จากกระทู้เก่า ที่บอกเล่าเรื่องราว
“~~ย้อนวันวาน ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง~~” http://ppantip.com/topic/31789307
ยังผลให้ ไปกระตุก
“ต่อมดราม่า” เข้าเต็มที่
กระทู้นี้...จึงตัดสินใจ
“เรียงร้อยเรื่อง(เกือบ)เศร้า ที่อยากเล่าผ่านเสียงเพลง” อีกหนึ่งกระทู้
เป็นประสบการณ์ผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ที่หนักหนาสาหัสอีกครั้ง ในชีวิต...
และ...ดิฉันเรียกมันว่า
~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~
ก่อนอื่น ต้องเฉลยคำถามก่อน เพราะมีเพื่อนๆอยากรู้ว่า ดิฉันทำธุรกิจอะไร???
ซึ่งดิฉันได้ตอบเอาไว้ว่า ทำธุรกิจเกี่ยวกับ
“บรรจุภัณฑ์พลาสติก” และ
"ถุงพลาสติก" ค่ะ
วันนี้ จะบอกเล่าเรื่องราวของ หนึ่งในสองส่วน คือ ส่วนของ
“โรงงานผลิตถุงพลาสติก”
ผลิตและส่งขายให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ โดยตรง (มิได้ส่งขายตลาดทั่วไป)
ปลายปี 2554 ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติใหญ่อีกครั้ง เรียกกันว่า...วิกฤติน้ำท่วม...
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำให้คนไทยค่อนประเทศ แต่ก็มีข้อดี คือ ทำให้เห็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของคนไทย
การช่วยเหลือเกื้อกูล การยื่นมือเข้าไปฉุดดึงคนที่ล้มลงให้ลุกขึ้นมา เป็นภาพที่ประทับใจไม่รู้ลืม
ในขณะนั้น คนไทยไม่มีสี ไม่แบ่งฝ่าย ทุกคนคือคนไทย........
~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~ คนไทยทั้งประเทศ
อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกครั้ง โดยไม่ต้องมี
“น้องน้ำ” เป็นนางเอก 55555
.
.
.
.
.
ก่อนน้องน้ำเดินทางมาถึง...เราฟังข่าว ได้รับรู้ว่าน้ำเหนือล่องมาเกือบจะถึงบ้านเราแล้ว รู้ว่าน้ำจะท่วมแน่ๆ แต่คิดว่าเอาอยู่ 55555
วางแผนป้องกันไว้ที่ระดับ 80 ซม. จากพื้นโรงงาน (เท่ากับ 1.8 เมตร จากพื้นถนนหน้าโรงงาน)
แต่การป้องกันก็แสนจะขลุกขลัก เพราะมีเวลาน้อยมากๆ แค่ไม่กี่วันก่อนน้ำมา
ทรายก็หาซื้อยาก อิฐบล็อกก็ไปซื้อได้มาทีละ 70-80 ก้อน (จะไปพออะไร???)
เพราะทุกคนแห่ไปซื้อ จนร้านไม่มีของขาย ต้องให้เด็กไปจองหน้าร้าน ต่อคิวกันยาวเหยียด...อะไรจะขนาดนั้น
2 วัน...ก่อนน้ำเข้าท่วมโรงงาน...ได้รับแจ้งจากเทศบาลว่า...น้ำมาแน่
ให้ป้องกันที่ระดับ 2 เมตรจากถนน
โอ๊ะ...แม่เจ้า...แล้วเราจะทำอย่างไร??? ทำกำแพงเพิ่มก็คงไม่ได้แล้ว ไม่ทันการ
ยืนมองข้าวของและสินค้าที่จัดเก็บแบบเทิร์นกันไว้สูงๆ...แล้วนึกในใจ...เฮ้อ...เมื่อสุดมือเอื้อมสอยก็ต้องปล่อยมันไป...
