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคขึ้นมาเพื่อคอยแฝงตัวตรวจหาผู้กระทำผิดแล้วนำตัวมาลงโทษ ทั้งยังเป็นการกำราบมิให้ใครใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิดอีกด้วย
ถึงกระนั้น...ความหอมหวนอันชั่วร้ายก็ยังไม่วายล่อลวงให้มนุษย์ผู้หลงผิดต้องเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดมน
*/*/*/*/*
สตรีนางหนึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้มสวมทับด้วยผ้าคลุมสีทึบนั่งกระสับกระส่ายอยู่ภายในร้านค้าเวทมนตร์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากภายในเมืองไปไม่ไกลนัก
ทั้งที่เป็นยามวิกาล อากาศนั้นค่อนข้างเย็น ทว่าไม่ทำให้ความร้อนรุ่มภายในใจบรรเทาเบาบางลงได้เลย นางขยับกระชับผ้าคลุมศีรษะอยู่ตลอดเวลาราวกับกลัวว่าใครจะเห็นหน้าแล้วจดจำได้ถึงฐานะของตน
อากัปกิริยาทั้งหมดนั้นเรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฏยังมุมปากของบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“วันนี้ข้าไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกไปจากท่าน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามาเห็นหรอก ท่านหญิงเอลิเซีย” พ่อมดผู้เป็นเจ้าของร้านค้าเวทมนตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เพื่อเป็นการประกันชื่อเสียงของลูกค้า ในหนึ่งวันเขาจะรับเรื่องร้องขอจากลูกค้าเพียงรายเดียว และแขวนป้ายปิดบริการพร้อมกับลงอาคมมิให้ใครลอบเข้ามาก้าวก่ายในงานของตนได้ ซึ่งนั่นก็เพื่อประกันความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน
ท่านหญิงเอลิเซียลดผ้าคลุมศีรษะลงอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองผสมผสานกับความโกรธแค้นและมีริ้วรอยของความกังวลก้มลงต่ำ นางยังไม่แน่ใจในความคิดของตนนัก ว่าดีแล้วหรือที่นำพาตัวเองเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ ทว่าเมื่อนึกถึงความเจ็บแค้นในใจ นางก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับไปเป็นอันขาด
“ข้าอ่านคำขอของท่านแล้ว อยากให้สังหารสตรีผู้นี้สินะ” พ่อมดวางจดหมายของเอลิเซียลงตรงกลางโต๊ะ ในซองจดหมายนั้นมีเพียงกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กที่เขียนคำขอกับชื่อของบุคคลผู้หนึ่ง
“ท่านไปจ้างมือสังหารจะไม่ดีกว่าหรือ”
“ข้าอยากให้นางเพื่อนแพศยานั่นตายอย่างทรมาน น่าอับอายและน่าสมเพชเวทนาอย่างที่สุด” สายตายามเอ่ยคำขอนั้นทอประกายกร้าวน่ากลัว หากเมื่อกล่าวประโยคต่อมาน้ำเสียงกลับสั่นเครือจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ “และ... และข้า... อยากให้เขาคนนั้นกลับมาหาข้า ข้าอยากได้เขาคืนมา ท่านพ่อมด... ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถทำได้ ท่านจะทำให้ข้าใช่ไหม”
ท่านหญิงโผเข้าเกาะแขนทั้งสองข้างของพ่อมดหนุ่มวัยฉกรรจ์เอาไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการจะให้เขากล่าวคำปฏิเสธออกมา
ผู้ค้าเวทมนตร์หรี่ตามองหญิงสาว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงไม่หายไปจากมุมปาก เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้นางและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“คำสาปสังหารกับเวทชักจูงใจ ท่านรู้ไหมว่ามันผิดต่อกฎของผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งสองข้อ”
“ข้ารู้... ” เอลิเซียตอบ “และท่านก็รับทำตามข้อร้องขอนี้มาแล้วมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นท่านก็คงรู้ใช่ไหมว่าค่าตอบแทนต่อข้อร้องขอนี้ราคาสูงและข้าไม่ได้รับแต่เงินเท่านั้น”
ท่านหญิงเอลิเซียเม้มเรียวปากอวบอิ่มสีแดงสดจนแทบจะเป็นเส้นตรงก่อนพยักหน้า
“รู้แล้วอย่างนี้ก็ดี“
พ่อมดหนุ่มยิ้มร่าแล้วจึงกล่าวเชิญนางเข้าไปยังห้องทำพิธีกรรม
ผ้าม่านสีทึบซึ่งผูกกั้นบานประตูเอาไว้ถูกปลดลงทันทีที่เอลิเซียก้าวเท้าเข้าไป ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียนหกเล่มซึ่งตั้งไว้ในแต่ละจุดของวงเวทที่เขียนเป็นลวดลายอ่อนช้อยซ้อนทับสลับกันไว้บนพื้น
