การรักษา และคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้สวัสดิการของรัฐบาลสำหรับโรค MS

ตอนที่แล้ว เราก็รู้จักอาการเริ่มต้นของเจ้าโรค MS นี้กันไปแล้ว ทีนี้มาทำความรู้จักกับวิธีการรักษา และการใช้สวัสดิการของรัฐบาลกันบ้างนะจ๊ะ ยิ้ม

หลังจากหมอได้อธิบายเกี่ยวกับเจ้าโรค MS ให้เรารู้จักกันไปแล้ว หมอก็บอกต่อว่า การรักษาโรคนี้ ซึ่งไม่สามารถหายขาดได้ ความหมายคือ ต้องอยู่เป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต

พอหมอพูดจบ เรากับหม่าม๊าก็หันมามองหน้ากันล่ะสิ แล้วก็ถามหมอว่า โรคนี้เกิดจากอะไร คำตอบคือ ปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร อาจจะเป็นความเครียด พักผ่อนน้อย อากาศ(ร้อน) ซึ่งความหมายก็คือ ยังสรุปไม่ได้ ซึ่งก็คือทุกสิ่งอย่างที่อาจเป็นปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทุกโรคนั่นเอง

ทีนี้หมอก็บอกว่า ถ้าดูจากอาการตอนนี้คือหมอคิดว่าเป็นโรค MS นี่ล่ะ แต่ถ้าจะให้แน่นอน ก็ต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอีกครั้ง
แต่ที่แน่ๆ หมอมั่นใจ 90% ว่าเป็นโรค MS สรุปหมอก็บอกว่าที่สำคัญคือการรักษาตอนนี้คือต้องใหัสเตียรอยด์ก่อน ประมาณ 3-5 วัน แล้วก็กินยา Methlypennisolone (หรือสเตียรอยด์แบบอ่อน สำหรับทาน นั่นแหละ) ต่ออีกประมาณ 2 อาทิตย์ หมอบอกว่า "แต่ที่แน่ๆคือ คุณต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งค่ายาสำหรับโรคนี้แพงมาก" โอ้แม่เจ้า.....ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะต้องกินยาตลอดชีวิตแบบนี้ เพราะตั้งแต่เด็กก็แข็งแรงมาตลอด ไม่เคยไม่สบายหนักๆ ไม่เคยหยุดเรียน ไม่เคยลาป่วย แต่ไฉนพอเป็นทีก็จัดหนักซะขนาดนี้ล่ะเนี่ย??? เฮ่อ เศร้า

จากนั้นคุณหมอก็ถามถึงประกันสุขภาพ หรือประกันสังคมว่ามีหรือเปล่า พร้อมกับแนะนำให้ใช้จะดีกว่า หมอบอกว่า เหตุผลคือค่ายาแพงมาก และคุณต้องกินไปตลอดชีวิต หมอก็ถามว่ามีประกันสังคมที่ไหน พร้อมกับเขียนรายละเอียดการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรค MS พร้อมกับบอกให้เอากลับไปให้โรงพยาบาลที่มีประกันสังคมอยู่ แล้วเดี๋ยวทางนั้นเค้าต้องสั่งทำ MRI อีกที แต่ปัญหาคือ โรงพยาบาลต้นสังกัดเนี่ย ไม่มี MRI ก็เลยถามคุณหมอ หมอบอกว่าถ้าเค้าไม่มี เค้าต้องส่งตรวจข้างนอก หรือถ้าเค้าไม่มีหมอทางด้านนี้ เค้าก็ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทาง เค้าจะเก็บคนไข้ไว้ไม่ได้ หมอก็บอกว่าแต่ถ้าคุณไม่มั่นใจ จะรักษากับหมอที่นี่ก็ได้

(อิอิ.....ต้องขอขอบคุณคุณหมอท่านนี้จริงๆที่ไม่เก็บคนไข้ไว้ หมอบอกว่า คุณจะรักษาที่นี่ก็ได้ หมอไม่ได้ไล่ เพียงแต่อยากให้ใช้สิทธิที่มีอยู่ เพราค่ารักษาพยาบาลและค่ายาแพงมาก)

สรุป หมอบอกว่าให้กลับไปที่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม แล้วเอา Memo การวินิจฉัยของหมอไปให้กับหมอที่เคยหา ซึ่งทางนั้นจะต้องทำ MRI เพื่อยืนยันอักที  

อ้อ....คุณหมอยังเอาผ้าปิดตาให้ด้วยเพราะ อาการที่เป็นเนี่ย ทำให้เห็นภาพซ้อน แล้วก็ทำให้ปวดศีรษะด้วย แล้ววันนั้นจำได้ว่าค่าหมอก็แค่ประมาณ 700 กว่าบาท (คุณหมอน่ารักมาก ขอบคุณมากนะคะ)

สรุป ก็เลยกลับมาที่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม และหาหมอท่านเดิม พอกลับไปหาหมอท่านเดิม เมื่อหมอเห็นอาการว่าตาดำข้างขวาเขออกไปด้านข้างปุ๊บ หมอก็เริ่มรู้แระ แล้วเราก็เอา Memo การวินิจฉัยจากหมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพให้กับคุณหมอ แกก็อ่านพร้อมทั้งทำหน้าเครียด เพราะที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอทางด้านนี้ และไม่มี MRI แต่หมอก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังไงทางนี้เค้าต้องส่งตัวไปทำ MRI แล้วก็ส่งตัวคุณไปรักษากับโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะทางอีกที

หมอก็เลยรีบทำเรื่องส่งตัว ให้กับฝ่ายประกันสังคม ทางห้องประกันสังคมก็ต้องใช้เวลาในการทำเรื่อง และออกเอกสารใบส่งตัว ก็เลยนัดให้มารับอีกทีวันรุ่งขึ้น เรากับหม่าม๊าก็กลับบ้าน โดยแวะทานข้าวระหว่างทาง เพราะตั้งแต่ออกมายังไม่ได้ทานอะไรเลย ระหว่างทานข้าว ทางห้องประกันสังคมก็โทรเข้ามา บอกให้เข้าไปรับจดหมายส่งตัว ซึ่งโดยปกติทางโรงพยาบาลมี contract กับทางรพ.ราชวิถี แต่หมอที่เป็นคนดู case นี้บอกให้ส่งตัวไปศิริราช (เหตุผลคือหมอจบจากศิริราช เลยรู้ว่าที่นั่นมีคลินิกทางด้านนี้โดยเฉพาะ) แล้วหมอก็ยังเร่งให้ห้องประกันสังคมรีบทำจดหมายส่งตัวให้ด่วน  

เฮ่อ.....นี่คือความโชคดีอย่างที่ 2 ที่ได้รับจากคุณหมอทั้ง 2 โรงพยาบาล ต้องขอขอบคุณคุณหมอทั้ง 2 ท่านนี้อีกครั้งนะคะ

เดี๋ยวมาดูตอนต่อไปกันนะคะ ว่าพอไปที่ศิริราชแล้วเป็นยังไง ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่