เครื่องจักรคงต้องปล่อยจมน้ำ (หมายถึงน้ำตาของเราเองค่ะ555)
ฟังข่าวนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทยอยล่มไปเป็นแถวๆ...ถึงแจวก็คงไม่รอด...จอดเลยดีกว่า (อยากฮา...แต่มันไม่ขำค่ะ จริง...จริ๊ง)
ตัดสินใจว่าจ้างรถสิบล้อ 6 คัน เข้ามาเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบไปเก็บในที่ปลอดภัยในวันรุ่งขึ้น
โชคดี (อีกแระ) ผู้ขายเม็ดพลาสติกแจ้งให้ทราบว่ามีโกดังเก็บของที่มหาชัย จะเคลียพื้นที่ให้ถ้าเราจะฝากของ
น่าจะปลอดภัย...น้ำไม่ท่วม...โธ่...ถึงท่วมก็ต้องไป(วะ)...ออกไปก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที มันไม่มีเวลาคิด(เว้ย)
ไม่ได้ต่อรองราคาค่าโกดังอะไรทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าค้าขายกันมานาน คงคุยกันได้
แต่...ความยากมันอยู่ที่ เช้าวันรุ่งขึ้น รถที่ว่าจ้าง ดันมาได้จริงๆ แค่ 3 คัน
อีก 3 คัน รับงานด่วน (ด่วนจากบริษัทใหญ่ ฮึ...เค้าคงจ่ายเยอะกว่าเรา เอ้า ไม่เป็นไร 3 คันก็พอได้ล่ะน่า...กัดฟันพูด)
ในนาทีที่รู้สึกแย่...ผู้ขายเม็ดพลาสติก โทรมาถามด้วยความห่วงใย พอรู้ว่ามีรถไม่พอ
ก็แจ้งว่าจะส่งรถมาให้อีก 3 คัน...นั่น...มิตรแท้มาทันเวลาพอดี...just in time ของจริง 5555...
นี่แหละเพื่อน...ซึ้งจัง
รถ 3 คันแรกมาถึงโรงงานตอน 10 โมง มีแต่รถ...ไม่มีคนช่วยขนของ (ตอนตกลงราคา บอกว่ารถพร้อมแรงงาน)
เค้าบอกว่าจะส่งคนมาช่วยตอนบ่ายโมง จะรอมั้ย???
โอ๊ยยยยย...เด็กก็มาบอกว่า พี่...น้ำมันข้ามถนนมาแล้วนะ
อุ๊ตะ...ยังไม่ถึงเวลานัด มันมาได้ไง...เดี๋ยวให้เลขา โทร cancel ซะหรอก ฮึ!!!
เอ้า...งั้นไม่ต้องรอ...ในโรงงานเหลือคนเท่าไหร่ ออกมาช่วยขนของก่อน
ปรากฏว่านับไปนับมา ทั้งโรงงานตอนนั้น เหลือคนว่างอยู่แค่ 4 คน ทำไง???
โธ่...ทั้งเจ้าของโรงงาน ทั้งสามี ทั้งพี่สาว ทั้งพี่เขย ก็เลยต้องเปลี่ยนกางเกงขาสั้น
แปลงร่างเป็นผู้ใช้แรงงาน ไปช่วยขนของกัน ณ บัดนาว
(แอบนึกเสียดายว่าทำไม ตรูไม่เกิดเป็นซุปเปอร์แมนฟระ)
เหงื่อไหลไคลย้อย แขนล้าจนแทบยกไม่ขึ้น...แต่ก็หยุดไม่ได้...น้ำมันมาใกล้เต็มทีแล้วค่ะ
ปล่อยรถ 3 คันแรกออกไปตอนเที่ยงกว่า...มีเวลาพักกินข้าวแป๊บนึง
รถอีก 2 คันก็มาถึง มีคนมาช่วยขน 3 คน เอาวะ...ก็ยังดี
รีบเร่งกว่าตอนเช้า เพราะน้ำมาเร็วกว่าที่คิด สุดท้าย ขนของได้แค่ 2 คัน...น้ำก็มาถึงหน้าโรงงานแล้วค่ะ
ต้องโทรถามรถคันสุดท้าย ว่ามาถึงไหนแล้ว...เห็นว่าถึงบางบัวทอง ก็เลยบอกเค้าไปว่าไม่ต้องมาแล้ว...