หญิงสาวเหลือบมองพ่อมดซึ่งเดินเลี่ยงไปยังชั้นวางของเตรียมพิธีแล้วจึงกวาดมองไปรอบห้องพร้อมกับถอนหายใจ
หากเลือกได้...นางก็ไม่อยากทำนักหรอก
คนหนึ่งนั้นเป็นอดีตเพื่อนรัก ส่วนอีกคนก็เป็นดั่งดวงใจ หากทั้งสองไม่ได้ทรยศนาง ก็คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้
เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าอยากอภัยและขอให้ทั้งสองมีความสุข ทว่าตัวนางที่กำลังหลงวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง ความเศร้าและความโกรธแค้นกลับไม่เห็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์นอกจากจะทำให้คนสารเลวทั้งสองนั้นได้พบกับความพินาศย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา
ทั้งที่เคยอดทนต่อความทุกข์ยากสาหัสมาได้โดยตลอด ทว่านางอดทนต่อความเจ็บแค้นในใจไม่ได้ วันนี้ท่านหญิงเอลิเซียจึงไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว
“ท่านมีสิ่งของส่วนตัวของสองคนนั่นไหม” พ่อมดถามโดยไม่ละสายตาจากหม้อดินเผาขนาดย่อมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุมหนึ่งของห้องอันมืดสลัว เขากำลังเทส่วนผสมอะไรบางอย่างลงไปในนั้น และทั้งที่หม้อไม่ได้ตั้งอยู่บนเตาไฟกลับมีควันและกลิ่นหอมประหลาดลอยกรุ่นออกมา
“มีค่ะ” เอลิเซียซึ่งเพิ่งถูกดึงออกจากห้วงภวังค์ละล่ำละลักบอก นางหยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าถือด้วยท่าทางลนลานและนำไปมอบให้ถึงมือของพ่อมด
มันเป็นผ้าเช็ดหน้ากับหวีสับที่ประดิษฐ์อย่างประณีตงดงาม หญิงร้ายชายเลวคู่นั้นเคยลืมทิ้งเอาไว้ที่บ้านของนางตอนที่ไปร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายอันสดใส ไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นจะมีแต่วันที่เลวร้ายสำหรับนาง
พ่อมดใช้ไม้พายคนของเหลวภายในหม้อดินเผาแล้วร่ายมนต์ด้วยท่วงทำนองสม่ำเสมอโดยไม่รู้สึกถึงบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นส่วนเกินที่รุกล้ำอาณาเขตเข้ามา เมื่อเวทมนตร์ร่ายมาจนถึงบทสุดท้ายเขาจึงหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งเตรียมหย่อนลงไปในหม้อซึ่งใช้สำหรับสร้างคำสาป ชั่วจังหวะนั้นเองที่หางตาพ่อมดพลันเห็นประกายแสงวูบหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามา เขากระโดดถอยหลังหลบในทันที
ประกายแสงนั้นพุ่งปะทะหม้อดินจนแตกกระจาย ของเหลวเหนียวข้นสีคล้ำสาดกระเซ็นไปโดยรอบ ส่วนหนึ่งกระเซ็นไปโดนเอลิเซียซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันและไม่ทันรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจึงไม่ได้หลบ นางกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนสาด หญิงสาวเบิกตากว้างมองแขนตัวเองที่ถูกของเหลวสีคล้ำกัดจนเปื่อยยุ่ยกลายเป็นแผลเหวอะหวะสร้างความทรมานจนน้ำตาไหลพราก
“นี่ข้าคงมาขัดจังหวะอะไรไปแล้วสินะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเกือบเรียบสนิท หากก็ทำให้พ่อมดเบิกตาโพลงมองไปยังอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างระแวดระวัง ประตูทางเข้าทุกด้านนั้นลั่นดาลและลงคาถาเอาไว้แล้วจึงไม่น่าที่จะมีใครผ่านเข้ามาได้
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” พ่อมดถามด้วยน้ำเสียงเครียดข นัยน์ตาของเขาจ้องอีกฝ่ายจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
บุรุษนิรนามในชุดคลุมสีดำเพียงแย้มยิ้มอย่างเบาบางพลางปรายตาไปยังหญิงสาวซึ่งล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานแล้วจึงหันกลับไปยังพ่อมดอีกครั้ง รอยยิ้มบางค่อย ๆ จางไปจากใบหน้า
“สิ่งนี้คงพอจะบอกสถานะของข้าได้กระมัง” เขาพูดพร้อมกับหยิบเหรียญโลหะขนาดครึ่งฝ่ามือสลักลวดลายอ่อนช้อยเกี่ยวกระหวัดซ้อนทับกันจนเป็นวงเวทออกมาชูให้อีกฝ่ายดู
“เจ้าคือผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิค! “
จอมเวทผู้มีชนักปักร่างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับถอยหลังไปครึ่งก้าว คิดไม่ถึงว่าเรื่องของตนจะส่งกลิ่นไปถึงองค์กรได้อย่างรวดเร็วนัก
“เจ้าใช้เวทมนตร์ในเรื่องที่ไม่สมควร หลอกลวงผู้อื่นด้วยเวทชักจูงใจ กลับไปรับโทษที่องค์กรเสียดี ๆ เถอะ”
