คน กทม กับ นนทบุรี สบายตัว มีโรงงานไฟฟ้าขยะ

กระทู้สนทนา
จีนซิวโรงกำจัดขยะหนองแขม
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=162277:2013-01-04-10-47-09&catid=88:2009-02-08-11-23-46&Itemid=418#.UyreST9_tc4
ซีแอนด์จี จากจีน มั่นใจผุดโรงกำจัดขยะและโรงไฟฟ้าที่หนองแขม มูลค่า 900 ล้านบาท ไม่เกินกลางปีหน้า มั่นใจคุมเข้มมาตรฐานมลพิษ ด้วยเทคโนโลยีจากยุโรป มีธนาคารโลกการันตี ยันไม่กระทบอาชีพคัดแยกขยะ เป็นเพียงแค่ผู้กำจัดขยะ แต่มีรายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าเพิ่ม หากสำเร็จพร้อมเดินหน้าอีก 6 เมืองใหญ่ทั่วไทย

นายหนิง เหอ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่บริษัทได้รับสัมปทานจากรุงเทพมหานคร(กทม.) ให้เป็นผู้ดำเนินงานโครงการกำจัดมูลฝอยปริมาณ 300-500 ตันต่อวันและผลิตไฟฟ้า ขนาด 6-7 เมกะวัตต์  ในพื้นที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม ของกทม.เป็นระยะเวลา 20 ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 900 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ได้ทำการออกแบบระบบเครื่องจักร เทคโนโลยี และโรงงาน ส่งให้ทางกทม.ตรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าไม่เกินไตรมาสแรกของปีนี้ น่าจะเริ่มก่อสร้างได้ และจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางปี 2557 เนื่องจากได้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือไออีอี และได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอแล้ว
    ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนจากนักลงทุนจีนโดยตรง ผ่านบริษัท ซีแอนด์จีฯ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุน ก่อสร้างและดำเนินโรงเตาเผามูลฝอยและผลิตไฟฟ้า ที่ปัจจุบันดำเนินงานอยู่ 10 แห่ง ในประเทศจีน มีกำลังการกำจัดมูลฝอยรวม 1.035 หมื่นตันต่อวัน ผลิตไฟฟ้ารวมได้ประมาณ 150 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับขยะมูลฝอยที่กทม.มีอยู่ประมาณ 8.7-8.9 พันตันต่อวัน
    "การที่สนใจมาลงทุนกำจัดมูลฝอยให้กทม.เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจด้านนี้อยู่แล้ว อีกทั้ง คุณภาพขยะมูลฝอยของประเทศไทยมีคุณภาพมากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ เพราะมีการแยกขยะ ทำให้ลดขั้นตอนการแยกขยะ ที่สำคัญเป็นการช่วยลดปริมาณขยะให้กับเมืองใหญ่ๆที่ประสบปัญหาการกำจัดขยะอยู่ในเวลานี้"
    นายหนิง เหอ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดมลพิษและทำให้มีการออกมาต่อต้าน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้อาชีพการคัดแยกขยะหายไปนั้น ในส่วนนี้ขอยืนยันว่า แม้จะเป็นบริษัทที่มาจากจีน แต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้เป็นของสหภาพยุโรป ที่มีประสิทธิภาพชั้นสูง อุณหภูมิการเผาสูงถึง 870-1,100 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถเผามูลฝอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขี้เถ้าหนักที่เหลือจากการเผาไหม้ ที่ไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาได้ จะถูกนำไปฝังกลบหรือแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้างได้
    "ส่วน ขี้เถ้าลอยที่ดักจับได้ จะถูกนำไปตรวจสอบ และถูกรวบรวมไว้ไม่ให้ฟุ้งกระจายและนำไปกำจัดตามข้อกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป ส่วนน้ำเสียในโรงงานทั้งหมดจะผ่านกระบวนการบำบัด เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ โดยไม่มีการปล่อยทิ้งออกมาสู่ภายนอกโรงงาน รวมถึงไอเสียที่เกิดจากกระบวนการทั้งหมดจะถูกบำบัดจนได้มาตรฐาน ก่อนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศต่อไป"
ที่สำคัญ การที่บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศหรือไอเอฟซี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือธนาคารโลก เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น และเป็นผู้สนับสนุนกิจการของบริษัท เป็นเครื่องยืนยันได้ว่ามาตรฐานโรงงานของซีแอนด์จี เท่ากับมาตรฐานโลกในการดูแลไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
    ขณะเดียวกันอาชีพคัดแยกขยะ จะยังคงอยู่ต่อไป เพราะทางโรงงานไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นเพียงรับกำจัดขยะมูลฝอยที่ทางกทม.ส่งให้ไปกำจัดเท่านั้นในอัตรา 970 บาทต่อตัน ที่สำคัญ การที่บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศหรือไอเอฟซี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือธนาคารโลก เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นและผู้สนับสนุนกิจการของบริษัทจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่ามาตรฐานโรงงานของซีแอนด์จีเท่ากับมาตรฐานโลกในการดูแลไม่ให้มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
    นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากการกำจัดขยะมูลฝอยแล้ว ความร้อนที่ได้จะถูกนำไปต้มน้ำจนเป็นไอน้ำไปปั่นเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งออกแบบไว้ถึง 9.8 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับการขยายงานหรือปริมาณขยะมูลฝอยที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งการผลิตไฟฟ้านี้ บริษัทได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มหรือ Adder ในอัตรา 3.50 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 7 ปี จากการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)
    อย่างไรก็ตาม หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทางบริษัทก็มีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพัทยา ขอนแก่น เชียงใหญ่ ระยอง นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ซึ่งเป็นโครงการและเงินลงทุนในลักษณะเดียวกัน