เพราะถ้ามาก็คงกลับไปไม่ได้ น้ำมาเร็วแบบนี้ คงทำให้ถนนวิ่งไม่ได้ในอีกไม่เกิน 3 ชั่วโมง
ส่วนสินค้าและวัตถุดิบที่เหลือ วางเทิร์นบนพาเลทสูงๆ
ถ้าหนีน้ำไม่พ้น...ก็จนใจเจ้าข้าเอ๊ยยยยยยย
หันกลับมาดูโรงงาน...จัดการวางกำลังประจำจุด ซักซ้อมแผนการป้องกันให้เรียบร้อยอีกครั้ง
เครื่องปั่นไฟพร้อม ไดโว่พร้อม อาหาร-น้ำพร้อม เครื่องนอนพร้อม (ยังกะจะไปแคมป์) คนพร้อม ใจพร้อม…
ร่วมกันร้องเพลง...
ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา เอ้า สู้ๆ
แล้วเราก็รีบกลับบ้าน...มาขนของหนีน้ำที่บ้านต่อ
คราวนี้แย่กว่าเดิม เพราะไม่มีคนช่วยขน ... เหลือกัน 2 คนผัวเมียละเหี่ยใจ !!!
เฮ้อ...จบงานตอนสี่ทุ่ม (ยังขนไม่เสร็จนะนั่นน่ะ) แต่ไม่ไหว เหนื่อยมาก...
อาบน้ำ นอนหลับแบบไม่ฝันอะไรซักอย่าง 55555 …แหม...จะแอบฝันดีซักนิดก็ไม่ได้...เชอะ...
ได้แต่ฝันหวาน
อ้าววววววว...ชักยาวไปแระ...เอาเป็นว่า สรุป...ป้องกันไว้ไม่ได้ น้ำทลายแนวกั้นฝ่าเข้าไปได้ในที่สุด
เด็กๆ ต้องพายเรือออกมา...ปล่อยโรงงานให้จมน้ำอยู่อย่างนั้น...ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
60 วันเต็มๆ ที่นั่งมองดู น้ำ กับ ฟ้า...พร้อมคิดถึง
“ชะตาชีวิต”
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของหัวใจ เพราะรู้ดีว่า...จะเจออะไรหลังน้ำลด ???
ทันทีที่น้ำเริ่มลดระดับลง จนเข้าไปเคลียพื้นที่ได้ เราก็ไม่รอช้า เรียกกำลังพลทั้งหมดกลับที่ตั้ง
ตรวจสอบกำลังพล...ครบถ้วน ไม่มีหนีหายตายจาก...ทุกคนพร้อมสู้กับลูกพี่อีกครั้ง
ถึงขนาดที่หัวหน้าคนงานเป็นตัวแทนของพนักงานมาบอกเราว่า
“ถ้าพี่เดือดร้อนเอาเงินไปซ่อมโรงงานหมด ยังไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพวกผมก็ได้
ขอเพียงให้มีข้าวกิน 3 มื้อ กับมีเงินไปจ่ายค่าห้องอีกนิดหน่อยก็พอ เงินเดือนค่อยมาจ่ายย้อนหลัง”
ฟังแล้วอยากร้องไห้ไหมคะ???...ซึ้งใจมาก กับ
“น้ำใจของผู้ใต้บังคับบัญชา”
ซึ่งเรารู้สึกได้ว่า...จะมีเจ้านายสักกี่คน ที่จะมีโอกาสได้รับ
“หัวใจ” ของพวกเขาเหล่านี้
ขอบคุณมากๆนะคะ แต่เราคงไม่กล้าเบียดเบียนพวกเขาหรอกค่ะ แค่รู้...ก็ดีใจแล้ว
เอ้า...เริ่มงานทันที...ฮุย...เล...ฮุย
คุณสามีจัดการสำรวจความเสียหาย ติดต่อประสานงานเรื่องซ่อมแซม ปรับปรุง แก้ไข วุ่นวายไปหมด
หนักใจทีสุด ก็เรื่องเครื่องจักร...เพราะเจ้าใหญ่ไม่มีคิวมาทำให้เลย เฮ้อ...แอบ กุ้มใจแบบไม่มี ล.ลิง
เอาวะ...ส่งซ่อมเจ้าเล็กก็ได้ หลายๆเจ้า คงเสร็จทันเวลา...วางแผนให้ทุกอย่างแล้วเสร็จ
จนกลับมาเริ่มทำการผลิตได้ ภายในเดือน มกราคม 2555 เท่ากับมีกรอบเวลา 45 วัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก
เราออกสำรวจประเมินสถานการณ์โดยรวมของธุรกิจ พบว่าลูกค้า 95 % ประสบภัยเช่นกัน
แถมหนักหนากว่าเราด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในนิคมที่จมน้ำทั้งสิ้น น่าจะใช้เวลาฟื้นตัวมาก
อ้าว....ถ้าเรารีบฟื้นฟูให้เสร็จ แล้วจะไปขายใคร ???...โลกโหดร้ายกับเราอีกแระ ฮือๆๆๆ
แต่...ก็ไม่โหดร้ายไปซะทีเดียว เอาเป็นว่า ภายใต้วิกฤติ ยังมีโอกาสเล็กๆ ที่ทำให้เราพบช่องว่างทางการตลาด
ซึ่งเราสามารถแทรกเข้าไปได้ โดยอาศัยการฟื้นตัวที่เร็วกว่าที่อื่น
ทำให้มีออร์เดอร์จากลูกค้าจร ทดแทนลูกค้าหลักที่ยังฟื้นฟูไม่แล้วเสร็จ...โชคดี...ได้ขายเงินสดซะด้วย...