“เรื่องอะไรข้าจะยอมถูกจับง่าย ๆ “ พ่อมดซึ่งแปรสถานะไปเป็นผู้ต้องหาอย่างกะทันหันเอ่ยลอดไรฟัน เขายกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมร่ายคาถา หากยังช้าเกินไป
ลำแสงสีแดงทอดเป็นเส้นยาวพุ่งตรงเข้าหาผู้กระทำความผิดก่อนม้วนรัดพันร่างของเขา พ่อมดขยับขลุกขลักพยายามดิ้นรนให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ ทว่าก็ไร้ผล
“ยังอ่อนหัดไปนัก” ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคกล่าวอย่างทอดถอนใจพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา “เจ้าคิดว่าข้าต้องรับมือผู้กระทำผิดกฎมาแล้วเท่าไหร่กัน”
ผู้คุมกฎโบกมือขึ้นครั้งหนึ่งพร้อมกับพึมพำร่ายคาถาสั้น ๆ ควันสีขาวพลันพวยพุ่งขึ้นห่อหุ้มร่างของพ่อมดผู้ค้าเวทมนตร์ผิดกฎ เพียงชั่วอึดใจกลุ่มควันนั้นก็ค่อย ๆ หดตัวลงราวกับถูกดูดเข้าสู่ใจกลางกลุ่มก้อนควันขาวจนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงหนูขาวตัวจิ๋วเข้ามายืนอยู่แทนที่ในตำแหน่งเดียวกับที่พ่อมดเคยยืนอยู่ ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคจับเจ้าหนูตัวนั้นใส่เข้าไปในกรงโลหะรูปโดมซึ่งเขาเสกมันขึ้นมาเมื่อครู่
ดวงเนตรคมสีน้ำเงินส่องประกายวาวสีม่วงแปลกตาตวัดหันไปจ้องหญิงสาวที่ยังนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ถึงจะรู้สึกทรมานจนแทบสิ้นสติแต่ท่านหญิงก็ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขาย่างเท้าเข้ามาใกล้
“น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่ความหวังของท่านจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก” ผู้คุมกฎพูดพร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะแผ่วบนใบหน้านาง รอยยิ้มเบาบางบนเรียวปากฉาบไปด้วยความเวทนา เขาร่ายคาถาสั้น ๆ บทหนึ่งลำแสงสีน้ำเงินพลันอาบไปทั่วร่างเอลิเซียแล้วความเจ็บปวดทั้งปวงก็บรรเทาเบาลง
“ข้ารักษาบาดแผลและพิษที่ไหลเวียนอยู่ในตัวท่านไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยระงับความเจ็บปวดเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
เอลิเซียลุกขึ้นนั่งมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดของตนด้วยกายสั่นระริก นางอยากจะอ้าปากบอกขอบคุณเขาแต่เมื่อเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายก็ต้องหุบปากลงทันที
“ท่านว่าจ้างพ่อมดให้ใช้เวทมนตร์บังคับชักจูงใจและสร้างคำสาปร้ายเพื่อสังหารผู้อื่น แม้ว่าเขาจะทำตามคำร้องขอของท่านไม่สำเร็จ แต่นั่นก็นับมีความผิดแล้ว ท่านจึงต้องไปรับโทษที่กิลด์เมสทิคเช่นกัน” กล่าวจบแล้วผู้คุมกฎก็ร่ายคาถาเกิดเป็นควันขาวขึ้นมาเช่นเดียวกับพ่อมดก่อนหน้านี้ ท่านหญิงเอลิเซียซึ่งกลายเป็นหนูขาวถูกจับใส่กรงใบเดียวกันกับพ่อมด เขามองหนูขาวทั้งสองในกรงแล้วเอ่ยเบา ๆ “อย่างน้อยถึงจะต้องได้รับโทษ แต่อยู่ที่องค์กรเวทมนตร์แล้วพวกเขาก็คงจะรักษาบาดแผลให้ท่านได้ล่ะนะ”
จบงานแล้วผู้คุมกฎก็ถอนหายใจเบา ๆ เขาเดินไปที่ประตูทางเข้าร้านแล้วส่งกรงให้ชายอีกคนซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกพร้อมกับกล่าว “ฝากที่เหลือด้วยนะ”
“เรียบร้อยแล้วสินะครับ ท่านคิสเซ่” เขาเอ่ยพร้อมกับรับกรงบรรจุหนูขาวทั้งสองตัวมาไว้ในมือ ทว่าไม่ได้รีบลาจากไปเหมือนทุกครั้ง
“ได้ยินว่าท่านลาพัก จะไปไหนหรือครับ” ผู้คุมนักโทษชะงักเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขออภัย...ข้าไม่ควรถาม”
ผู้คุมกฎยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนตอบ
“ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสักหน่อยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย และหวังว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกในเร็ววัน”
เรมิเรส คิสเซ่ หนึ่งในผู้ดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะลงก่อนที่คนส่งตัวนักโทษจะจากไป เขาพึมพำคำหนึ่งออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปไกลมากแล้ว
“ข้าก็หวังว่าจะมีวันที่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งนี้อีกเช่นกัน”