พลังงานหนุนกทม.สร้างโรงไฟฟ้าลดขยะล้นเมือง
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20100528/118006/news.html
นายทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้หารือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมการผลิตโรงไฟฟ้าขยะขนาดใหญ่ของ กทม. เนื่องจาก กทม.มีปริมาณขยะจำนวนมาก คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของปริมาณขยะทั้งประเทศหรือประมาณวันละ 9,000 ตัน จากปริมาณขยะทั้งประเทศ 40,000 ตันต่อวัน ซึ่งมีศักยภาพที่จะนำไปผลิตไฟฟ้าได้ถึง 300-400 เมกะวัตต์

โดยแนวทางดังกล่าว กทม.อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด ในส่วนของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ  กทม.อาจลงทุนเองทั้งหมด หรือร่วมลงทุนกับภาคเอกชนและบริหารร่วมกัน ส่วนไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำมาใช้เองภายในโรงไฟฟ้าขยะ ที่เหลือสามารถขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เพื่อสร้างรายได้

“ผมได้หารือกับ กทม. เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะขนาดใหญ่มาระยะหนึ่งแล้ว ที่จะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะได้ ปัจจุบันเป็นเพียงการส่งเสริมการ

จัดการขยะในระดับโรงเรียน 40 แห่งใน กทม. และขยายไปอีก 435 โรงเรียนทั้งหมดใน กทม.” นายทวารัฐ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าขยะได้รับความสนใจจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) อย่างมาก ปัจจุบันภาคเอกชนและ อบต. ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะและเสนอขายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แล้ว 12 เมกะวัตต์ จากปีที่ผ่านมามียอดเสนอขายเพียง 5 เมกะวัตต์  ซึ่งกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะให้ได้ 160 เมกะวัตต์ภายใน 15 ปี หรือภายในปี 2565

นายทวารัฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พพ. ได้สนับสนุนและพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะต้นแบบ 5 แห่ง แต่ดำเนินการได้เพียง 1 แห่งคือ โรงไฟฟ้าขยะที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี การบริหารจัดการขยะของแต่และพื้นที่ไม่เหมือนกันทำให้ยากต่อการดำเนินการ ดังนั้น พพ. มีแนวคิดให้เอกชนออกแบบพัฒนาระบบบริหารจัดการขยะได้เอง เพื่อให้เกิดการลงทุนผลิตโรงไฟฟ้าขยะได้มากขึ้น  

ล่าสุดองค์การบริหารส่วนจังหวัด นนทบุรี อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์  ซึ่งได้ผ่านการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างหาผู้ร่วมทุนโครงการนี้ กฟผ. อาจเข้าไปร่วมทุนและซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่