55555...เป็นโชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้าย...(ก็ยังดีกว่ามีแต่โชคร้ายอย่างเดียวละน่า...จริงไหมคะ???)
ปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่พบ คือ...
ธุรกิจขาดสภาพคล่องอีกแล้ว
เพราะนำเงินสดทั้งหมดไปฟื้นฟูโรงงาน ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า...เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ จะกู้แบงค์ก็คงไม่ทันการ
แต่ก็ต้องกู้...อาศัยการเขียนแผนธุรกิจขั้นเซียน ทำให้ได้เงินกู้ตามเป้า rate ดอกเบี้ย 3% อีกต่างหาก...เจ๋งเนอะ 555
แบบว่า...ดีใจ??? ที่..................
ชีวิตนี้ใช้หนี้อย่างเดียว...วู้ๆๆๆๆๆๆ
โชคดี (อีกแล้ว) ที่ผู้ขายเม็ดพลาสติกที่ซื้อขายกันมานาน (เค้าไม่โดนน้ำท่วม)
เค้าเห็นความเดือดร้อนของเรา ก็เลยเข้ามาคุย เสนอว่า
“ถ้าเครดิตซื้อ 60 วัน มันยังขลุกขลักพี่จะขอเพิ่มเป็น 90 หรือ 120 วัน สักระยะหนึ่งก็ได้นะครับ”
โอ...แม่เจ้า...พระเอกขี่ม้าขาวสำหรับเราเลยนะเนี่ย...
ที่สำคัญ ค่ารถขนของ 3 คัน รวมกับค่าเช่าโกดัง 60 วัน ก็ไม่ยอมคิดตังค์เราซะอีก
เค้าบอกว่า...
“พี่เดือดร้อน............อะไรที่ผมช่วยได้ ก็ยินดีครับ”
แล้วอย่างนี้...ในชีวิตนี้ เราจะเปลี่ยนเจ้าไปซื้อเม็ดจากที่อื่นได้มั้ยเนี่ย????...ถามจริง
เป็นอันว่าวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ เรามีปัญหาเนื่องจากลูกค้าประจำไม่มีออร์เดอร์นานเกือบ 6 เดือน (น้ำท่วม)
แต่...ผ่านวิกฤติมาได้ด้วย
“น้ำใจ” จาก
“ผู้ขายเม็ดพลาสติก”
ที่ช่วยขยายเครดิต ทำให้เราไม่เกิดภาวะขาดสภาพคล่อง...
และ...
“น้ำใจ” จากลูกน้องที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกันอีกครั้ง
บวกกับความบ้าระห่ำของเราเองที่ตัดสินใจลุยการตลาดแบบ...ข้ามาคนเดียว...ฮาๆๆๆๆๆ
(อันนี้เล่าไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นรู้เทคนิคพิเศษ...ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ...จริงๆนะ)
ขอบคุณ
“น้ำท่วม” ที่ทำให้เราได้เห็น
“น้ำใจ” ของใครหลายๆคน
ทั้ง ลูกน้อง ทั้งลูกค้า ทั้งคู่ค้า และ คนในครอบครัวทุกคน ที่เป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอ
ขอจบ...เรื่องราวของ
~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~ เอาไว้เพียงเท่านี้
หากเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ขอมอบให้
“เจ้าของน้ำใจทุกท่านที่ถูกกล่าวถึง”
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่าน (นิยายเรื่องยาว) ค่ะ
~~ ผ่านวิกฤติน้ำท่วม...เรื่อง (เกือบ) เศร้า ที่อยากเล่าผ่านเสียงเพลง ~~
ยังผลให้ ไปกระตุก “ต่อมดราม่า” เข้าเต็มที่
กระทู้นี้...จึงตัดสินใจ “เรียงร้อยเรื่อง(เกือบ)เศร้า ที่อยากเล่าผ่านเสียงเพลง” อีกหนึ่งกระทู้
เป็นประสบการณ์ผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ที่หนักหนาสาหัสอีกครั้ง ในชีวิต...
และ...ดิฉันเรียกมันว่า ~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~
ก่อนอื่น ต้องเฉลยคำถามก่อน เพราะมีเพื่อนๆอยากรู้ว่า ดิฉันทำธุรกิจอะไร???
ซึ่งดิฉันได้ตอบเอาไว้ว่า ทำธุรกิจเกี่ยวกับ “บรรจุภัณฑ์พลาสติก” และ "ถุงพลาสติก" ค่ะ
วันนี้ จะบอกเล่าเรื่องราวของ หนึ่งในสองส่วน คือ ส่วนของ “โรงงานผลิตถุงพลาสติก”
ผลิตและส่งขายให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ โดยตรง (มิได้ส่งขายตลาดทั่วไป)
ปลายปี 2554 ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติใหญ่อีกครั้ง เรียกกันว่า...วิกฤติน้ำท่วม...
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำให้คนไทยค่อนประเทศ แต่ก็มีข้อดี คือ ทำให้เห็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของคนไทย
การช่วยเหลือเกื้อกูล การยื่นมือเข้าไปฉุดดึงคนที่ล้มลงให้ลุกขึ้นมา เป็นภาพที่ประทับใจไม่รู้ลืม
ในขณะนั้น คนไทยไม่มีสี ไม่แบ่งฝ่าย ทุกคนคือคนไทย........~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~ คนไทยทั้งประเทศ
อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกครั้ง โดยไม่ต้องมี “น้องน้ำ” เป็นนางเอก 55555
.
.
.
.
.
ก่อนน้องน้ำเดินทางมาถึง...เราฟังข่าว ได้รับรู้ว่าน้ำเหนือล่องมาเกือบจะถึงบ้านเราแล้ว รู้ว่าน้ำจะท่วมแน่ๆ แต่คิดว่าเอาอยู่ 55555
วางแผนป้องกันไว้ที่ระดับ 80 ซม. จากพื้นโรงงาน (เท่ากับ 1.8 เมตร จากพื้นถนนหน้าโรงงาน)
แต่การป้องกันก็แสนจะขลุกขลัก เพราะมีเวลาน้อยมากๆ แค่ไม่กี่วันก่อนน้ำมา
ทรายก็หาซื้อยาก อิฐบล็อกก็ไปซื้อได้มาทีละ 70-80 ก้อน (จะไปพออะไร???)
เพราะทุกคนแห่ไปซื้อ จนร้านไม่มีของขาย ต้องให้เด็กไปจองหน้าร้าน ต่อคิวกันยาวเหยียด...อะไรจะขนาดนั้น
2 วัน...ก่อนน้ำเข้าท่วมโรงงาน...ได้รับแจ้งจากเทศบาลว่า...น้ำมาแน่ ให้ป้องกันที่ระดับ 2 เมตรจากถนน
โอ๊ะ...แม่เจ้า...แล้วเราจะทำอย่างไร??? ทำกำแพงเพิ่มก็คงไม่ได้แล้ว ไม่ทันการ
ยืนมองข้าวของและสินค้าที่จัดเก็บแบบเทิร์นกันไว้สูงๆ...แล้วนึกในใจ...เฮ้อ...เมื่อสุดมือเอื้อมสอยก็ต้องปล่อยมันไป...
เครื่องจักรคงต้องปล่อยจมน้ำ (หมายถึงน้ำตาของเราเองค่ะ555)
ฟังข่าวนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทยอยล่มไปเป็นแถวๆ...ถึงแจวก็คงไม่รอด...จอดเลยดีกว่า (อยากฮา...แต่มันไม่ขำค่ะ จริง...จริ๊ง)
ตัดสินใจว่าจ้างรถสิบล้อ 6 คัน เข้ามาเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบไปเก็บในที่ปลอดภัยในวันรุ่งขึ้น
โชคดี (อีกแระ) ผู้ขายเม็ดพลาสติกแจ้งให้ทราบว่ามีโกดังเก็บของที่มหาชัย จะเคลียพื้นที่ให้ถ้าเราจะฝากของ
น่าจะปลอดภัย...น้ำไม่ท่วม...โธ่...ถึงท่วมก็ต้องไป(วะ)...ออกไปก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที มันไม่มีเวลาคิด(เว้ย)
ไม่ได้ต่อรองราคาค่าโกดังอะไรทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าค้าขายกันมานาน คงคุยกันได้
แต่...ความยากมันอยู่ที่ เช้าวันรุ่งขึ้น รถที่ว่าจ้าง ดันมาได้จริงๆ แค่ 3 คัน
อีก 3 คัน รับงานด่วน (ด่วนจากบริษัทใหญ่ ฮึ...เค้าคงจ่ายเยอะกว่าเรา เอ้า ไม่เป็นไร 3 คันก็พอได้ล่ะน่า...กัดฟันพูด)
ในนาทีที่รู้สึกแย่...ผู้ขายเม็ดพลาสติก โทรมาถามด้วยความห่วงใย พอรู้ว่ามีรถไม่พอ
ก็แจ้งว่าจะส่งรถมาให้อีก 3 คัน...นั่น...มิตรแท้มาทันเวลาพอดี...just in time ของจริง 5555...นี่แหละเพื่อน...ซึ้งจัง
รถ 3 คันแรกมาถึงโรงงานตอน 10 โมง มีแต่รถ...ไม่มีคนช่วยขนของ (ตอนตกลงราคา บอกว่ารถพร้อมแรงงาน)
เค้าบอกว่าจะส่งคนมาช่วยตอนบ่ายโมง จะรอมั้ย???
โอ๊ยยยยย...เด็กก็มาบอกว่า พี่...น้ำมันข้ามถนนมาแล้วนะ
อุ๊ตะ...ยังไม่ถึงเวลานัด มันมาได้ไง...เดี๋ยวให้เลขา โทร cancel ซะหรอก ฮึ!!!
เอ้า...งั้นไม่ต้องรอ...ในโรงงานเหลือคนเท่าไหร่ ออกมาช่วยขนของก่อน
ปรากฏว่านับไปนับมา ทั้งโรงงานตอนนั้น เหลือคนว่างอยู่แค่ 4 คน ทำไง???
โธ่...ทั้งเจ้าของโรงงาน ทั้งสามี ทั้งพี่สาว ทั้งพี่เขย ก็เลยต้องเปลี่ยนกางเกงขาสั้น
แปลงร่างเป็นผู้ใช้แรงงาน ไปช่วยขนของกัน ณ บัดนาว (แอบนึกเสียดายว่าทำไม ตรูไม่เกิดเป็นซุปเปอร์แมนฟระ)
เหงื่อไหลไคลย้อย แขนล้าจนแทบยกไม่ขึ้น...แต่ก็หยุดไม่ได้...น้ำมันมาใกล้เต็มทีแล้วค่ะ
ปล่อยรถ 3 คันแรกออกไปตอนเที่ยงกว่า...มีเวลาพักกินข้าวแป๊บนึง
รถอีก 2 คันก็มาถึง มีคนมาช่วยขน 3 คน เอาวะ...ก็ยังดี
รีบเร่งกว่าตอนเช้า เพราะน้ำมาเร็วกว่าที่คิด สุดท้าย ขนของได้แค่ 2 คัน...น้ำก็มาถึงหน้าโรงงานแล้วค่ะ
ต้องโทรถามรถคันสุดท้าย ว่ามาถึงไหนแล้ว...เห็นว่าถึงบางบัวทอง ก็เลยบอกเค้าไปว่าไม่ต้องมาแล้ว...
เพราะถ้ามาก็คงกลับไปไม่ได้ น้ำมาเร็วแบบนี้ คงทำให้ถนนวิ่งไม่ได้ในอีกไม่เกิน 3 ชั่วโมง
ส่วนสินค้าและวัตถุดิบที่เหลือ วางเทิร์นบนพาเลทสูงๆ ถ้าหนีน้ำไม่พ้น...ก็จนใจเจ้าข้าเอ๊ยยยยยยย
หันกลับมาดูโรงงาน...จัดการวางกำลังประจำจุด ซักซ้อมแผนการป้องกันให้เรียบร้อยอีกครั้ง
เครื่องปั่นไฟพร้อม ไดโว่พร้อม อาหาร-น้ำพร้อม เครื่องนอนพร้อม (ยังกะจะไปแคมป์) คนพร้อม ใจพร้อม…
ร่วมกันร้องเพลง...ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา เอ้า สู้ๆ
แล้วเราก็รีบกลับบ้าน...มาขนของหนีน้ำที่บ้านต่อ
คราวนี้แย่กว่าเดิม เพราะไม่มีคนช่วยขน ... เหลือกัน 2 คนผัวเมียละเหี่ยใจ !!!
เฮ้อ...จบงานตอนสี่ทุ่ม (ยังขนไม่เสร็จนะนั่นน่ะ) แต่ไม่ไหว เหนื่อยมาก...
อาบน้ำ นอนหลับแบบไม่ฝันอะไรซักอย่าง 55555 …แหม...จะแอบฝันดีซักนิดก็ไม่ได้...เชอะ...ได้แต่ฝันหวาน
อ้าววววววว...ชักยาวไปแระ...เอาเป็นว่า สรุป...ป้องกันไว้ไม่ได้ น้ำทลายแนวกั้นฝ่าเข้าไปได้ในที่สุด
เด็กๆ ต้องพายเรือออกมา...ปล่อยโรงงานให้จมน้ำอยู่อย่างนั้น...ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
60 วันเต็มๆ ที่นั่งมองดู น้ำ กับ ฟ้า...พร้อมคิดถึง “ชะตาชีวิต”
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของหัวใจ เพราะรู้ดีว่า...จะเจออะไรหลังน้ำลด ???
ทันทีที่น้ำเริ่มลดระดับลง จนเข้าไปเคลียพื้นที่ได้ เราก็ไม่รอช้า เรียกกำลังพลทั้งหมดกลับที่ตั้ง
ตรวจสอบกำลังพล...ครบถ้วน ไม่มีหนีหายตายจาก...ทุกคนพร้อมสู้กับลูกพี่อีกครั้ง
ถึงขนาดที่หัวหน้าคนงานเป็นตัวแทนของพนักงานมาบอกเราว่า
“ถ้าพี่เดือดร้อนเอาเงินไปซ่อมโรงงานหมด ยังไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพวกผมก็ได้
ขอเพียงให้มีข้าวกิน 3 มื้อ กับมีเงินไปจ่ายค่าห้องอีกนิดหน่อยก็พอ เงินเดือนค่อยมาจ่ายย้อนหลัง”
ฟังแล้วอยากร้องไห้ไหมคะ???...ซึ้งใจมาก กับ “น้ำใจของผู้ใต้บังคับบัญชา”
ซึ่งเรารู้สึกได้ว่า...จะมีเจ้านายสักกี่คน ที่จะมีโอกาสได้รับ “หัวใจ” ของพวกเขาเหล่านี้
ขอบคุณมากๆนะคะ แต่เราคงไม่กล้าเบียดเบียนพวกเขาหรอกค่ะ แค่รู้...ก็ดีใจแล้ว
เอ้า...เริ่มงานทันที...ฮุย...เล...ฮุย
คุณสามีจัดการสำรวจความเสียหาย ติดต่อประสานงานเรื่องซ่อมแซม ปรับปรุง แก้ไข วุ่นวายไปหมด
หนักใจทีสุด ก็เรื่องเครื่องจักร...เพราะเจ้าใหญ่ไม่มีคิวมาทำให้เลย เฮ้อ...แอบ กุ้มใจแบบไม่มี ล.ลิง
เอาวะ...ส่งซ่อมเจ้าเล็กก็ได้ หลายๆเจ้า คงเสร็จทันเวลา...วางแผนให้ทุกอย่างแล้วเสร็จ
จนกลับมาเริ่มทำการผลิตได้ ภายในเดือน มกราคม 2555 เท่ากับมีกรอบเวลา 45 วัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก
เราออกสำรวจประเมินสถานการณ์โดยรวมของธุรกิจ พบว่าลูกค้า 95 % ประสบภัยเช่นกัน
แถมหนักหนากว่าเราด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในนิคมที่จมน้ำทั้งสิ้น น่าจะใช้เวลาฟื้นตัวมาก
อ้าว....ถ้าเรารีบฟื้นฟูให้เสร็จ แล้วจะไปขายใคร ???...โลกโหดร้ายกับเราอีกแระ ฮือๆๆๆ
แต่...ก็ไม่โหดร้ายไปซะทีเดียว เอาเป็นว่า ภายใต้วิกฤติ ยังมีโอกาสเล็กๆ ที่ทำให้เราพบช่องว่างทางการตลาด
ซึ่งเราสามารถแทรกเข้าไปได้ โดยอาศัยการฟื้นตัวที่เร็วกว่าที่อื่น
ทำให้มีออร์เดอร์จากลูกค้าจร ทดแทนลูกค้าหลักที่ยังฟื้นฟูไม่แล้วเสร็จ...โชคดี...ได้ขายเงินสดซะด้วย...
55555...เป็นโชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้าย...(ก็ยังดีกว่ามีแต่โชคร้ายอย่างเดียวละน่า...จริงไหมคะ???)
ปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่พบ คือ...ธุรกิจขาดสภาพคล่องอีกแล้ว
เพราะนำเงินสดทั้งหมดไปฟื้นฟูโรงงาน ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า...เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ จะกู้แบงค์ก็คงไม่ทันการ
แต่ก็ต้องกู้...อาศัยการเขียนแผนธุรกิจขั้นเซียน ทำให้ได้เงินกู้ตามเป้า rate ดอกเบี้ย 3% อีกต่างหาก...เจ๋งเนอะ 555
แบบว่า...ดีใจ??? ที่..................ชีวิตนี้ใช้หนี้อย่างเดียว...วู้ๆๆๆๆๆๆ
โชคดี (อีกแล้ว) ที่ผู้ขายเม็ดพลาสติกที่ซื้อขายกันมานาน (เค้าไม่โดนน้ำท่วม)
เค้าเห็นความเดือดร้อนของเรา ก็เลยเข้ามาคุย เสนอว่า
“ถ้าเครดิตซื้อ 60 วัน มันยังขลุกขลักพี่จะขอเพิ่มเป็น 90 หรือ 120 วัน สักระยะหนึ่งก็ได้นะครับ”
โอ...แม่เจ้า...พระเอกขี่ม้าขาวสำหรับเราเลยนะเนี่ย...
ที่สำคัญ ค่ารถขนของ 3 คัน รวมกับค่าเช่าโกดัง 60 วัน ก็ไม่ยอมคิดตังค์เราซะอีก
เค้าบอกว่า... “พี่เดือดร้อน............อะไรที่ผมช่วยได้ ก็ยินดีครับ”
แล้วอย่างนี้...ในชีวิตนี้ เราจะเปลี่ยนเจ้าไปซื้อเม็ดจากที่อื่นได้มั้ยเนี่ย????...ถามจริง
เป็นอันว่าวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ เรามีปัญหาเนื่องจากลูกค้าประจำไม่มีออร์เดอร์นานเกือบ 6 เดือน (น้ำท่วม)
แต่...ผ่านวิกฤติมาได้ด้วย “น้ำใจ” จาก “ผู้ขายเม็ดพลาสติก”
ที่ช่วยขยายเครดิต ทำให้เราไม่เกิดภาวะขาดสภาพคล่อง...
และ... “น้ำใจ” จากลูกน้องที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกันอีกครั้ง
บวกกับความบ้าระห่ำของเราเองที่ตัดสินใจลุยการตลาดแบบ...ข้ามาคนเดียว...ฮาๆๆๆๆๆ
(อันนี้เล่าไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นรู้เทคนิคพิเศษ...ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ...จริงๆนะ)
ขอบคุณ “น้ำท่วม” ที่ทำให้เราได้เห็น “น้ำใจ” ของใครหลายๆคน
ทั้ง ลูกน้อง ทั้งลูกค้า ทั้งคู่ค้า และ คนในครอบครัวทุกคน ที่เป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอ
ขอจบ...เรื่องราวของ ~~ น้ำ...แลก...ใจ ~~ เอาไว้เพียงเท่านี้
หากเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ขอมอบให้ “เจ้าของน้ำใจทุกท่านที่ถูกกล่าวถึง”
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่าน (นิยายเรื่องยาว) ค่ะ